เราจะไม่บอกว่า เบคแฮมเป็นแรงบรรดาลใจเริ่มแรกสำหรับเราในการดูฟุตบอล เพราะคงเป็นการโกหก
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เบคแฮม ทำให้ฟุตบอลน่าสนใจขึ้นสำหรับเด็กผู้หญิงหลายๆคน
เราเองเป็น 1 ในนั้น ..
เมื่อก่อน นักฟุตบอลหล่อๆ ไม่ได้มีเยอะแยะเกลื่อนกลาดแบบทุกวันนี้
ขณะที่รักฟุตบอลหล่อๆ ก็ไม่ได้ "เทพ" แบบเดวิด เบคแฮม กันทุกคน ...
และเราเอง ที่มีพ่อและพี่ชายเป็น DAVID BECKHAM F.C. แบบฮาร์ดคอร์อยู่แล้ว
ออกจะไม่ค่อยชอบเสียด้วยซ้ำ
เพราะเหมือนถูกยัดเยียดให้ชอบแบคแฮมไปโดยไม่รู้ตัว
และก็... ถูกต้อง... เมื่อได้ชอบเขาแล้ว มันยากจะถอนตัว...
เบคแฮมหล่อจริงๆ ไม่ว่าจะบนสนาม หรือ นอกสนาม ...
แม้เขาจะไม่ใช่แรงบันดาลใจเริ่มแรก ... แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความยิ่งใหญ่ของเบคแฮม
ทำให้ ฟุตบอล เป็นเรื่อง น่าสนใจขึ้นมากจริงๆ ในตอนนั้น
(ดูบอลทีมชาติทีไร ก็ขอให้ได้เชียอังกฤษ)

คันโตน่า เคยบอกว่า จอร์จ เบสต์ เป็นแรงบันดาลใจของเขาในการเล่นฟุตบอล
วันที่จอร์จ เบสต์ตาย กองโต้ออกมาบอกว่า หากแลกการประสบความสำเร็จทั้งหมด
กับการได้เล่นบอลกับจอร์จ เบสต์บนสนามสักครั้ง เขาคงยอม ..
ไม่ว่านั่นจะเป็นประโยค เอาหล่อ เอาเท่ หรือ มาจากใจจริงก็ตาม
มันก็สะท้อนอะไรได้หลายอย่าง ... อย่างหนึ่งคือ
ไม่ว่าจะดีชั่ว แต่จอร์จ เบสต์ได้จุดประกายความฝันให้เด็กๆอีกหลายล้านคนทั่วโลก
คนที่เห็นเขา แล้วอยากเป็นแบบเขา คนแบบ อีริค คันโตน่า
แล้วเรื่องจอร์จ เบสต์ กับ คันโตน่า มันมาเกี่ยวกับเบคแฮมได้ไง
เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับตำนาน เบอร์ 7 ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอยู่นิดหน่อย..
สมัยจอร์จ เบสต์ ยังมีชีวิต แต่ก็อยู่ในวัยร่วงโรย จอร์จ เบสต์ มีโอกาสได้เห็นการเล่นของคันโตน่า และ เบคแฮม
เมื่อคันโตน่า ประกาศเลิกเล่น ทิ้งตำนานเบอร์ 7 ไว้ ขณะนั้นเบคแฮมยังใส่เสื้อเบอร์ 10 อยู่
และการเข้ามาของเท็ดดี้ เชอรริ่งแฮม ทำให้แบคแฮมต้องยกเสื้อเบอร์ 10 ให้เท็ดดี้
ส่วนตัวเขา ต้องไปสวมเสื้อ เบอร์ 7 ที่ว่างอยู่แทน
นี่อาจเป็น "ความบังเอิญ" แต่บางครั้ง เราก็เรียกมันว่า "โชคชะตา" ได้เหมือนกัน ...
ปัจจุบัน เสื้อเบอร์ 7 ได้กลายเป็นมรดก สำหรับ นักเตะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปแล้่ว ...
