ไม่รู้ว่าเคยมีใครนำมาลงให้อ่านกันหรือยังครับ ตัวผมเองพึ่งจะได้มีโอกาสอ่าน อ่านแล้วเกิดความรู้สึกประทับใจ และปิติ เลยนำมาลงแบ่งปันให้้เพื่อนๆสมาชิกห้องศาสนา ได้อ่าน ได้ร่วมอนุโมทนาบุญกับท่านพระอาจารย์ไพศาล วิสาโลกัน ครับ
*******************************************************
ในชีวิตการบวชของข้าพเจ้า มีห้วงอารมณ์หนึ่งซึ่งตอนนั้นเป็นแค่ความรู้สึกธรรมดาของพระนวกะรูปหนึ่ง แต่บัดนี้เมื่อมองย้อนหลัง กลับพบว่ามีความสำคัญอย่างมาก อีกทั้งยังส่งผลมาจนทุกวันนี้
ห้วงอารมณ์ดังกล่าวเกิดเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว ตอนนั้นเป็นช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ขณะที่ข้าพเจ้านั่งรถเมล์ใกล้ถึงวัดทองนพคุณ อันเป็นวัดที่ข้าพเจ้าได้อุปสมบทก่อนไปเข้ากรรมฐานที่วัดสนามในเป็นเวลากว่าสองเดือน ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ท่วมท้นใจคือความอาลัยในสมณเพศ ที่มีความรู้สึกเช่นนั้นก็เพราะข้าพเจ้าใกล้ถึงกำหนดลาสิกขาแล้ว เนื่องจากตั้งใจว่าจะบวชเพียงสามเดือนเท่านั้น
ความจริงข้าพเจ้าไม่มีพันธะอะไร เป็นแต่ห่วงงานและห่วงเพื่อนที่ทำงานมาด้วยกันมาหลายปี (ที่กลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม) อีกทั้งเกรงใจเพื่อนด้วยที่ต้องรับภาระแทนข้าพเจ้าขณะที่ข้าพเจ้ามาบวช กว่าจะปลีกตัวมาบวชได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเตรียมการเป็นปี และเมื่อบวชแล้ว เพื่อน ๆ ก็ให้โอกาสแก่ข้าพเจ้าอย่างเต็มที่ ไม่มารบกวนหรือขอร้องให้ช่วยงานแต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อบวชครบกำหนด ข้าพเจ้าก็ควรลาสิกขา กลับไปช่วยเพื่อนแต่โดยดี
ควรกล่าวด้วยว่า ตอนที่บวชใหม่ ๆ นั้นข้าพเจ้ายังคิดถึงชีวิตฆราวาสอยู่เนือง ๆ ระหว่างที่เข้ากรรมฐาน ก็ยังนึกถึงหนังบางเรื่องที่กำลังดัง เป็นที่กล่าวขานไปทั่ว (เช่น “คานธี” และ “อีที”) ถึงกับตั้งใจว่า เมื่อสึกแล้วจะต้องไปดูให้ได้ อีกทั้งระหว่างบวชนั้น ก็มีความทุกข์จากการทำกรรมฐานมาก มีทั้งความเครียด ความหงุดหงิด ความท้อแท้ และความเจ็บปวดทางกาย เวลาเห็นพระใหม่ทยอยลาสิกขา ก็นึกอิจฉาเขา ใครที่เจอแบบนี้ก็น่าจะดีใจเมื่อวันสึกใกล้เข้ามา
แต่จะเรียกว่าเป็นโชคก็ได้ ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง ในช่วงเดือนที่สามของการบวช การทำกรรมฐานของข้าพเจ้าเริ่มถูกทาง วางใจได้ดีขึ้น มีความผ่อนคลายเพราะปล่อยวาง สติและความรู้สึกตัวค่อย ๆเพิ่มพูน ทำให้รู้ทันความรู้สึกนึกคิดได้เร็วขึ้น และหลุดจากความฟุ้งซ่านได้ไว ทำให้ใจสงบและว่างจากความคิดได้นานขึ้น นับเป็นประสบการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดกับตนเอง เป็นครั้งแรกที่เข้าใจว่าการอยู่อย่างมีสตินั้นหมายถึงอะไร และอดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งในพลังแห่งสติ ทั้ง ๆ ที่สติของข้าพเจ้ายังจัดว่าอยู่ในระดับต้น ๆ เท่านั้น แต่ก็ช่วยทำให้หายทุกข์และวุ่นวายใจไปได้มาก
