"ไชยันต์ รัชชกูล" วิพากษ์ ทุนนิยม-การพัฒนาเมือง: กรณี มหากาพย์เวนคืนที่ "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย"
วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 22:22:27 น.
วันที่ 22 พฤษภาคม 2556 สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนาในหัวข้อ “การพัฒนาเมือง การสะสมทุน และความเป็นธรรม มุมมองภูมิศาสตร์เศรษฐกิจจาก เดวิด ฮาร์วีย์” โดยมีวิทยากร คือ รศ.ดร.ไชยันต์ รัชชกูล คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ดำเนินการเสวนาโดย ปกรณ์ เลิศเสถียรชัย
ทั้งนี้ การเสวนาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งวาระการวิจัยร่วม “วิถี-ลีลาเมือง” ของสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ ซึ่ง ดร.นฤมล อรุโนทัย รอง ผอ. สถาบันวิจัยสังคม กล่าวถึงความเป็นมาว่า สถาบันวิจัยสังคม พยายามสะท้อนถึงบริบทและประเด็นของเมือง โดยเฉพาะในพื้นที่ “สามย่าน” และการศึกษาครั้งนี้ยังเป็นการสะท้อนความรับผิดชอบต่อสังคมของมหาวิทยาลัยของชุมชน และเป็นความพยายามสร้างความคุ้นเคยกับแนวคิดทฤษฏีใหม่ๆ เกี่ยวกับเมือง โดยเฉพาะการที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่ในพื้นที่ศูนย์กลางการค้าและแสงสีในเมืองใหญ่
ไชยันต์ รัชชกูล นักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ ได้ยกงานเขียน The geography of capitalist accumulation: a reconstruction of the Marxian theory ของ เดวิด ฮาร์วีย์ ซึ่งเป็นการตีความแนวคิดของมาร์กซ์ ผ่านแว่นของนักภูมิศาสตร์ งานชิ้นนี้จึงเป็นการรื้อสร้างทฤษฎีมาร์กซ์เสียใหม่ในแนวภูมิศาสตร์ ซึ่งนอกจากฮาร์วีย์ แนวคิดของมาร์กซ์ยังถูกนำมาใช้ในอธิบายในหลายสาขาวิชาทั้งประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมวิทยา
“มาร์กซ์ ไม่ได้ถูกใช้ในเฉพาะสาขาวิชาใดสาขาหนึ่ง แต่เป็นกุญแจหนึ่งที่สำคัญที่ช่วยให้เราได้ลองคิดว่า สังคมมนุษย์นั้นทำงานอย่างไร และคนที่ศึกษาด้านสหวิทยาการ น่าจะยกมาร์กซ์ไว้บนหิ้ง เพราะมาร์กซ์เป็นนักเลงได้หลายสาขา”
ในบทความชิ้นนี้ ฮาร์วีย์ ได้พูดถึง space ในฐานะ space of capital หรือ พื้นที่ของทุนนิยม ซึ่งหากในความหมายเชิงภูมิศาสตร์แล้ว space นั้นไม่ใช่พื้นที่ว่าง แต่เป็นอะไรก็ได้ซึ่งเป็นที่ตั้งของของความสัมพันธ์ทางสังคม เช่น การตั้งคำถามว่า ความสัมพันธ์บน space ของจุฬาฯ ที่ตอนนี้กำลังไล่ที่อุเทนถวาย แต่จุฬาฯ กลับไม่ไล่ที่ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา หรือสาธิตจุฬาฯ