ต้นตำนานเบอร์ 7 แบบจอร์จ เบสต์เคยกล่าวถึงเบคแฮมว่า ...
"เดวิด แบคแฮม จะเป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่แบบ คันโตน่า ให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
และเขาจะสามารถก้าวไปสู่จุดสูงสุดได้แบบเดียวกันในทีมชาติอังกฤษด้วย"

เบคแฮมเอง เคยแสดงทรรศนะเกี่ยวกับนักฟุตบอลสมัยนี้ว่า ...
"สำหรับ ผมเองต้องยกความดีให้พ่อของผม ที่เลี้ยงดูผมมาอย่างเข้มงวด และสอนให้ผมทำตัวติดดิน รวมทั้งเพื่อนฝูงที่ดีของผมอีกด้วย พูดแบบนี้อาจดูแก่ แต่ปัญหาคือ เด็กสมัยนี้เล่นพรีเมียร์ชิพ ไม่ถึง 10 นัด ก็ได้ค่าตัวซะแพงลิบลิ่ว ขับรถหรู
กับไม่มีใครคอยสอน หรือเป็นแบบอย่างในการวางตัว สมัยผมเล่นให้แมนยูฯ ผมต้องทำงานเพื่อแลกกับสัญญา นั่นคือเหตุผลว่าทำไม เซอร์ อเล็ก ถึงประสบความสำเร็จ เพราะเขาบีบให้ลูกทีมทำงานหนัก คอยคุมให้พวกเขาอยู่ในร่องในรอย"

แม้จะเป็นสตาร์ดังของทีม ด้วยฝีมือที่อยู่ในระดับแนวหน้า บวกกับหน้าตา ที่หาใครเทียบยากในตอนนั้น เบคแฮมถือทุกอย่างไว้ในมือ ทั้งถ้วยแชมป์ และ เงินทอง แต่สิ่งหนึ่งที่สตาร์ดังคนนี้ยังคนปฏิบัตเหมือนวันแรกที่เข้ามาอยู่ใน United Acedemy คือ ... ออกจากสนามเป็นคนสุดท้าย ...
บนโลกใบนี้ มีนักฟุตบอลไม่กี่คนที่เราจะสามารถยกย่องทักษะด้านใดด้านหนึ่งให้เขาได้ เมื่อพูดถึงเบคแฮ่ม เราอาจนึกถึงช่วงวัยรุ่นที่เขายิงไกลครึ่งสนาม ... แต่หากพูดถึงความสม่ำเสมอ ... เราจะนึกถึง ฟรีคิก หรือ การเปิดบอล ที่แม่นดุจจับวาง ...
ทุกอย่าง ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะพรสวรรค์ ทุกอย่างเกิดขึ้นการจากฝึกซ้อม
ไม่มีอะไรที่ได้มา โดยไม่พยายาม ...
... นั่นคือ วิธีเล่นฟุตบอลของเดวิด เบคแฮม ...

วันที่สตาร์ดังระดับโลกแบบเขา ต้องก้าวเข้าไปเล่นฟุตบอลในประเทศที่ ฟุตบอล ถูกเรียกว่า "ซอคเกอร์" และ หลายคนไม่สนใจว่าเขาจะทำประตูได้หรือไม่ ชีวิตในฐานะ "แบรนด์" กำลังรุ่งโรจน์ ขณะที่ชีวิตในฐานะนักฟุตบอลกลับเข้าสู่ช่วงขาลง ...
เบคแฮ่มยอมรับว่า ปี 2012 เป็นปีที่ทำให้เขาเศร้ามาก หลังการประกาศนักเตะที่ติดโควต้าทีมชาติ ไม่มีชื่อของเขา เบคแฮมรู้ดีว่า โอกาสสุดท้ายในการรับใช้ชาติของเขาได้หลุดลอยไปแล้ว เบคแฮมหวังเพียงว่า เขาจะได้มีโอกาสได้ร่ำลาแฟนบอลบนสนาม แต่ในเมื่อมันไม่มาถึง เบคแฮมจึงออกมาประกาศยอมรับแบบแมนๆ และร่ำลาการรับใช้ชาติในปีนั้น ...