ประสบการณ์จากการเจริญสติที่วัดสนามใน ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจปฏิบัติธรรม และอยากให้เวลากับเรื่องนี้มากขึ้น จึงอยากบวชต่อเพราะโอกาสแบบนี้มีไม่บ่อย หากสึกไปแล้วคงจะหาโอกาสบวชใหม่ได้ยาก อีกทั้งการปฏิบัติคงขาดช่วง ยังไม่ต้องพูดถึงความสบายใจระหว่างที่บวช เมื่อเทียบกับก่อนบวช ซึ่งข้าพเจ้าอยู่ในภาวะใกล้ “เสียศูนย์”แล้ว นับว่าต่างกันไกลมาก ด้วยเหตุนี้เองข้าพเจ้าจึงรู้สึกอาลัยเพศบรรพชิต และลังเลใจที่จะลาสิกขา
ความรู้สึกดังกล่าวนี้เองมีส่วนสำคัญทำให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนใจ ไม่ลาสิกขาในเดือนนั้น และขออนุญาตเพื่อน ๆ ขอบวชต่อไปจนถึงออกพรรษา นั่นคือบวชต่อไปอีกห้าเดือน ปรากฏว่าเพื่อน ๆ ใจดี ต่อใบอนุญาตให้ ส่วนโยมพ่อโยมแน่นั้น ก็ไม่ขัดข้องเช่นกัน ที่จริงอาจยินดีด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าข้าพเจ้าอยู่ในผ้าเหลือง คงปลอดภัยกว่า (หรือไกลคุกไกลตะรางมากกว่า) การกลับไปทำงานที่เดิม ซึ่งมักมีเรื่องประท้วงรัฐบาลอยู่เนือง ๆ
อย่างไรก็ตามใช่ว่าเมื่อบวชต่อแล้ว จะมีความราบรื่น ปัญหาหนึ่งที่รบกวนจิตใจอยู่เป็นระยะ ๆ คือ ข้าพเจ้าจะบวชนานเท่าไร คำถามนี้ไม่ได้มาจากใคร แต่มาจากตัวเอง แม้ข้าพเจ้ามีความสุขพอประมาณระหว่างที่บวช (จะลำบากบ้างก็ตอนจำพรรษาแรกที่วัดป่าสุคะโต ซึ่งกันดารและอัตคัดมากในตอนนั้น ทั้งในด้านอาหารและที่พัก) แต่ก็รู้สึกว่าไม่ง่ายเลยที่จะบวชไปเรื่อย ๆ แค่นึกเล่น ๆ ว่าตนเองบวชนานสิบพรรษา ก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที เพราะในส่วนลึกข้าพเจ้ายังอยากใช้ชีวิตแบบฆราวาส นึกไม่ออกว่าตนเองจะบวชพระไปนาน ๆ ได้อย่างไร เพราะมีหลายอย่างในชีวิตที่อยากทำ และมีแต่ฆราวาสเท่านั้นที่ทำได้
ที่จริงการบวชหนึ่งปีหรือสองปีไม่ใช่เรื่องยาก ยิ่งได้วัดและครูบาอาจารย์ที่ดีแล้ว ก็ง่ายมาก ข้าพเจ้าโชคดีที่ได้มาจำพรรษาแรกกับหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ ซึ่งข้าพเจ้ารู้จักตั้งแต่ปี ๒๕๒๓ หรือสามปีก่อนบวช ท่านเป็นพระเถระที่มีเมตตา ใจกว้างและเข้าใจคนหนุ่มสาว อีกทั้งยังเห็นว่าการช่วยเหลือสังคมหรือผู้ทุกข์ยากเป็นสิ่งที่พระพึงกระทำ ดังท่านเป็นแบบอย่าง แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยคิดหรือแม้แต่ฝันว่าจะใช้ชีวิตเป็นสิบปีที่วัดป่าสุคะโตในฐานะพระ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้าพเจ้าไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอย่างนั้นตั้งแต่แรก การมาบวชก็ไม่ใช่เพราะมีใจรักในชีวิตพรหมจรรย์ แม้จะเห็นคุณค่าก็ตาม แต่เป็นเพราะความทุกข์ในชีวิตฆราวาสผลักดันให้มาบวชเพื่อจะได้มีเวลาทำสมาธิภาวนาให้ใจสงบเย็น ไม่รุ่มร้อนเหมือนเก่า
เพื่อน ๆ ก็รู้ดีเรื่องนี้ จึงไม่มีใครเป็นห่วงหรือทักท้วงเมื่อข้าพเจ้าขอบวชต่อ เพราะคิดว่าไม่นานก็คงสึก แต่ก็มีหลายคนอยากให้ข้าพเจ้าบวชนาน ๆ หนึ่งในนั้นไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นครูบาอาจารย์ที่ข้าพเจ้านับถือ คือ อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ อาจารย์สุลักษณ์ เป็นผู้ที่คอยชักชวนและทวงถามข้าพเจ้าตั้งแต่อายุยังไม่ถึง ๒๐ ว่าเมื่อไหร่จะบวช เมื่อข้าพเจ้าบวชแล้วท่านก็พยายามกระตุ้นและส่งเสริมให้ข้าพเจ้าบวชนานกว่าสามเดือนตามที่ตั้งใจไว้ ครั้นข้าพเจ้ายืดเวลาสึกออกไปเพื่อบวชเอาพรรษา ท่านก็ทำหลายอย่างเพื่อให้ข้าพเจ้าบวชนานกว่านั้น วิธีหนึ่งก็คือหางานชิ้นใหญ่ให้ข้าพเจ้าทำระหว่างบวช นั่นคือ เป็นองค์ปาฐกในงานประจำปีของมูลนิธิโกมลคีมทอง
