คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 9
ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ผมว่าระยะยาวดีครับ ด้วยเหตุผลดังนี้ครับ
1. ปีนี้จะกลับมามีกำไรหลังจากที่ขาดทุนเนื่องจากต้องจ่ายค่าสินไหมน้ำท่วมหนักมากเมื่อปีที่แล้ว แต่ได้ทำการเพิ่มทุนแล้ว และตั้งสำรองค่าสินไหมไว้หมดแล้ว
2. มีการเอาหุ้นลูกเข้าตลาด (THREL) ซึ่งเป็นประกันชีวิตต่อ ซึ่งผู้ถือหุ้นเดิมน่าจะได้สิทธิ IPO (ซึ่งโดยปกติเมื่อเข้า Trade ส่วนใหญ่คนได้ IPO ก็มักจะได้กำไรอย่างมาก)
3. ด้วยเหตุของข้อ 2 จะทำให้ THRE ได้กำไรพิเศษเพิ่มเติมด้วยจากการเอาหุ้นลูกเข้าตลาด จึงยิ่งทำให้กำไรต่อหุ้นของ THRE เพิ่มสูงขึ้นเป็นพิเศษ
4. ธุรกิจรับประกันภัย เป็นธุรกิจที่เติบโตไปได้โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากนัก ไม่เหมือนกับอุตสาหกรรมหนัก ซึ่งจะต้องขยายตัวโดยการลงทุนซื้อที่ดิน สร้างโรงงานใหม่
5. THRE มีลูกค้าคือบริษัทประกันภัยต่าง ๆ ซึ่งหลาย ๆ บริษัทเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ด้วย ดังนั้นจึงค่อนข้างชัดเจนที่ลูกค้า (ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่) ย่อมที่จะใช้บริการ THRE
6. การที่บริษัท THRE เป็นบริษัทรับประกันภัยต่อกับหลายบริษัท จึงมีการเติบโตตามอุตสาหกรรมประกันภัยที่มีแนวโน้มที่จะโตขึ้น โดยไม่ต้องแข่งขันกับบริษัทประกันภัยอื่น ๆ มากนัก (เพราะไม่ว่าใครจะได้ Market Share สูง ก็ทำให้ THRE โตอยู่แล้ว ในกรณีที่บริษัทนั้นเป็นลูกค้าบริษัท THRE) (นอกจากแข่งกับบริษัทรับประกันภัยต่อจากต่างประเทศ แต่ด้วยเงินกองทุนที่มี THRE ก็ไม่สามารถรับประกันภัยต่อได้หมดทั้งอุตสาหกรรมอยู่แล้ว ดังนั้นจะว่าบริษัทรับประกันภัยต่อต่างประเทศมาแย่งส่วนแบ่งการตลาด ก็ไม่เชิง เพราะรับหมดไม่ไหวอยู่แล้ว)
7. บริษัท THRE มีการประกันต่ออีกช่วงหนึ่งไปยังบริษัทประกันภัยต่อต่างประเทศ จึงเป็นการป้องกันความเสี่ยงได้อีกระดับหนึ่ง
8. บริษัท THRE พยายามลด Port ที่มีความเสี่ยงลง จึงมีแนวโน้มที่น่าจะลดความเสี่ยงลงได้
9. การที่บริษัทรอดจากสภาวะน้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นในปี 2554 ที่ผ่านมาได้ (ซึ่งนับเป็นมหันตภัยที่เรียกว่าเกือบจะใหญ่มาก และไม่น่าเกิดขึ้นได้บ่อยนัก) เป็นการพิสูจน์ความแข็งแกร่งของบริษัทได้อย่างหนึ่ง
10. ลองดูรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทแล้ว คิดว่ามีความมั่นคงพอควร ส่วนใหญ่เป็นกองทุน
