เมื่อมีเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญเกิดขึ้นในสังคม เมื่อครบรอบปีก็จะมีการจัดงานรำลึกถึงเหตุการณ์นั้นเป็นปกติธรรมดา
การรำลึกถึงผู้สูญเสีย ผู้จากไป จะด้วยสาเหตุที่เป็นภัยธรรมชาติ หรือจากความรุนแรงใดๆ ก็เป็นสิ่งที่สมควรกระทำ
ในนามของมวลมนุษยชาติ
แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า คือการรำลึกถึงต้นตอ ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น อย่างถ่องแท้และเที่ยงธรรม ไม่ลำเอียง ไม่มีอคติ
อย่าเพียงแค่หยุดวิเคราะห์แค่ปลายเหตุ หรือวิเคราะห์แค่ความเป็น " พวกเดียวกัน " โดยจงใจละเลยสาระที่เป็นสัจจะความจริง
หากจะรำลึกเพื่อเพียงเล่นงานหรือเอาคืนฝ่ายตรงข้ามเพียงสถานเดียว แต่ไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งผิดพลาดที่ฝ่ายตนเองได้กระทำแล้ว
ความเห็นอกเห็นใจ หรือเห็นด้วยจากฝ่ายอื่นๆก็คงจะเป็นไปได้ยาก จะมีข้อโต้แย้งที่ไม่รู้จบ
เพราะคิดว่าต่างฝ่ายต่างพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว
หากต่างฝ่าย ต่างมองแต่ด้านเป็นคุณกับตัวเอง และมองแต่สิ่งที่เป็นลบกับฝ่ายตรงข้าม สงครามก็ไม่มีวันสงบ
นั่นหมายถึงจำนวนของคนที่ตายไปแล้วนั้น จะไม่ใช่จำนวนสุดท้ายของผู้สูญเสีย
มันยังจะมีอีกมาก หากยังไม่รู้จักคำว่า "จบ" ให้เป็น
การรู้จักยอมรับข้อผิดพลาดของตนเอง ย่อมได้รับความเห็นใจ และเข้าใจ ซึ่งจะนำมาซึ่งการขออภัยและให้อภัยอย่างแน่นอน
ทั้งฝ่ายที่ถูกกล่าวหา และฝ่ายที่กล่าวหา
หากจะใช้เรื่องของการเสียชีวิตของผู้เป็นวีระชนให้เป็นสิ่งที่มีค่า ก็ต้องใช้ให้เป็นเครื่องเตือนสติ เปิดปัญญาของผู้ที่ยังอยู่ว่า
อะไรที่ทำผิดไปแล้ว หรือทำชอบไปแล้ว ไม่ใช่รำลึกเพื่อสั่งสมความคั่งแค้นเพื่อเป็นเชื้อให้เกิดการรบราฆ่าฟันกันในศึกหน้า
เราควรจะมาหาข้อสรุปเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตต่อไป จากบทเรียนที่เกิดขึ้น ว่าเราได้ทำอะไรลงไปบ้าง
เมื่อทำแล้ว ใครได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ คุ้มค่าหรือไม่ มีใครคิดอย่างไรกับสิ่งที่เราทำบ้าง
ปล่อยวางความอาฆาตแค้น ให้อภัยผู้ที่ข่มเหงย่ำยีเรา เพื่อปลดปล่อยเราให้พ้นจากความทุกข์ หากใครทำดี ก็ย่อมได้ดี
ใครที่ทำชั่ว ก็ต้องได้รับผลชั่วอันนั้น ตามกฏแห่งกรรม
หรือว่า การได้ล้างแค้นเอาคืน ทำให้มันสาแก่ใจ จึงจะถือว่าเป็นความสุข ก็แล้วแต่จะเลือกเอา เป็นสิทธิ์ของแต่ละคน
เพราะอย่างไรเสีย คนไทย มันก็ต้องยังอาศัยอยู่นแผ่นดินเดียวกันไปชั่วลูกชั่วหลาน
หากมัวแต่จะแก้แค้นกันไปมา ความสูญเสียมันก็ย่อมไม่มีวันจบสิ้นไปได้...