ปาฐกถาโกมลคีมทองนั้นเป็นงานใหญ่ของมูลนิธิ ปาฐกและองค์ปาฐกก่อนหน้านั้นล้วนเป็นผู้ใหญ่ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ มี อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นปาฐกคนแรก ตามมาด้วย อ.เสน่ห์ จามริก ส่วนพระภิกษุนั้นท่านหนึ่งก็ได้แก่พระราชวรมุนี (หรือพระพรหมคุณาภรณ์ในปัจจุบัน) แม้ตอนหลังจะเน้นคนรุ่นใหม่ เช่น พระประชา ปสันนธัมโม แต่ก็ยังถือว่าเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงจากงานคิดงานเขียนมาก่อนแล้ว ส่วนพระนวกะอย่างข้าพเจ้านั้นเทียบไม่ได้เลยกับท่านที่เอ่ยนามมาทั้งหมด อาจารย์สุลักษณ์ย่อมทราบดี แต่คงเพราะปรารถนาให้ข้าพเจ้าบวชต่อไปอีก จึงหว่านล้อมกรรมการมูลนิธิโกมลคีมทองให้เลือกข้าพเจ้าเป็นองค์ปาฐก ซึ่งจะต้องแสดงปาฐกถาในเดือนกุมภาพันธ์ปีถัดไป จำได้ว่าก่อนที่ข้าพเจ้าจะไปจำพรรษาที่วัดป่าสุคะโต ได้พบอาจารย์สุลักษณ์ที่สำนักงานกลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม อาจารย์สุลักษณ์ได้มากระซิบว่าหากมูลนิธิโกมลคีมทองนิมนต์อาตมาให้เป็นองค์ปาฐก ก็อย่าปฏิเสธเขานะ
ภาระดังกล่าวมีส่วนทำให้ข้าพเจ้าไม่มีความคิดที่จะสึกเมื่อบวชครบปีในเดือนกุมภาพันธ์ปีถัดมา เพราะในหัวนึกถึงแต่การเตรียมต้นร่างปาฐกถา (ซึ่งทำมาตั้งแต่ ๓-๔ เดือนก่อนหน้านั้นแล้ว และนับเป็นงานใหญ่ที่ทำให้ข้าพเจ้าท้อแท้ในบางครั้ง แต่ในที่สุดก็ทำได้สำเร็จ) ครั้นแสดงปาฐกถาเสร็จ จะสึกเลยก็ดูกระไรอยู่ อย่างน้อยก็ควรเห็นแก่ครูบาอาจารย์ที่พยายามหาอุบายสนับสนุนให้ข้าพเจ้าบวชนาน ๆ ประกอบกับหลังจากบวชครบปีแล้ว เริ่มมีงานการต่าง ๆ ทั้งงานเขียนและงานบรรยายเข้ามา ก็ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกสบายใจที่บวชแล้วยังสามารถทำกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้บ้าง โดยเฉพาะการชักชวนผู้คนให้เห็นคุณค่าของการฝึกจิตพัฒนาตน ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดหายไปในหมู่ฆราวาส โดยเฉพาะคนที่ทำงานเพื่อสังคม อันเป็นแวดวงที่ข้าพเจ้าคุ้นเคย
ประสบการณ์การบวชนั้นทำให้ข้าพเจ้าเห็นคุณค่าของสมาธิภาวนามากขึ้น และอยากชักชวนให้ผู้คนหันมาใส่ใจกับการทำกรรมฐาน แต่ก็ยังไม่มีความคิดที่จะอุทิศชีวิตเพื่อประโยชน์ตนล้วน ๆ แม้จุดหมายสูงสุดคือพระนิพพานก็ตาม ข้าพเจ้าเห็นว่าตนเองควรทำประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านไปพร้อม ๆ กัน หากว่าชีวิตสมณะทำได้แต่เพียงประโยชน์ตนเท่านั้น ข้าพเจ้าก็คงจะบวชได้ไม่นาน เพราะยังอยากทำประโยชน์ให้แก่สังคมอยู่ ข้อนี้อาจเป็น “วาสนา”ของข้าพเจ้าด้วยก็ได้ ที่มีใจมาทางนี้ตั้งแต่เล็กแล้ว (จำได้ว่า ตอนเด็ก ๆ อยากเป็นตำรวจ จะได้ช่วยเหลือประเทศชาติ ทั้ง ๆ ที่พ่อแม่อยากให้ตั้งเป้าหมายชีวิตที่ดีกว่านั้นเพราะข้าพเจ้าเป็นคนเรียนเก่ง) ดังนั้นเมื่อบวชแล้ว ยังสามารถทำประโยชน์ให้แก่สังคมได้อยู่ ข้าพเจ้าจึงไม่รู้สึกอึดอัดกับผ้าเหลืองมากนัก ในเรื่องนี้ก็ต้องขอบคุณหลวงพ่อคำเขียนด้วย ที่ท่านเข้าใจนิสัยใจคอของข้าพเจ้า จึงอนุญาตให้ข้าพเจ้าไปทำกิจในที่ต่าง ๆ ได้ แม้แวดวงที่ข้าพเจ้าเกี่ยวข้อง (คือองค์กรพัฒนาเอกชน หรือที่เรียกในปัจจุบัน NGO) จะเป็นที่จับตามองหรือถึงกับหวาดระแวงของเจ้าหน้าที่รัฐในเวลานั้น แต่หลวงพ่อคำเขียนก็ไม่เคยระแวงหรือหวาดกลัวข้าพเจ้าเลย (ผิดกับพระกรรมฐานหลายรูปที่ไม่เข้าใจคนหนุ่มสาว) ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะท่านเองก็เคยถูกเจ้าหน้าที่รัฐหวาดระแวง จนถึงกับกล่าวหาว่าท่านเป็นแนวร่วมคอมมิวนิสต์เพราะจัดตั้งศูนย์เด็กขึ้นในป่าเขาอันทุรกันดารตั้งแต่ปี ๒๕๒๑ (โดยหารู้ไม่ว่านั่นคือศูนย์เด็กแห่งแรกของจังหวัดชัยภูมิเลยทีเดียว)
การทำกิจกรรมดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการมีงานเขียนงานแปลอย่างสม่ำเสมอ มีส่วนทำให้ข้าพเจ้า “เพลิน”ในการบวช (ซึ่งคงไม่ต่างจากพระป่าจำนวนไม่น้อยที่บวชได้นานเพราะมี “ของเล่น” นอกเหนือจากการทำกรรมฐาน เช่น การทำกลด หรือถักถลกบาตร) อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าก็ยังไม่คิดว่าจะฝากชีวิตนี้ไว้กับผ้าเหลือง เพราะมองไม่ออกว่าตนเองจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร แค่บวชได้นานถึงสิบพรรษาก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว แต่ครั้นจะสึก ก็ใช่ว่าจะทำได้ง่าย เพราะสวนทางกับความคาดหวังของครูบาอาจารย์อย่างอาจารย์สุลักษณ์ และอีกหลายคนที่เห็นว่า ข้าพเจ้าน่าจะทำประโยชน์ได้มากกว่าหากอยู่ในสมณเพศ อย่างน้อยสิ่งที่ข้าพเจ้าทำอยู่นั้นไม่ค่อยมีคนทำ คือการชี้ชวนให้ผู้คนเห็นความสำคัญของมิติด้านจิตวิญญาณ รวมทั้งการนำเอาธรรมะมาใช้กับชีวิตและสังคมสมัยใหม่
เมื่อจะเดินต่อก็มองไม่เห็นว่าจะเดินต่อไปได้นานสักเท่าใด ครั้นจะหยุด ก็ไม่รู้ว่าจะหยุดอย่างไร ความรู้สึกของข้าพเจ้าในบางครั้งจึงไม่ต่างจากคนติดคุก อาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ เพราะติดคุกนั้นยังมีวันออก ส่วนข้าพเจ้านั้นมองไม่เห็นวันออกเลย คือไม่รู้ว่าจะสึกได้เมื่อใด คิดแล้วก็อึดอัด ทางออกก็คือ ไม่ต้องคิดถึงอนาคตที่ยาวไกลมากนัก แค่ตั้งเป้าว่าบวชต่ออีกหนึ่งปีแล้วกัน เมื่อครบปีแล้วก็มาถามใจตนเองว่าบวชต่ออีกหนึ่งปีได้ไหม ทุกปีคำตอบที่ได้ก็คือ “บวชได้” วิธีนี้ทำให้ข้าพเจ้าบวชต่อได้เรื่อย ๆ จนครบห้าปี ทีนี้มีความมั่นใจมากขึ้น อีกทั้งคุ้นเคยกับชีวิตพระแล้ว ก็เลยตั้งใจบวชต่ออีกห้าปีไปเลย แทนที่จะเป็นปีต่อปีดังแต่ก่อน พอบวชครบสิบปีก็รู้สึกว่าสิบปีไม่ใช่เวลาที่ยาวนานเลย จึงตั้งเป้าว่าถ้าบวชครบ ๒๐ ปีก็คงไม่เลว ครั้นผ่านไป ๒๐ ปีก็คิดต่อว่า บวชให้ครบ ๓๐ ปีก็ไม่น่าจะยากอะไร บัดนี้ก็บวชครบ ๓๐ พรรษาแล้ว อีกแค่เดือนเดียวก็จะอยู่ในเพศบรรพชิตครบ ๓๐ ปี ถึงตอนนี้ความคิดเหมือนคนติดคุกได้เลือนหายไปนานแล้ว เพราะรู้สึกคุ้นเคยและเป็นสุขกับชีวิตสมณะ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะกว่าครึ่งชีวิตของข้าพเจ้าเป็นชีวิตในผ้าเหลือง พูดไปทำไมมีแม้กระทั่งคนที่ติดคุกนานถึง ๓๐ ปี ก็คงรู้สึกว่าคุกเป็น “บ้าน”แล้ว ย่อมไม่รู้สึกแปลกแยกหรืออึดอัดกับสภาพเช่นนั้นอีกต่อไป