ต่อคำถามที่ว่า ... อยากให้แฟนบอลจดจำเขาในฐานะอะไร
"แค่นักฟุตบอลที่ทำงานหนัก ผมอยากถูกจดจำในแง่ของนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จ
เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ผมทำมาหลายปี ต่อจากนั้น ใครจะรู้.."

หาก จอร์จ เบสต์ เป็น แรงบรรดาลใจของ คันโตนา
และหาก อีริค คันโตนา เป็นคนที่เบคแฺฮม หวังว่าเขาจะทุ่มเทกับฟุตบอลให้ได้เทียบเท่า ...
วันนี้ เดวิด แบคแฮม เองก็ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจของเด็กผู้ชายเกือบทั้งโลก
ไม่ว่าจะด้านความเป็นนักกีฬา หรือ การใช้ชีวิต
เขาอาจไม่รู้ตัว แต่มันเกิดขึ้นแล้ว
ในวันที่ คันโตน่า แขวนสตั๊ด เขาได้ให้เหตุผลว่า
"ผมภูมิใจที่แฟนๆ ยังคงร้องเรียกชื่อผม แต่ผมกลัวว่าพรุ่งนี้พวกเขาอาจจะไม่ทำเช่นนั้น
ผมกลัวเพราะผมรักมัน และทุกๆ สิ่งที่คุณรัก คุณก็ต้องกลัวที่จะเสียมันไป"
สำหรับเบคแฮม เหตุผลที่ ร่ำลากันในวันนี้ มันคงเป็นเหตุผลเดียวกับ คันโตน่า ...
แต่คำกล่าวลาคงไม่จำเป็นเท่าไรนักในตอนนี้ ...
คำขอบคุณ คงจะเหมาะสมกว่า
สำหรับ ชายผู้เป็นแรงบันดาลใจของคนหนุ่มสาวยุค 90 ทั่วโลก
ชายผู้ประสบความสำเร็จมาทั้งชีวิต ...
Live like a Champion.
Live like a David Beckham.
Thank you Captain.

... ไม่มีคำบอกลา มีแต่คำว่า "ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจ" David Beckham ...
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เบคแฮม ทำให้ฟุตบอลน่าสนใจขึ้นสำหรับเด็กผู้หญิงหลายๆคน
เราเองเป็น 1 ในนั้น ..
เมื่อก่อน นักฟุตบอลหล่อๆ ไม่ได้มีเยอะแยะเกลื่อนกลาดแบบทุกวันนี้
ขณะที่รักฟุตบอลหล่อๆ ก็ไม่ได้ "เทพ" แบบเดวิด เบคแฮม กันทุกคน ...
และเราเอง ที่มีพ่อและพี่ชายเป็น DAVID BECKHAM F.C. แบบฮาร์ดคอร์อยู่แล้ว
ออกจะไม่ค่อยชอบเสียด้วยซ้ำ
เพราะเหมือนถูกยัดเยียดให้ชอบแบคแฮมไปโดยไม่รู้ตัว
และก็... ถูกต้อง... เมื่อได้ชอบเขาแล้ว มันยากจะถอนตัว...
เบคแฮมหล่อจริงๆ ไม่ว่าจะบนสนาม หรือ นอกสนาม ...
แม้เขาจะไม่ใช่แรงบันดาลใจเริ่มแรก ... แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความยิ่งใหญ่ของเบคแฮม
ทำให้ ฟุตบอล เป็นเรื่อง น่าสนใจขึ้นมากจริงๆ ในตอนนั้น
(ดูบอลทีมชาติทีไร ก็ขอให้ได้เชียอังกฤษ)
คันโตน่า เคยบอกว่า จอร์จ เบสต์ เป็นแรงบันดาลใจของเขาในการเล่นฟุตบอล
วันที่จอร์จ เบสต์ตาย กองโต้ออกมาบอกว่า หากแลกการประสบความสำเร็จทั้งหมด
กับการได้เล่นบอลกับจอร์จ เบสต์บนสนามสักครั้ง เขาคงยอม ..