11. ดูหนี้สินต่อทุนของบริษัท ดูเหมือนกับจะมี Ratio ที่สูงมาก (ประมาณ 8 เท่ากว่า) แต่หนี้ส่วนใหญ่ เป็นหนี้ที่เป็นส่วนของการตั้งสำรองค่าสินไหมทดแทน ซึ่งไม่ใช่หนี้ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย ในทางกลับกัน ส่วนนี้เป็นเงินที่บริษัทต้องกันออกมา และสามารถนำไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น (โดยลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่นพันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น)
12. บริษัทยังสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงสูงได้ เช่นตลาดหุ้น (ในเพดานที่กำหนดไว้) และด้วยภาวะตลาดปัจจุบัน บริษัทมีกำไรจากการลงทุนในตลาดมากพอสมควร
13. ในปีนี้ อาจจะยังไม่มีการจ่ายปันผล แต่หากปีนี้บริษัทได้กำไรตามเป้าหมาย บริษัทสามารถนำส่วนเกินมูลค่าหุ้นมาลบขาดทุนสะสมออก (ที่เกิดจากน้ำท่วม) และน่าจะจ่ายเงินปันผลได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า (ลักษณะของหุ้นที่นำเอาส่วนเกินมูลค่าหุ้นมาลบขาดทุนสะสมได้หมด และพร้อมจ่ายปันผล มักจะเป็นหุ้นที่ราคาจะเพิ่มขึ้นมาก)
14. อัตราการจ่ายเงินปันผลในอดีตของบริษัทค่อนข้างสูง และ Payout Ratio (อัตราส่วนเงินปันผลที่จ่ายจากกำไรสุทธิ) ของบริษัทก็ค่อนข้างสูงมาก ในระยะยาว น่าจะเป็นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลดีทีเดียว
15. P/E ยังคำนวณไม่ได้ เพราะ E ติดลบอยู่ แต่หากคาดว่ากำไรต่อหุ้นปีนี้ประมาณ 0.4 รวมกับกำไรจากหุ้นลูกอีก 0.35 (ตามการประมาณการ) ถ้าให้ P/E เท่ากับ 10 (ประมาณจาก P/E กลุ่มประกัน) ราคาปลายปีน่าจะได้ 7.5 บาท ถ้า P/E = 15 ก็เกือบ 10 บาท
16. อันนี้ Subjective นะครับ เพราะผมดูรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ มีชื่อเซียนป๋อง วัชระ แก้วสว่าง ถืออยู่ 30 ล้านหุ้น (ผมเชื่อว่าเขาก็คงต้องดูมาดีแล้ว แต่อย่างว่า เขาคงมีต้นทุนต่ำมาก)
ดูเหมือนจะมีแต่ข้อดีนะครับ (อาจจะ Bias เพราะผมมีหุ้น) แต่มีความเสี่ยงหรือข้อที่ควรระวังดังนี้ครับ
1. หากเกิดเหตุการณ์เช่นน้ำท่วมใหญ่ขึ้นอีก ก็จะเป็นหุ้นที่โดนผลกระทบ (แต่อันนี้ก็คาดเดาไม่ได้ เพราะถ้าเกิดขึ้น ก็โดนกันหลายอุตสาหกรรมเช่นเดียวกัน)
2. Price Per Book ค่อนข้างสูง ประมาณ 5 เท่าในปัจจุบัน
3. ในปัจจุบันอันดับ Rating ลดลง จึงสูญเสียลูกค้าบริษัทประกันต่างประเทศไปกว่า 10 ราย ทำให้เบี้ยประกันลดลง (อันนี้ต้องรอจนกว่าบริษัทจะได้เพิ่ม Rating ขึ้น ซึ่งหากได้ Rating ความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น จากกำไรที่ได้เพิ่มขึ้น ก็จะเป็นอีกข่าวดีหนึ่งที่ทำให้ราคาหุ้นขึ้นได้)