๓๐ ปีในวิถีสมณะ - พระไพศาล วิสาโล
*******************************************************
ในชีวิตการบวชของข้าพเจ้า มีห้วงอารมณ์หนึ่งซึ่งตอนนั้นเป็นแค่ความรู้สึกธรรมดาของพระนวกะรูปหนึ่ง แต่บัดนี้เมื่อมองย้อนหลัง กลับพบว่ามีความสำคัญอย่างมาก อีกทั้งยังส่งผลมาจนทุกวันนี้
ห้วงอารมณ์ดังกล่าวเกิดเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว ตอนนั้นเป็นช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ขณะที่ข้าพเจ้านั่งรถเมล์ใกล้ถึงวัดทองนพคุณ อันเป็นวัดที่ข้าพเจ้าได้อุปสมบทก่อนไปเข้ากรรมฐานที่วัดสนามในเป็นเวลากว่าสองเดือน ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ท่วมท้นใจคือความอาลัยในสมณเพศ ที่มีความรู้สึกเช่นนั้นก็เพราะข้าพเจ้าใกล้ถึงกำหนดลาสิกขาแล้ว เนื่องจากตั้งใจว่าจะบวชเพียงสามเดือนเท่านั้น
ความจริงข้าพเจ้าไม่มีพันธะอะไร เป็นแต่ห่วงงานและห่วงเพื่อนที่ทำงานมาด้วยกันมาหลายปี (ที่กลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม) อีกทั้งเกรงใจเพื่อนด้วยที่ต้องรับภาระแทนข้าพเจ้าขณะที่ข้าพเจ้ามาบวช กว่าจะปลีกตัวมาบวชได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเตรียมการเป็นปี และเมื่อบวชแล้ว เพื่อน ๆ ก็ให้โอกาสแก่ข้าพเจ้าอย่างเต็มที่ ไม่มารบกวนหรือขอร้องให้ช่วยงานแต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อบวชครบกำหนด ข้าพเจ้าก็ควรลาสิกขา กลับไปช่วยเพื่อนแต่โดยดี
ควรกล่าวด้วยว่า ตอนที่บวชใหม่ ๆ นั้นข้าพเจ้ายังคิดถึงชีวิตฆราวาสอยู่เนือง ๆ ระหว่างที่เข้ากรรมฐาน ก็ยังนึกถึงหนังบางเรื่องที่กำลังดัง เป็นที่กล่าวขานไปทั่ว (เช่น “คานธี” และ “อีที”) ถึงกับตั้งใจว่า เมื่อสึกแล้วจะต้องไปดูให้ได้ อีกทั้งระหว่างบวชนั้น ก็มีความทุกข์จากการทำกรรมฐานมาก มีทั้งความเครียด ความหงุดหงิด ความท้อแท้ และความเจ็บปวดทางกาย เวลาเห็นพระใหม่ทยอยลาสิกขา ก็นึกอิจฉาเขา ใครที่เจอแบบนี้ก็น่าจะดีใจเมื่อวันสึกใกล้เข้ามา
แต่จะเรียกว่าเป็นโชคก็ได้ ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง ในช่วงเดือนที่สามของการบวช การทำกรรมฐานของข้าพเจ้าเริ่มถูกทาง วางใจได้ดีขึ้น มีความผ่อนคลายเพราะปล่อยวาง สติและความรู้สึกตัวค่อย ๆเพิ่มพูน ทำให้รู้ทันความรู้สึกนึกคิดได้เร็วขึ้น และหลุดจากความฟุ้งซ่านได้ไว ทำให้ใจสงบและว่างจากความคิดได้นานขึ้น นับเป็นประสบการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดกับตนเอง เป็นครั้งแรกที่เข้าใจว่าการอยู่อย่างมีสตินั้นหมายถึงอะไร และอดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งในพลังแห่งสติ ทั้ง ๆ ที่สติของข้าพเจ้ายังจัดว่าอยู่ในระดับต้น ๆ เท่านั้น แต่ก็ช่วยทำให้หายทุกข์และวุ่นวายใจไปได้มาก
ประสบการณ์จากการเจริญสติที่วัดสนามใน ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจปฏิบัติธรรม และอยากให้เวลากับเรื่องนี้มากขึ้น จึงอยากบวชต่อเพราะโอกาสแบบนี้มีไม่บ่อย หากสึกไปแล้วคงจะหาโอกาสบวชใหม่ได้ยาก อีกทั้งการปฏิบัติคงขาดช่วง ยังไม่ต้องพูดถึงความสบายใจระหว่างที่บวช เมื่อเทียบกับก่อนบวช ซึ่งข้าพเจ้าอยู่ในภาวะใกล้ “เสียศูนย์”แล้ว นับว่าต่างกันไกลมาก ด้วยเหตุนี้เองข้าพเจ้าจึงรู้สึกอาลัยเพศบรรพชิต และลังเลใจที่จะลาสิกขา