ไม่ว่านั่นจะเป็นประโยค เอาหล่อ เอาเท่ หรือ มาจากใจจริงก็ตาม
มันก็สะท้อนอะไรได้หลายอย่าง ... อย่างหนึ่งคือ
ไม่ว่าจะดีชั่ว แต่จอร์จ เบสต์ได้จุดประกายความฝันให้เด็กๆอีกหลายล้านคนทั่วโลก
คนที่เห็นเขา แล้วอยากเป็นแบบเขา คนแบบ อีริค คันโตน่า
แล้วเรื่องจอร์จ เบสต์ กับ คันโตน่า มันมาเกี่ยวกับเบคแฮมได้ไง
เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับตำนาน เบอร์ 7 ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอยู่นิดหน่อย..
สมัยจอร์จ เบสต์ ยังมีชีวิต แต่ก็อยู่ในวัยร่วงโรย จอร์จ เบสต์ มีโอกาสได้เห็นการเล่นของคันโตน่า และ เบคแฮม
เมื่อคันโตน่า ประกาศเลิกเล่น ทิ้งตำนานเบอร์ 7 ไว้ ขณะนั้นเบคแฮมยังใส่เสื้อเบอร์ 10 อยู่
และการเข้ามาของเท็ดดี้ เชอรริ่งแฮม ทำให้แบคแฮมต้องยกเสื้อเบอร์ 10 ให้เท็ดดี้
ส่วนตัวเขา ต้องไปสวมเสื้อ เบอร์ 7 ที่ว่างอยู่แทน
นี่อาจเป็น "ความบังเอิญ" แต่บางครั้ง เราก็เรียกมันว่า "โชคชะตา" ได้เหมือนกัน ...
ปัจจุบัน เสื้อเบอร์ 7 ได้กลายเป็นมรดก สำหรับ นักเตะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปแล้่ว ...
ต้นตำนานเบอร์ 7 แบบจอร์จ เบสต์เคยกล่าวถึงเบคแฮมว่า ...
"เดวิด แบคแฮม จะเป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่แบบ คันโตน่า ให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
และเขาจะสามารถก้าวไปสู่จุดสูงสุดได้แบบเดียวกันในทีมชาติอังกฤษด้วย"
เบคแฮมเอง เคยแสดงทรรศนะเกี่ยวกับนักฟุตบอลสมัยนี้ว่า ...
"สำหรับ ผมเองต้องยกความดีให้พ่อของผม ที่เลี้ยงดูผมมาอย่างเข้มงวด และสอนให้ผมทำตัวติดดิน รวมทั้งเพื่อนฝูงที่ดีของผมอีกด้วย พูดแบบนี้อาจดูแก่ แต่ปัญหาคือ เด็กสมัยนี้เล่นพรีเมียร์ชิพ ไม่ถึง 10 นัด ก็ได้ค่าตัวซะแพงลิบลิ่ว ขับรถหรู
กับไม่มีใครคอยสอน หรือเป็นแบบอย่างในการวางตัว สมัยผมเล่นให้แมนยูฯ ผมต้องทำงานเพื่อแลกกับสัญญา นั่นคือเหตุผลว่าทำไม เซอร์ อเล็ก ถึงประสบความสำเร็จ เพราะเขาบีบให้ลูกทีมทำงานหนัก คอยคุมให้พวกเขาอยู่ในร่องในรอย"
แม้จะเป็นสตาร์ดังของทีม ด้วยฝีมือที่อยู่ในระดับแนวหน้า บวกกับหน้าตา ที่หาใครเทียบยากในตอนนั้น เบคแฮมถือทุกอย่างไว้ในมือ ทั้งถ้วยแชมป์ และ เงินทอง แต่สิ่งหนึ่งที่สตาร์ดังคนนี้ยังคนปฏิบัตเหมือนวันแรกที่เข้ามาอยู่ใน United Acedemy คือ ... ออกจากสนามเป็นคนสุดท้าย ...