4. บริษัทมีสัญญากลาย ๆ คล้าย ๆ เป็นข้อตกลงกันระหว่างบริษัทประกันไทย ว่าจะส่งต่อให้บริษัทในปริมาณหนึ่ง แต่ในปัจจุบัน ก็มีหลายบริษัทที่หมดสัญญาไปแล้ว จึงไม่เป็นการการันตีว่าลูกค้ารายอื่น ๆ จะยังคงอยู่กับบริษัทหรือไม่ (บริษัทได้พยายามสร้าง Product ร่วมกับลูกค้า เพื่อที่จะได้รักษารายได้ไว้ โดยมีข้อตกลงกันระหว่างลูกค้าต่าง ๆ )
5. ไม่มีความชัดเจนว่าสัญญาระหว่างบริษัทนั้น มีระยะยาวมากน้อยประการใด (ผมพยายามอ่าน 56-1 ก็ไม่มีข้อมูลนี้) ถ้ายาว ตรงนี้เป็นสิ่งดี เหมือนกับเป็นการ Lock ลูกค้าไว้ ถ้าสั้นก็เป็นความเสี่ยง ที่อาจจะสูญเสียลูกค้าบริษัทประกันนั้น ๆ ไป (แต่โดยความเชื่อ ผมว่าบริษัทประกันที่ทำสัญญาระยะยาวกับลูกค้ารายย่อย น่าจะทำสัญญาระยะยาวกับบริษัทรับประกันภัยต่อเช่นกัน ลักษณะนี้เป็นลักษณะที่ได้เปรียบอย่างมากในอุตสาหกรรมประกัน เพราะเป็นการการันตี การกลับมาใช้บริการซ้ำ ซึ่งต่างจากอุตสาหกรรมอื่น)
6. ราคาหุ้นไม่หวือหวา อาจจะไม่ถูกใจขาซิ่ง หรือ Trader สักเท่าไร มันนิ่ง ๆ ครับ บางคนบอกว่าเจ้าไม่ค่อยมาลากราคา ทุบราคา เท่าไร (ซึ่งจริง ๆ อันนี้ผมชอบนะครับ)
ข้อมูลทั้งหมดมาจากงบการเงิน Annual Report 56-1 บทวิเคราะห์จาก Broker รวมทั้งกระทู้ต่าง ๆ ถือว่า share ให้ฟังแล้วกันนะครับ นักลงทุนลองใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจครับ ตามที่ได้บอกไว้ครับ ผมอาจจะลำเอียงครับ เพราะมีหุ้นอยู่ครับ
1. ปีนี้จะกลับมามีกำไรหลังจากที่ขาดทุนเนื่องจากต้องจ่ายค่าสินไหมน้ำท่วมหนักมากเมื่อปีที่แล้ว แต่ได้ทำการเพิ่มทุนแล้ว และตั้งสำรองค่าสินไหมไว้หมดแล้ว
2. มีการเอาหุ้นลูกเข้าตลาด (THREL) ซึ่งเป็นประกันชีวิตต่อ ซึ่งผู้ถือหุ้นเดิมน่าจะได้สิทธิ IPO (ซึ่งโดยปกติเมื่อเข้า Trade ส่วนใหญ่คนได้ IPO ก็มักจะได้กำไรอย่างมาก)
3. ด้วยเหตุของข้อ 2 จะทำให้ THRE ได้กำไรพิเศษเพิ่มเติมด้วยจากการเอาหุ้นลูกเข้าตลาด จึงยิ่งทำให้กำไรต่อหุ้นของ THRE เพิ่มสูงขึ้นเป็นพิเศษ
4. ธุรกิจรับประกันภัย เป็นธุรกิจที่เติบโตไปได้โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากนัก ไม่เหมือนกับอุตสาหกรรมหนัก ซึ่งจะต้องขยายตัวโดยการลงทุนซื้อที่ดิน สร้างโรงงานใหม่
5. THRE มีลูกค้าคือบริษัทประกันภัยต่าง ๆ ซึ่งหลาย ๆ บริษัทเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ด้วย ดังนั้นจึงค่อนข้างชัดเจนที่ลูกค้า (ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่) ย่อมที่จะใช้บริการ THRE