ซึ่งการจะตอบคำถามนี้ได้นั้น ต้องทำความเข้าใจ The underlying logic หรือ การให้คำอธิบายเชิงตรรกะ ที่กำหนดความเป็นไปของความสัมพันธ์ในพื้นที่นั้นๆ เสียก่อน ไชยันต์ อธิบายว่า The underlying logic ในแนวคิดของมาร์กซ์ว่า คือ ทุนนิยม ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวจักรที่หมุนปรากฎการณ์ต่างๆ ให้เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดการเพิ่มพูนของทุน (capital accumulation) ผ่านกระบวนการของทุนนิยมที่เป็นเชื่อมโยงการผลิต การกระจายความมั่งคั่ง และการบริโภค เป็นเครือข่าย รวมกลุ่มคนหลากหลายกลุ่ม ทั้ง นายทุน ลูกจ้าง คนขับรถ ยี่ปั๊ว ลูกค้า ฯลฯ
โดย การเพิ่มพูนของทุน จำเป็นต้องทำผ่าน space ซึ่งสิ่งนี้จะตอบคำถามได้ว่า ทำไม ทำเลที่ตั้งหนึ่ง ถึงมีรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดินตัดผ่าน เช่นใน จามจุรีสแควร์ แต่อีกทำเลที่ตั้งหนึ่ง เช่น สลัม ที่มักเป็นที่ตั้งของตอม่อทางด่วน ซึ่งส่วนใหญ่มักถูกให้เหตุผลในเชิงเทคนิค/วิศวกรรม แต่หากวิเคราะห์ให้ลึก อะไรคือเบื้องหลังในการตัดสินใจ
ซึ่งคำอธิบายในที่นี้ คือการขยายตัวของทุนนิยม ซึ่งทำให้เกิดการขยายการบริโภคและการผลิต หรือ อาจขยายผ่านทางภูมิศาสตร์ไปเรื่อยๆ เพื่อให้การขยายตัวของทุนนิยมทำได้อย่างต่อเนื่อง จึงมีการพัฒนาระบบขนส่ง ระบบราง และการขนส่งทางอากาศ เพื่อเชื่อมโยงสถานที่ต่างๆ เข้าหากันด้วยระยะเวลาอันสั้น เช่น แม้ระยะทางจากกรุงเทพฯ ไปชัยนาท จะน้อยกว่า กรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ แต่การเดินทางจาก กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กลับใช้เวลาน้อยกว่า หากโดยสารโดยเครื่องบิน หรือการออกแบบขั้นตอนการทำงานให้รวดเร็วและประหยัดเวลามากที่สุด ซึ่งทั้งหมดนี้ทำเพื่อตอบการขยายตัวของทุนผ่านการเข้าถึงพื้นที่ โดยใช้เวลาที่น้อยที่สุด
“การต่อสู้ทางชนชั้น” กรณี มหากาพย์เวนคืนที่ของจุฬาฯ
@ ทำไมพื้นที่สาธารณะ หรือ common space ใน กทม. จึงมีน้อยมาก แต่ space ในกทม.กลับถูกเปลี่ยนให้เห็นศูนย์การค้า และยิ่งเพิ่มช่องว่างทางรายได้ที่ห่างกันมาก
การต่อสู้ทางชนชั้น หรือ class struggle มักถูกเข้าใจกันว่าเป็นการเผชิญหน้าแบบ แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ซึ่งไม่ได้หมายความอย่างนั้นเสมอไป แต่ ‘การต่อสู้ทางชนชั้น’ ยังหมายถึงการไล่คนออกจากสนามหลวง ทำไมต้องใช้สนามหลวงด้วยจุดประสงค์อย่างหนึ่ง เช่น ทำไมต้องให้คนไปกินข้าวโพดในสนามหลวง แต่สังคมนี้มีความคิดให้คนไร้บ้านมีบ้านนอนหรือไม่ นี่คือการต่อสู้ (struggle) ในการใช้พื้นที่ นโยบายของ กทม. ที่วางรั้วกั้น ก็เป็นรูปแบบของการต่อสู้ทางชนชั้น (class struggle)
กรณีของจุฬาฯ ที่ไล่ที่บริเวณเชียงกง ซึ่งมีการวางแผนที่ห้างร้าน หรือ คอนโดมิเนียม