บนโลกใบนี้ มีนักฟุตบอลไม่กี่คนที่เราจะสามารถยกย่องทักษะด้านใดด้านหนึ่งให้เขาได้ เมื่อพูดถึงเบคแฮ่ม เราอาจนึกถึงช่วงวัยรุ่นที่เขายิงไกลครึ่งสนาม ... แต่หากพูดถึงความสม่ำเสมอ ... เราจะนึกถึง ฟรีคิก หรือ การเปิดบอล ที่แม่นดุจจับวาง ...
ทุกอย่าง ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะพรสวรรค์ ทุกอย่างเกิดขึ้นการจากฝึกซ้อม
ไม่มีอะไรที่ได้มา โดยไม่พยายาม ...
... นั่นคือ วิธีเล่นฟุตบอลของเดวิด เบคแฮม ...
วันที่สตาร์ดังระดับโลกแบบเขา ต้องก้าวเข้าไปเล่นฟุตบอลในประเทศที่ ฟุตบอล ถูกเรียกว่า "ซอคเกอร์" และ หลายคนไม่สนใจว่าเขาจะทำประตูได้หรือไม่ ชีวิตในฐานะ "แบรนด์" กำลังรุ่งโรจน์ ขณะที่ชีวิตในฐานะนักฟุตบอลกลับเข้าสู่ช่วงขาลง ...
เบคแฮ่มยอมรับว่า ปี 2012 เป็นปีที่ทำให้เขาเศร้ามาก หลังการประกาศนักเตะที่ติดโควต้าทีมชาติ ไม่มีชื่อของเขา เบคแฮมรู้ดีว่า โอกาสสุดท้ายในการรับใช้ชาติของเขาได้หลุดลอยไปแล้ว เบคแฮมหวังเพียงว่า เขาจะได้มีโอกาสได้ร่ำลาแฟนบอลบนสนาม แต่ในเมื่อมันไม่มาถึง เบคแฮมจึงออกมาประกาศยอมรับแบบแมนๆ และร่ำลาการรับใช้ชาติในปีนั้น ...
ต่อคำถามที่ว่า ... อยากให้แฟนบอลจดจำเขาในฐานะอะไร

"แค่นักฟุตบอลที่ทำงานหนัก ผมอยากถูกจดจำในแง่ของนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จ
เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ผมทำมาหลายปี ต่อจากนั้น ใครจะรู้.."
หาก จอร์จ เบสต์ เป็น แรงบรรดาลใจของ คันโตนา

และหาก อีริค คันโตนา เป็นคนที่เบคแฺฮม หวังว่าเขาจะทุ่มเทกับฟุตบอลให้ได้เทียบเท่า ...
วันนี้ เดวิด แบคแฮม เองก็ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจของเด็กผู้ชายเกือบทั้งโลก
ไม่ว่าจะด้านความเป็นนักกีฬา หรือ การใช้ชีวิต
เขาอาจไม่รู้ตัว แต่มันเกิดขึ้นแล้ว
ในวันที่ คันโตน่า แขวนสตั๊ด เขาได้ให้เหตุผลว่า
"ผมภูมิใจที่แฟนๆ ยังคงร้องเรียกชื่อผม แต่ผมกลัวว่าพรุ่งนี้พวกเขาอาจจะไม่ทำเช่นนั้น
ผมกลัวเพราะผมรักมัน และทุกๆ สิ่งที่คุณรัก คุณก็ต้องกลัวที่จะเสียมันไป"
สำหรับเบคแฮม เหตุผลที่ ร่ำลากันในวันนี้ มันคงเป็นเหตุผลเดียวกับ คันโตน่า ...
แต่คำกล่าวลาคงไม่จำเป็นเท่าไรนักในตอนนี้ ...
คำขอบคุณ คงจะเหมาะสมกว่า
สำหรับ ชายผู้เป็นแรงบันดาลใจของคนหนุ่มสาวยุค 90 ทั่วโลก
ชายผู้ประสบความสำเร็จมาทั้งชีวิต ...
Live like a Champion.
Live like a David Beckham.
Thank you Captain.