6. การที่บริษัท THRE เป็นบริษัทรับประกันภัยต่อกับหลายบริษัท จึงมีการเติบโตตามอุตสาหกรรมประกันภัยที่มีแนวโน้มที่จะโตขึ้น โดยไม่ต้องแข่งขันกับบริษัทประกันภัยอื่น ๆ มากนัก (เพราะไม่ว่าใครจะได้ Market Share สูง ก็ทำให้ THRE โตอยู่แล้ว ในกรณีที่บริษัทนั้นเป็นลูกค้าบริษัท THRE) (นอกจากแข่งกับบริษัทรับประกันภัยต่อจากต่างประเทศ แต่ด้วยเงินกองทุนที่มี THRE ก็ไม่สามารถรับประกันภัยต่อได้หมดทั้งอุตสาหกรรมอยู่แล้ว ดังนั้นจะว่าบริษัทรับประกันภัยต่อต่างประเทศมาแย่งส่วนแบ่งการตลาด ก็ไม่เชิง เพราะรับหมดไม่ไหวอยู่แล้ว)
7. บริษัท THRE มีการประกันต่ออีกช่วงหนึ่งไปยังบริษัทประกันภัยต่อต่างประเทศ จึงเป็นการป้องกันความเสี่ยงได้อีกระดับหนึ่ง
8. บริษัท THRE พยายามลด Port ที่มีความเสี่ยงลง จึงมีแนวโน้มที่น่าจะลดความเสี่ยงลงได้
9. การที่บริษัทรอดจากสภาวะน้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นในปี 2554 ที่ผ่านมาได้ (ซึ่งนับเป็นมหันตภัยที่เรียกว่าเกือบจะใหญ่มาก และไม่น่าเกิดขึ้นได้บ่อยนัก) เป็นการพิสูจน์ความแข็งแกร่งของบริษัทได้อย่างหนึ่ง
10. ลองดูรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทแล้ว คิดว่ามีความมั่นคงพอควร ส่วนใหญ่เป็นกองทุน
11. ดูหนี้สินต่อทุนของบริษัท ดูเหมือนกับจะมี Ratio ที่สูงมาก (ประมาณ 8 เท่ากว่า) แต่หนี้ส่วนใหญ่ เป็นหนี้ที่เป็นส่วนของการตั้งสำรองค่าสินไหมทดแทน ซึ่งไม่ใช่หนี้ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย ในทางกลับกัน ส่วนนี้เป็นเงินที่บริษัทต้องกันออกมา และสามารถนำไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น (โดยลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่นพันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น)
12. บริษัทยังสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงสูงได้ เช่นตลาดหุ้น (ในเพดานที่กำหนดไว้) และด้วยภาวะตลาดปัจจุบัน บริษัทมีกำไรจากการลงทุนในตลาดมากพอสมควร
13. ในปีนี้ อาจจะยังไม่มีการจ่ายปันผล แต่หากปีนี้บริษัทได้กำไรตามเป้าหมาย บริษัทสามารถนำส่วนเกินมูลค่าหุ้นมาลบขาดทุนสะสมออก (ที่เกิดจากน้ำท่วม) และน่าจะจ่ายเงินปันผลได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า (ลักษณะของหุ้นที่นำเอาส่วนเกินมูลค่าหุ้นมาลบขาดทุนสะสมได้หมด และพร้อมจ่ายปันผล มักจะเป็นหุ้นที่ราคาจะเพิ่มขึ้นมาก)
14. อัตราการจ่ายเงินปันผลในอดีตของบริษัทค่อนข้างสูง และ Payout Ratio (อัตราส่วนเงินปันผลที่จ่ายจากกำไรสุทธิ) ของบริษัทก็ค่อนข้างสูงมาก ในระยะยาว น่าจะเป็นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลดีทีเดียว
15. P/E ยังคำนวณไม่ได้ เพราะ E ติดลบอยู่ แต่หากคาดว่ากำไรต่อหุ้นปีนี้ประมาณ 0.4 รวมกับกำไรจากหุ้นลูกอีก 0.35 (ตามการประมาณการ) ถ้าให้ P/E เท่ากับ 10 (ประมาณจาก P/E กลุ่มประกัน) ราคาปลายปีน่าจะได้ 7.5 บาท ถ้า P/E = 15 ก็เกือบ 10 บาท