ความรู้สึกดังกล่าวนี้เองมีส่วนสำคัญทำให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนใจ ไม่ลาสิกขาในเดือนนั้น และขออนุญาตเพื่อน ๆ ขอบวชต่อไปจนถึงออกพรรษา นั่นคือบวชต่อไปอีกห้าเดือน ปรากฏว่าเพื่อน ๆ ใจดี ต่อใบอนุญาตให้ ส่วนโยมพ่อโยมแน่นั้น ก็ไม่ขัดข้องเช่นกัน ที่จริงอาจยินดีด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าข้าพเจ้าอยู่ในผ้าเหลือง คงปลอดภัยกว่า (หรือไกลคุกไกลตะรางมากกว่า) การกลับไปทำงานที่เดิม ซึ่งมักมีเรื่องประท้วงรัฐบาลอยู่เนือง ๆ
อย่างไรก็ตามใช่ว่าเมื่อบวชต่อแล้ว จะมีความราบรื่น ปัญหาหนึ่งที่รบกวนจิตใจอยู่เป็นระยะ ๆ คือ ข้าพเจ้าจะบวชนานเท่าไร คำถามนี้ไม่ได้มาจากใคร แต่มาจากตัวเอง แม้ข้าพเจ้ามีความสุขพอประมาณระหว่างที่บวช (จะลำบากบ้างก็ตอนจำพรรษาแรกที่วัดป่าสุคะโต ซึ่งกันดารและอัตคัดมากในตอนนั้น ทั้งในด้านอาหารและที่พัก) แต่ก็รู้สึกว่าไม่ง่ายเลยที่จะบวชไปเรื่อย ๆ แค่นึกเล่น ๆ ว่าตนเองบวชนานสิบพรรษา ก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที เพราะในส่วนลึกข้าพเจ้ายังอยากใช้ชีวิตแบบฆราวาส นึกไม่ออกว่าตนเองจะบวชพระไปนาน ๆ ได้อย่างไร เพราะมีหลายอย่างในชีวิตที่อยากทำ และมีแต่ฆราวาสเท่านั้นที่ทำได้
ที่จริงการบวชหนึ่งปีหรือสองปีไม่ใช่เรื่องยาก ยิ่งได้วัดและครูบาอาจารย์ที่ดีแล้ว ก็ง่ายมาก ข้าพเจ้าโชคดีที่ได้มาจำพรรษาแรกกับหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ ซึ่งข้าพเจ้ารู้จักตั้งแต่ปี ๒๕๒๓ หรือสามปีก่อนบวช ท่านเป็นพระเถระที่มีเมตตา ใจกว้างและเข้าใจคนหนุ่มสาว อีกทั้งยังเห็นว่าการช่วยเหลือสังคมหรือผู้ทุกข์ยากเป็นสิ่งที่พระพึงกระทำ ดังท่านเป็นแบบอย่าง แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยคิดหรือแม้แต่ฝันว่าจะใช้ชีวิตเป็นสิบปีที่วัดป่าสุคะโตในฐานะพระ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้าพเจ้าไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอย่างนั้นตั้งแต่แรก การมาบวชก็ไม่ใช่เพราะมีใจรักในชีวิตพรหมจรรย์ แม้จะเห็นคุณค่าก็ตาม แต่เป็นเพราะความทุกข์ในชีวิตฆราวาสผลักดันให้มาบวชเพื่อจะได้มีเวลาทำสมาธิภาวนาให้ใจสงบเย็น ไม่รุ่มร้อนเหมือนเก่า
เพื่อน ๆ ก็รู้ดีเรื่องนี้ จึงไม่มีใครเป็นห่วงหรือทักท้วงเมื่อข้าพเจ้าขอบวชต่อ เพราะคิดว่าไม่นานก็คงสึก แต่ก็มีหลายคนอยากให้ข้าพเจ้าบวชนาน ๆ หนึ่งในนั้นไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นครูบาอาจารย์ที่ข้าพเจ้านับถือ คือ อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ อาจารย์สุลักษณ์ เป็นผู้ที่คอยชักชวนและทวงถามข้าพเจ้าตั้งแต่อายุยังไม่ถึง ๒๐ ว่าเมื่อไหร่จะบวช เมื่อข้าพเจ้าบวชแล้วท่านก็พยายามกระตุ้นและส่งเสริมให้ข้าพเจ้าบวชนานกว่าสามเดือนตามที่ตั้งใจไว้ ครั้นข้าพเจ้ายืดเวลาสึกออกไปเพื่อบวชเอาพรรษา ท่านก็ทำหลายอย่างเพื่อให้ข้าพเจ้าบวชนานกว่านั้น วิธีหนึ่งก็คือหางานชิ้นใหญ่ให้ข้าพเจ้าทำระหว่างบวช นั่นคือ เป็นองค์ปาฐกในงานประจำปีของมูลนิธิโกมลคีมทอง