คำถามคือใครใช้ประโยชน์จากที่นี้ และการที่จุฬาฯ ทำเช่นนี้ เพราะอะไร ซึ่งไชยันต์ ให้ความเห็นว่า การที่พื้นที่ของจุฬาฯ นั้นถือว่าเป็น ศูนย์กลางความเจริญของเมืองในขณะนี้ โดยบริเวณสยามเซ็นเตอร์-พารากอน เชื่อมโยงกับสีลมซึ่งถือเป็นศูนย์กลางของเมืองในอดีต และการขยายตัวของทุนนิยมนั้น ต้องการพื้นที่ใหญ่มาก และการที่จุฬาฯ อ้างการถือครองสิทธิในที่ดินผืนนี้ ซึ่งถือเป็น “single ownership” ถือเป็นจุดเด่นสำคัญ โดยประเทศไทยยังไม่เคยมีพื้นที่ความเจริญที่เป็น single ownership เหมือนในสยามสแควร์
ส่วนการที่ จุฬาฯ ยกข้อประวัติศาสตร์และข้อกฎหมายมาอ้างสิทธิขาดในพื้นที่เหนืออุเทนถวาย หรือโรงเรียนปทุมวันนั้น ไชยันต์ มองว่า เป็นการตีความที่เข้าข้างตนเอง เนื่องจากเดิมทีนั้นจุฬาฯ เช่าที่ดินของพระคลังข้างที่ จนในสมัย จอมพล ป. จึงเปลี่ยนมาเป็นที่ดินของจุฬาฯ ฉะนั้น การจะบอกว่าที่ดินจุฬาฯ เป็นที่ดินพระราชทานจึงมีปัญหา แต่ก็มีนักประวัติศาสตร์ออกมาพูดว่า ผู้ที่ให้สิทธิเหนือที่ดิน คือ รัชกาลที่ 8 ไม่ใช่ จอมพล ป.
และเหตุผลของจุฬาฯ คือ ต้องการทำให้สะอาด (hygienic) หรือการเป็นที่เคารพนับถือ (respectable) เช่น โรงเรียนเด็กเล็กในปทุมวัน หรือ อุเทนถวาย เทียบกับ สาธิตจุฬาฯ, เตรียมอุดม โรงเรียนไหนดูสะอาด/น่านับถือมากกว่า การทำเช่นนี้ เหมือนกับการไล่คนออกจากป่าที่เขาเคยอยู่
นอกจากนี้ เหตุผลที่จุฬาฯ ใช้อ้างเพื่อไล่ที่อุเทนถวายนั้น ก็ไม่ใช่เหตุผลที่สัมพันธ์กับการศึกษาโดยตรง ซึ่งก็อาจเข้าใจได้ว่าลึกแล้วอาจเป็นเหตุผลทางเศรษฐกิจ เนื่องจาก พื้นที่ของจุฬาฯ เป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจที่ใหญ่และจัดการง่ายเนื่องจากเป็น single ownership
หากเป็นเหตุผลเช่นนี้ จุฬาฯ ก็จะไม่ใช่มหาวิทยาลัย แต่เป็นบริษัทที่ชื่อจุฬาฯ
ส่วนข้อกฎหมายที่ จุฬาฯ ยกมาต่อสู้นั้น ก็ต้องใช้แว่นตาแบบมาร์กซิส วิจารณ์ระบบกฎหมายว่า มันคือ เครื่องมือการปกครองของชนชั้นหนึ่ง
"ฉะนั้น ทำไมเราต้องรังเกียจ การพูดถึงเรื่องชนชั้น เพราะนี่คือการต่อสู้ทางชนชั้น การที่อุเทนถวาย ไล่ที่ จุฬาฯ ก็เหมือนกับการไล่ต่อยบัวขาว"
ไชยันต์ ยังให้คำแนะนำต่อ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะ "เสาหลักของแผ่นดิน" ว่า ในฐานะเสาหลักของแผ่นดิน จุฬาฯ เคยจินตนาการตัวเองในฐานะเสาหลักที่ให้ที่พักพิงแก่คนยากจนหรือไม่ และบทบาทที่ผ่านมาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ย่อมสะท้อนลักษณะทุนนิยมของไทยที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อรองรับทุนจากต่างประเทศได้ไม่มากก็น้อย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1369212906&grpid=&catid=01&subcatid=0100
“การต่อสู้ทางชนชั้น” กรณี มหากาพย์เวนคืนที่ของจุฬาฯ......... "ไชยันต์ รัชชกูล" วิพากษ์ ทุนนิยม-การพัฒนาเมือง
วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 22:22:27 น.