16. อันนี้ Subjective นะครับ เพราะผมดูรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ มีชื่อเซียนป๋อง วัชระ แก้วสว่าง ถืออยู่ 30 ล้านหุ้น (ผมเชื่อว่าเขาก็คงต้องดูมาดีแล้ว แต่อย่างว่า เขาคงมีต้นทุนต่ำมาก)
ดูเหมือนจะมีแต่ข้อดีนะครับ (อาจจะ Bias เพราะผมมีหุ้น) แต่มีความเสี่ยงหรือข้อที่ควรระวังดังนี้ครับ
1. หากเกิดเหตุการณ์เช่นน้ำท่วมใหญ่ขึ้นอีก ก็จะเป็นหุ้นที่โดนผลกระทบ (แต่อันนี้ก็คาดเดาไม่ได้ เพราะถ้าเกิดขึ้น ก็โดนกันหลายอุตสาหกรรมเช่นเดียวกัน)
2. Price Per Book ค่อนข้างสูง ประมาณ 5 เท่าในปัจจุบัน
3. ในปัจจุบันอันดับ Rating ลดลง จึงสูญเสียลูกค้าบริษัทประกันต่างประเทศไปกว่า 10 ราย ทำให้เบี้ยประกันลดลง (อันนี้ต้องรอจนกว่าบริษัทจะได้เพิ่ม Rating ขึ้น ซึ่งหากได้ Rating ความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น จากกำไรที่ได้เพิ่มขึ้น ก็จะเป็นอีกข่าวดีหนึ่งที่ทำให้ราคาหุ้นขึ้นได้)
4. บริษัทมีสัญญากลาย ๆ คล้าย ๆ เป็นข้อตกลงกันระหว่างบริษัทประกันไทย ว่าจะส่งต่อให้บริษัทในปริมาณหนึ่ง แต่ในปัจจุบัน ก็มีหลายบริษัทที่หมดสัญญาไปแล้ว จึงไม่เป็นการการันตีว่าลูกค้ารายอื่น ๆ จะยังคงอยู่กับบริษัทหรือไม่ (บริษัทได้พยายามสร้าง Product ร่วมกับลูกค้า เพื่อที่จะได้รักษารายได้ไว้ โดยมีข้อตกลงกันระหว่างลูกค้าต่าง ๆ )
5. ไม่มีความชัดเจนว่าสัญญาระหว่างบริษัทนั้น มีระยะยาวมากน้อยประการใด (ผมพยายามอ่าน 56-1 ก็ไม่มีข้อมูลนี้) ถ้ายาว ตรงนี้เป็นสิ่งดี เหมือนกับเป็นการ Lock ลูกค้าไว้ ถ้าสั้นก็เป็นความเสี่ยง ที่อาจจะสูญเสียลูกค้าบริษัทประกันนั้น ๆ ไป (แต่โดยความเชื่อ ผมว่าบริษัทประกันที่ทำสัญญาระยะยาวกับลูกค้ารายย่อย น่าจะทำสัญญาระยะยาวกับบริษัทรับประกันภัยต่อเช่นกัน ลักษณะนี้เป็นลักษณะที่ได้เปรียบอย่างมากในอุตสาหกรรมประกัน เพราะเป็นการการันตี การกลับมาใช้บริการซ้ำ ซึ่งต่างจากอุตสาหกรรมอื่น)
6. ราคาหุ้นไม่หวือหวา อาจจะไม่ถูกใจขาซิ่ง หรือ Trader สักเท่าไร มันนิ่ง ๆ ครับ บางคนบอกว่าเจ้าไม่ค่อยมาลากราคา ทุบราคา เท่าไร (ซึ่งจริง ๆ อันนี้ผมชอบนะครับ)
ข้อมูลทั้งหมดมาจากงบการเงิน Annual Report 56-1 บทวิเคราะห์จาก Broker รวมทั้งกระทู้ต่าง ๆ ถือว่า share ให้ฟังแล้วกันนะครับ นักลงทุนลองใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจครับ ตามที่ได้บอกไว้ครับ ผมอาจจะลำเอียงครับ เพราะมีหุ้นอยู่ครับ

แสดงความคิดเห็น
หุ้น THRE
อนาคตของหุ้นตัวนี้น่าจะดีไหมครับ
ปล.ตั้งกระทู้ครั้งแรก ขอบคุณครับ