เราได้อะไรจากการจัดงานรำลึกเหตุการณ์ต่างๆ
การรำลึกถึงผู้สูญเสีย ผู้จากไป จะด้วยสาเหตุที่เป็นภัยธรรมชาติ หรือจากความรุนแรงใดๆ ก็เป็นสิ่งที่สมควรกระทำ
ในนามของมวลมนุษยชาติ
แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า คือการรำลึกถึงต้นตอ ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น อย่างถ่องแท้และเที่ยงธรรม ไม่ลำเอียง ไม่มีอคติ
อย่าเพียงแค่หยุดวิเคราะห์แค่ปลายเหตุ หรือวิเคราะห์แค่ความเป็น " พวกเดียวกัน " โดยจงใจละเลยสาระที่เป็นสัจจะความจริง
หากจะรำลึกเพื่อเพียงเล่นงานหรือเอาคืนฝ่ายตรงข้ามเพียงสถานเดียว แต่ไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งผิดพลาดที่ฝ่ายตนเองได้กระทำแล้ว
ความเห็นอกเห็นใจ หรือเห็นด้วยจากฝ่ายอื่นๆก็คงจะเป็นไปได้ยาก จะมีข้อโต้แย้งที่ไม่รู้จบ
เพราะคิดว่าต่างฝ่ายต่างพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว
หากต่างฝ่าย ต่างมองแต่ด้านเป็นคุณกับตัวเอง และมองแต่สิ่งที่เป็นลบกับฝ่ายตรงข้าม สงครามก็ไม่มีวันสงบ
นั่นหมายถึงจำนวนของคนที่ตายไปแล้วนั้น จะไม่ใช่จำนวนสุดท้ายของผู้สูญเสีย
มันยังจะมีอีกมาก หากยังไม่รู้จักคำว่า "จบ" ให้เป็น
การรู้จักยอมรับข้อผิดพลาดของตนเอง ย่อมได้รับความเห็นใจ และเข้าใจ ซึ่งจะนำมาซึ่งการขออภัยและให้อภัยอย่างแน่นอน
ทั้งฝ่ายที่ถูกกล่าวหา และฝ่ายที่กล่าวหา
หากจะใช้เรื่องของการเสียชีวิตของผู้เป็นวีระชนให้เป็นสิ่งที่มีค่า ก็ต้องใช้ให้เป็นเครื่องเตือนสติ เปิดปัญญาของผู้ที่ยังอยู่ว่า
อะไรที่ทำผิดไปแล้ว หรือทำชอบไปแล้ว ไม่ใช่รำลึกเพื่อสั่งสมความคั่งแค้นเพื่อเป็นเชื้อให้เกิดการรบราฆ่าฟันกันในศึกหน้า
เราควรจะมาหาข้อสรุปเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตต่อไป จากบทเรียนที่เกิดขึ้น ว่าเราได้ทำอะไรลงไปบ้าง
เมื่อทำแล้ว ใครได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ คุ้มค่าหรือไม่ มีใครคิดอย่างไรกับสิ่งที่เราทำบ้าง
ปล่อยวางความอาฆาตแค้น ให้อภัยผู้ที่ข่มเหงย่ำยีเรา เพื่อปลดปล่อยเราให้พ้นจากความทุกข์ หากใครทำดี ก็ย่อมได้ดี
ใครที่ทำชั่ว ก็ต้องได้รับผลชั่วอันนั้น ตามกฏแห่งกรรม
หรือว่า การได้ล้างแค้นเอาคืน ทำให้มันสาแก่ใจ จึงจะถือว่าเป็นความสุข ก็แล้วแต่จะเลือกเอา เป็นสิทธิ์ของแต่ละคน
เพราะอย่างไรเสีย คนไทย มันก็ต้องยังอาศัยอยู่นแผ่นดินเดียวกันไปชั่วลูกชั่วหลาน
หากมัวแต่จะแก้แค้นกันไปมา ความสูญเสียมันก็ย่อมไม่มีวันจบสิ้นไปได้...