วันที่ 22 พฤษภาคม 2556 สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนาในหัวข้อ “การพัฒนาเมือง การสะสมทุน และความเป็นธรรม มุมมองภูมิศาสตร์เศรษฐกิจจาก เดวิด ฮาร์วีย์” โดยมีวิทยากร คือ รศ.ดร.ไชยันต์ รัชชกูล คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ดำเนินการเสวนาโดย ปกรณ์ เลิศเสถียรชัย
ทั้งนี้ การเสวนาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งวาระการวิจัยร่วม “วิถี-ลีลาเมือง” ของสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ ซึ่ง ดร.นฤมล อรุโนทัย รอง ผอ. สถาบันวิจัยสังคม กล่าวถึงความเป็นมาว่า สถาบันวิจัยสังคม พยายามสะท้อนถึงบริบทและประเด็นของเมือง โดยเฉพาะในพื้นที่ “สามย่าน” และการศึกษาครั้งนี้ยังเป็นการสะท้อนความรับผิดชอบต่อสังคมของมหาวิทยาลัยของชุมชน และเป็นความพยายามสร้างความคุ้นเคยกับแนวคิดทฤษฏีใหม่ๆ เกี่ยวกับเมือง โดยเฉพาะการที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่ในพื้นที่ศูนย์กลางการค้าและแสงสีในเมืองใหญ่
ไชยันต์ รัชชกูล นักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ ได้ยกงานเขียน The geography of capitalist accumulation: a reconstruction of the Marxian theory ของ เดวิด ฮาร์วีย์ ซึ่งเป็นการตีความแนวคิดของมาร์กซ์ ผ่านแว่นของนักภูมิศาสตร์ งานชิ้นนี้จึงเป็นการรื้อสร้างทฤษฎีมาร์กซ์เสียใหม่ในแนวภูมิศาสตร์ ซึ่งนอกจากฮาร์วีย์ แนวคิดของมาร์กซ์ยังถูกนำมาใช้ในอธิบายในหลายสาขาวิชาทั้งประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมวิทยา
“มาร์กซ์ ไม่ได้ถูกใช้ในเฉพาะสาขาวิชาใดสาขาหนึ่ง แต่เป็นกุญแจหนึ่งที่สำคัญที่ช่วยให้เราได้ลองคิดว่า สังคมมนุษย์นั้นทำงานอย่างไร และคนที่ศึกษาด้านสหวิทยาการ น่าจะยกมาร์กซ์ไว้บนหิ้ง เพราะมาร์กซ์เป็นนักเลงได้หลายสาขา”
ในบทความชิ้นนี้ ฮาร์วีย์ ได้พูดถึง space ในฐานะ space of capital หรือ พื้นที่ของทุนนิยม ซึ่งหากในความหมายเชิงภูมิศาสตร์แล้ว space นั้นไม่ใช่พื้นที่ว่าง แต่เป็นอะไรก็ได้ซึ่งเป็นที่ตั้งของของความสัมพันธ์ทางสังคม เช่น การตั้งคำถามว่า ความสัมพันธ์บน space ของจุฬาฯ ที่ตอนนี้กำลังไล่ที่อุเทนถวาย แต่จุฬาฯ กลับไม่ไล่ที่ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา หรือสาธิตจุฬาฯ