ปาฐกถาโกมลคีมทองนั้นเป็นงานใหญ่ของมูลนิธิ ปาฐกและองค์ปาฐกก่อนหน้านั้นล้วนเป็นผู้ใหญ่ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ มี อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นปาฐกคนแรก ตามมาด้วย อ.เสน่ห์ จามริก ส่วนพระภิกษุนั้นท่านหนึ่งก็ได้แก่พระราชวรมุนี (หรือพระพรหมคุณาภรณ์ในปัจจุบัน) แม้ตอนหลังจะเน้นคนรุ่นใหม่ เช่น พระประชา ปสันนธัมโม แต่ก็ยังถือว่าเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงจากงานคิดงานเขียนมาก่อนแล้ว ส่วนพระนวกะอย่างข้าพเจ้านั้นเทียบไม่ได้เลยกับท่านที่เอ่ยนามมาทั้งหมด อาจารย์สุลักษณ์ย่อมทราบดี แต่คงเพราะปรารถนาให้ข้าพเจ้าบวชต่อไปอีก จึงหว่านล้อมกรรมการมูลนิธิโกมลคีมทองให้เลือกข้าพเจ้าเป็นองค์ปาฐก ซึ่งจะต้องแสดงปาฐกถาในเดือนกุมภาพันธ์ปีถัดไป จำได้ว่าก่อนที่ข้าพเจ้าจะไปจำพรรษาที่วัดป่าสุคะโต ได้พบอาจารย์สุลักษณ์ที่สำนักงานกลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม อาจารย์สุลักษณ์ได้มากระซิบว่าหากมูลนิธิโกมลคีมทองนิมนต์อาตมาให้เป็นองค์ปาฐก ก็อย่าปฏิเสธเขานะ
ภาระดังกล่าวมีส่วนทำให้ข้าพเจ้าไม่มีความคิดที่จะสึกเมื่อบวชครบปีในเดือนกุมภาพันธ์ปีถัดมา เพราะในหัวนึกถึงแต่การเตรียมต้นร่างปาฐกถา (ซึ่งทำมาตั้งแต่ ๓-๔ เดือนก่อนหน้านั้นแล้ว และนับเป็นงานใหญ่ที่ทำให้ข้าพเจ้าท้อแท้ในบางครั้ง แต่ในที่สุดก็ทำได้สำเร็จ) ครั้นแสดงปาฐกถาเสร็จ จะสึกเลยก็ดูกระไรอยู่ อย่างน้อยก็ควรเห็นแก่ครูบาอาจารย์ที่พยายามหาอุบายสนับสนุนให้ข้าพเจ้าบวชนาน ๆ ประกอบกับหลังจากบวชครบปีแล้ว เริ่มมีงานการต่าง ๆ ทั้งงานเขียนและงานบรรยายเข้ามา ก็ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกสบายใจที่บวชแล้วยังสามารถทำกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้บ้าง โดยเฉพาะการชักชวนผู้คนให้เห็นคุณค่าของการฝึกจิตพัฒนาตน ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดหายไปในหมู่ฆราวาส โดยเฉพาะคนที่ทำงานเพื่อสังคม อันเป็นแวดวงที่ข้าพเจ้าคุ้นเคย
ประสบการณ์การบวชนั้นทำให้ข้าพเจ้าเห็นคุณค่าของสมาธิภาวนามากขึ้น และอยากชักชวนให้ผู้คนหันมาใส่ใจกับการทำกรรมฐาน แต่ก็ยังไม่มีความคิดที่จะอุทิศชีวิตเพื่อประโยชน์ตนล้วน ๆ แม้จุดหมายสูงสุดคือพระนิพพานก็ตาม ข้าพเจ้าเห็นว่าตนเองควรทำประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านไปพร้อม ๆ กัน หากว่าชีวิตสมณะทำได้แต่เพียงประโยชน์ตนเท่านั้น ข้าพเจ้าก็คงจะบวชได้ไม่นาน เพราะยังอยากทำประโยชน์ให้แก่สังคมอยู่ ข้อนี้อาจเป็น “วาสนา”ของข้าพเจ้าด้วยก็ได้ ที่มีใจมาทางนี้ตั้งแต่เล็กแล้ว (จำได้ว่า ตอนเด็ก ๆ อยากเป็นตำรวจ จะได้ช่วยเหลือประเทศชาติ ทั้ง ๆ ที่พ่อแม่อยากให้ตั้งเป้าหมายชีวิตที่ดีกว่านั้นเพราะข้าพเจ้าเป็นคนเรียนเก่ง) ดังนั้นเมื่อบวชแล้ว ยังสามารถทำประโยชน์ให้แก่สังคมได้อยู่ ข้าพเจ้าจึงไม่รู้สึกอึดอัดกับผ้าเหลืองมากนัก ในเรื่องนี้ก็ต้องขอบคุณหลวงพ่อคำเขียนด้วย