ซึ่งการจะตอบคำถามนี้ได้นั้น ต้องทำความเข้าใจ The underlying logic หรือ การให้คำอธิบายเชิงตรรกะ ที่กำหนดความเป็นไปของความสัมพันธ์ในพื้นที่นั้นๆ เสียก่อน ไชยันต์ อธิบายว่า The underlying logic ในแนวคิดของมาร์กซ์ว่า คือ ทุนนิยม ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวจักรที่หมุนปรากฎการณ์ต่างๆ ให้เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดการเพิ่มพูนของทุน (capital accumulation) ผ่านกระบวนการของทุนนิยมที่เป็นเชื่อมโยงการผลิต การกระจายความมั่งคั่ง และการบริโภค เป็นเครือข่าย รวมกลุ่มคนหลากหลายกลุ่ม ทั้ง นายทุน ลูกจ้าง คนขับรถ ยี่ปั๊ว ลูกค้า ฯลฯ
โดย การเพิ่มพูนของทุน จำเป็นต้องทำผ่าน space ซึ่งสิ่งนี้จะตอบคำถามได้ว่า ทำไม ทำเลที่ตั้งหนึ่ง ถึงมีรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดินตัดผ่าน เช่นใน จามจุรีสแควร์ แต่อีกทำเลที่ตั้งหนึ่ง เช่น สลัม ที่มักเป็นที่ตั้งของตอม่อทางด่วน ซึ่งส่วนใหญ่มักถูกให้เหตุผลในเชิงเทคนิค/วิศวกรรม แต่หากวิเคราะห์ให้ลึก อะไรคือเบื้องหลังในการตัดสินใจ
ซึ่งคำอธิบายในที่นี้ คือการขยายตัวของทุนนิยม ซึ่งทำให้เกิดการขยายการบริโภคและการผลิต หรือ อาจขยายผ่านทางภูมิศาสตร์ไปเรื่อยๆ เพื่อให้การขยายตัวของทุนนิยมทำได้อย่างต่อเนื่อง จึงมีการพัฒนาระบบขนส่ง ระบบราง และการขนส่งทางอากาศ เพื่อเชื่อมโยงสถานที่ต่างๆ เข้าหากันด้วยระยะเวลาอันสั้น เช่น แม้ระยะทางจากกรุงเทพฯ ไปชัยนาท จะน้อยกว่า กรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ แต่การเดินทางจาก กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กลับใช้เวลาน้อยกว่า หากโดยสารโดยเครื่องบิน หรือการออกแบบขั้นตอนการทำงานให้รวดเร็วและประหยัดเวลามากที่สุด ซึ่งทั้งหมดนี้ทำเพื่อตอบการขยายตัวของทุนผ่านการเข้าถึงพื้นที่ โดยใช้เวลาที่น้อยที่สุด
“การต่อสู้ทางชนชั้น” กรณี มหากาพย์เวนคืนที่ของจุฬาฯ
@ ทำไมพื้นที่สาธารณะ หรือ common space ใน กทม. จึงมีน้อยมาก แต่ space ในกทม.กลับถูกเปลี่ยนให้เห็นศูนย์การค้า และยิ่งเพิ่มช่องว่างทางรายได้ที่ห่างกันมาก
การต่อสู้ทางชนชั้น หรือ class struggle มักถูกเข้าใจกันว่าเป็นการเผชิญหน้าแบบ แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ซึ่งไม่ได้หมายความอย่างนั้นเสมอไป แต่ ‘การต่อสู้ทางชนชั้น’ ยังหมายถึงการไล่คนออกจากสนามหลวง ทำไมต้องใช้สนามหลวงด้วยจุดประสงค์อย่างหนึ่ง เช่น ทำไมต้องให้คนไปกินข้าวโพดในสนามหลวง แต่สังคมนี้มีความคิดให้คนไร้บ้านมีบ้านนอนหรือไม่ นี่คือการต่อสู้ (struggle) ในการใช้พื้นที่ นโยบายของ กทม. ที่วางรั้วกั้น ก็เป็นรูปแบบของการต่อสู้ทางชนชั้น (class struggle)
กรณีของจุฬาฯ ที่ไล่ที่บริเวณเชียงกง ซึ่งมีการวางแผนที่ห้างร้าน หรือ คอนโดมิเนียม