ที่ท่านเข้าใจนิสัยใจคอของข้าพเจ้า จึงอนุญาตให้ข้าพเจ้าไปทำกิจในที่ต่าง ๆ ได้ แม้แวดวงที่ข้าพเจ้าเกี่ยวข้อง (คือองค์กรพัฒนาเอกชน หรือที่เรียกในปัจจุบัน NGO) จะเป็นที่จับตามองหรือถึงกับหวาดระแวงของเจ้าหน้าที่รัฐในเวลานั้น แต่หลวงพ่อคำเขียนก็ไม่เคยระแวงหรือหวาดกลัวข้าพเจ้าเลย (ผิดกับพระกรรมฐานหลายรูปที่ไม่เข้าใจคนหนุ่มสาว) ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะท่านเองก็เคยถูกเจ้าหน้าที่รัฐหวาดระแวง จนถึงกับกล่าวหาว่าท่านเป็นแนวร่วมคอมมิวนิสต์เพราะจัดตั้งศูนย์เด็กขึ้นในป่าเขาอันทุรกันดารตั้งแต่ปี ๒๕๒๑ (โดยหารู้ไม่ว่านั่นคือศูนย์เด็กแห่งแรกของจังหวัดชัยภูมิเลยทีเดียว)
การทำกิจกรรมดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการมีงานเขียนงานแปลอย่างสม่ำเสมอ มีส่วนทำให้ข้าพเจ้า “เพลิน”ในการบวช (ซึ่งคงไม่ต่างจากพระป่าจำนวนไม่น้อยที่บวชได้นานเพราะมี “ของเล่น” นอกเหนือจากการทำกรรมฐาน เช่น การทำกลด หรือถักถลกบาตร) อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าก็ยังไม่คิดว่าจะฝากชีวิตนี้ไว้กับผ้าเหลือง เพราะมองไม่ออกว่าตนเองจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร แค่บวชได้นานถึงสิบพรรษาก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว แต่ครั้นจะสึก ก็ใช่ว่าจะทำได้ง่าย เพราะสวนทางกับความคาดหวังของครูบาอาจารย์อย่างอาจารย์สุลักษณ์ และอีกหลายคนที่เห็นว่า ข้าพเจ้าน่าจะทำประโยชน์ได้มากกว่าหากอยู่ในสมณเพศ อย่างน้อยสิ่งที่ข้าพเจ้าทำอยู่นั้นไม่ค่อยมีคนทำ คือการชี้ชวนให้ผู้คนเห็นความสำคัญของมิติด้านจิตวิญญาณ รวมทั้งการนำเอาธรรมะมาใช้กับชีวิตและสังคมสมัยใหม่
เมื่อจะเดินต่อก็มองไม่เห็นว่าจะเดินต่อไปได้นานสักเท่าใด ครั้นจะหยุด ก็ไม่รู้ว่าจะหยุดอย่างไร ความรู้สึกของข้าพเจ้าในบางครั้งจึงไม่ต่างจากคนติดคุก อาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ เพราะติดคุกนั้นยังมีวันออก ส่วนข้าพเจ้านั้นมองไม่เห็นวันออกเลย คือไม่รู้ว่าจะสึกได้เมื่อใด คิดแล้วก็อึดอัด ทางออกก็คือ ไม่ต้องคิดถึงอนาคตที่ยาวไกลมากนัก แค่ตั้งเป้าว่าบวชต่ออีกหนึ่งปีแล้วกัน เมื่อครบปีแล้วก็มาถามใจตนเองว่าบวชต่ออีกหนึ่งปีได้ไหม ทุกปีคำตอบที่ได้ก็คือ “บวชได้” วิธีนี้ทำให้ข้าพเจ้าบวชต่อได้เรื่อย ๆ จนครบห้าปี ทีนี้มีความมั่นใจมากขึ้น อีกทั้งคุ้นเคยกับชีวิตพระแล้ว ก็เลยตั้งใจบวชต่ออีกห้าปีไปเลย แทนที่จะเป็นปีต่อปีดังแต่ก่อน พอบวชครบสิบปีก็รู้สึกว่าสิบปีไม่ใช่เวลาที่ยาวนานเลย จึงตั้งเป้าว่าถ้าบวชครบ ๒๐ ปีก็คงไม่เลว ครั้นผ่านไป ๒๐ ปีก็คิดต่อว่า บวชให้ครบ ๓๐ ปีก็ไม่น่าจะยากอะไร บัดนี้ก็บวชครบ ๓๐ พรรษาแล้ว อีกแค่เดือนเดียวก็จะอยู่ในเพศบรรพชิตครบ ๓๐ ปี ถึงตอนนี้ความคิดเหมือนคนติดคุกได้เลือนหายไปนานแล้ว เพราะรู้สึกคุ้นเคยและเป็นสุขกับชีวิตสมณะ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะกว่าครึ่งชีวิตของข้าพเจ้าเป็นชีวิตในผ้าเหลือง พูดไปทำไมมีแม้กระทั่งคนที่ติดคุกนานถึง ๓๐ ปี ก็คงรู้สึกว่าคุกเป็น “บ้าน”แล้ว ย่อมไม่รู้สึกแปลกแยกหรืออึดอัดกับสภาพเช่นนั้นอีกต่อไป