คำถามคือใครใช้ประโยชน์จากที่นี้ และการที่จุฬาฯ ทำเช่นนี้ เพราะอะไร ซึ่งไชยันต์ ให้ความเห็นว่า การที่พื้นที่ของจุฬาฯ นั้นถือว่าเป็น ศูนย์กลางความเจริญของเมืองในขณะนี้ โดยบริเวณสยามเซ็นเตอร์-พารากอน เชื่อมโยงกับสีลมซึ่งถือเป็นศูนย์กลางของเมืองในอดีต และการขยายตัวของทุนนิยมนั้น ต้องการพื้นที่ใหญ่มาก และการที่จุฬาฯ อ้างการถือครองสิทธิในที่ดินผืนนี้ ซึ่งถือเป็น “single ownership” ถือเป็นจุดเด่นสำคัญ โดยประเทศไทยยังไม่เคยมีพื้นที่ความเจริญที่เป็น single ownership เหมือนในสยามสแควร์
ส่วนการที่ จุฬาฯ ยกข้อประวัติศาสตร์และข้อกฎหมายมาอ้างสิทธิขาดในพื้นที่เหนืออุเทนถวาย หรือโรงเรียนปทุมวันนั้น ไชยันต์ มองว่า เป็นการตีความที่เข้าข้างตนเอง เนื่องจากเดิมทีนั้นจุฬาฯ เช่าที่ดินของพระคลังข้างที่ จนในสมัย จอมพล ป. จึงเปลี่ยนมาเป็นที่ดินของจุฬาฯ ฉะนั้น การจะบอกว่าที่ดินจุฬาฯ เป็นที่ดินพระราชทานจึงมีปัญหา แต่ก็มีนักประวัติศาสตร์ออกมาพูดว่า ผู้ที่ให้สิทธิเหนือที่ดิน คือ รัชกาลที่ 8 ไม่ใช่ จอมพล ป.
และเหตุผลของจุฬาฯ คือ ต้องการทำให้สะอาด (hygienic) หรือการเป็นที่เคารพนับถือ (respectable) เช่น โรงเรียนเด็กเล็กในปทุมวัน หรือ อุเทนถวาย เทียบกับ สาธิตจุฬาฯ, เตรียมอุดม โรงเรียนไหนดูสะอาด/น่านับถือมากกว่า การทำเช่นนี้ เหมือนกับการไล่คนออกจากป่าที่เขาเคยอยู่
นอกจากนี้ เหตุผลที่จุฬาฯ ใช้อ้างเพื่อไล่ที่อุเทนถวายนั้น ก็ไม่ใช่เหตุผลที่สัมพันธ์กับการศึกษาโดยตรง ซึ่งก็อาจเข้าใจได้ว่าลึกแล้วอาจเป็นเหตุผลทางเศรษฐกิจ เนื่องจาก พื้นที่ของจุฬาฯ เป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจที่ใหญ่และจัดการง่ายเนื่องจากเป็น single ownership
หากเป็นเหตุผลเช่นนี้ จุฬาฯ ก็จะไม่ใช่มหาวิทยาลัย แต่เป็นบริษัทที่ชื่อจุฬาฯ
ส่วนข้อกฎหมายที่ จุฬาฯ ยกมาต่อสู้นั้น ก็ต้องใช้แว่นตาแบบมาร์กซิส วิจารณ์ระบบกฎหมายว่า มันคือ เครื่องมือการปกครองของชนชั้นหนึ่ง
"ฉะนั้น ทำไมเราต้องรังเกียจ การพูดถึงเรื่องชนชั้น เพราะนี่คือการต่อสู้ทางชนชั้น การที่อุเทนถวาย ไล่ที่ จุฬาฯ ก็เหมือนกับการไล่ต่อยบัวขาว"
ไชยันต์ ยังให้คำแนะนำต่อ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะ "เสาหลักของแผ่นดิน" ว่า ในฐานะเสาหลักของแผ่นดิน จุฬาฯ เคยจินตนาการตัวเองในฐานะเสาหลักที่ให้ที่พักพิงแก่คนยากจนหรือไม่ และบทบาทที่ผ่านมาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ย่อมสะท้อนลักษณะทุนนิยมของไทยที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อรองรับทุนจากต่างประเทศได้ไม่มากก็น้อย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1369212906&grpid=&catid=01&subcatid=0100