เรื่อง "ชาวประมงกับนักธุรกิจ"
นักธุรกิจชาวอเมริกันซึ่งมาพักผ่อนที่ที่หมู่บ้านชายทะเลตามคำแนะนำของแพทย์ ออกไปเดินเล่นบนหาดทรายเพื่อสลัดเรื่องวุ่น ๆ ที่รกเต็มสมองในเช้าวันแรกที่ตื่นขึ้นมา
เมื่อเดินมาจนถึงท่าเทียบเรือ เขาเห็นเรือประมงลำเล็ก ๆ ลำหนึ่งเข้าเทียบท่า ในเรือมีปลาทูน่าครีบเหลืองขนาด ใหญ่อยู่หลายตัว
ทำให้นักธุรกิจรู้สึกทึ่งในความสามารถของชาวประมง จึงถามเขาว่า ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ในการจับปลาเหล่านี้
ชาวประมงตอบว่า”ก็ ใช้เวลาไม่นานนักหรอกครับ”
นักธุรกิจจึงถามว่า “อ้าว แล้วทำไมไม่ใช้เวลาให้นานขึ้น เพื่อจะได้ปลามากขึ้นล่ะ ?”
ชาวประมงตอบว่า “แค่นี้ก็พอใช้จ่าย เลี้ยงได้ทั้งครอบครัวแล้วครับ”
นักธุรกิจจึงถามต่อไปว่า “แล้วคุณใช้เวลาที่เหลือไปทำอะไร ?”
ชาวประมงตอบว่า “ปกติผมตื่นไม่เช้านัก ก็ออกทะเลไปจับปลาสักพัก แล้วกลับมา เล่นกับลูก นอนพักเที่ยงกับภรรยา ตอนเย็นก็ออกไปพบปะเพื่อนฝูงในหมู่บ้าน
ดื่มเล็กน้อยและเล่นกีตาร์ ร้องเพลงเต้นรำจนค่ำ แค่นี้ก็หมดไปวันนึง ๆ แล้วครับ”
นักธุรกิจหัวเราะ ยืดอกแล้วพูดว่า “ผมจบปริญญาโทการบริหารจากฮาวาร์ด ผมจะแนะนำให้
จากนี้ไปคุณควรใช้เวลาจับปลาให้มากขึ้น จับให้ได้มากที่สุดเพื่อให้มีเงินเหลือเก็บ และเมื่อเงินที่เก็บมีจำนวนมากพอ ก็นำไปซื้อเรือลำใหญ่ขึ้นเพื่อจับปลาจำนวนมากขึ้นอีก
ในไม่ช้า คุณก็จะสามารถซื้อเรือเพิ่มขึ้น...เพิ่มขึ้น..จนกลายเป็นกองเรือประมงขนาดใหญ่ แล้วสร้างโรงงานปลากระป๋องเอง เพื่อคุณจะสามารถควบคุมขบวนการผลิต
การจัดจำหน่าย แต่คุณต้องย้ายไปจากที่เล็ก ๆ แห่งนี้ ขยับขยายเข้าไปในเมืองหลวง ที่นั่นคุณจะสามารถดำเนินธุรกิจและขยายให้เติบโตด้วยการบริหารจัดการที่เหมาะสม”
ชาวประมงถามว่า “ท่านครับ ทั้งหมดที่ท่านพูดถึงนี้ต้องใช้เวลานานเท่าไรครับ ?”
นักธุรกิจตอบเขาว่า “ก็ใช้เวลาสัก 15-20 ปี หรืออย่างมากก็ราว 25 ปี”
“แล้วหลังจากนั้นละครับ ?”
นักธุรกิจหัวเราะแล้วตอบว่า “หลังจากนั้น เมื่อได้เวลาที่เหมาะสม คุณก็สามารถนำหุ้นของบริษัทเข้าขายในตลาดหุ้น แล้วคุณก็จะกลายเป็นเศรษฐี มีเงินเป็นร้อย ๆ ล้านเชียวล่ะ”
“ร้อย ๆ ล้าน ? แล้วไงอีกครับ ?”
นักธุรกิจพูดเสียงดังว่า “คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ หลังจากนั้น คุณก็สามารถเกษียณตัวเอง แล้วมองหาหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมทะเลสักแห่ง ที่ซึ่งคุณสามารถนอนตื่นสาย
จับปลาบ้าง เล่นกับลูก นอนพักเที่ยงกับภรรยา เวลาเย็นก็ออกไปพบปะเพื่อนฝูงในหมู่บ้าน
คุณจะดื่ม จะเล่นกีตาร์ ร้องเพลง เต้นรำกับเพื่อน ๆ ได้อย่างสบายใจ คุณจะไม่มีอะไรต้องกังวลอีกเลย”
ชาวประมงยังคงพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “นั่นมิใช่สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่แล้วหรือครับ ?” //
(ถอดความจาก FWD Mail : The fisherman and the businessman / Anonymous)
เราได้ข้อคิดอะไรจากนิทานเรื่องนี้ นี่มิใช่การสนับสนุนให้เป็นคนเกียจคร้าน การทำมาหากินเพื่อความเป็นอยู่ที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็น แต่การไม่รู้จักถ่วงดุลให้เหมาะสมกับการใช้เวลาที่มีอยู่ ก็เป็นเรื่องที่น่าสมเพช หลายคนทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการงานจนลืมไปว่า เขายังมีคนบางคนที่เขารัก และยังมีบางสิ่งที่เขาชื่นชอบ ที่พร้อมจะให้ความสุข และความอิ่มเอมใจแก่เขาได้ เรามิจำต้องตั้งเป้าหมายให้สูงส่ง แล้วตรากตรำให้บรรลุเป้าหมายด้วยความเหนื่อยยาก เพียงเพื่อจะกลับมาทำในสิ่งที่คุณสามารถทำได้อยู่แล้วในวันนี้
จงทำสิ่งที่คุณอยากทำเสียแต่วันนี้ เพราะคนที่คุณรักอาจไม่อยู่เมื่อถึงวันที่คุณรอคอย หรือบางที ...คุณเองก็อาจไม่มีโอกาสจะไปให้ถึงวันนั้น
การหลับของกรรมกรก็ผาสุกไม่ว่าเขาจะได้กินน้อยหรือได้กินมาก
แต่ความอิ่มท้องของคนมั่งมีก็ไม่ช่วยเขาให้หลับ (ปัญญาจารย์ 5:12)
ชาวประมงกับนักธุรกิจ ... กรอบความคิดอันแตกต่าง จากความจริงสิ่งเดียวกัน ?
นักธุรกิจชาวอเมริกันซึ่งมาพักผ่อนที่ที่หมู่บ้านชายทะเลตามคำแนะนำของแพทย์ ออกไปเดินเล่นบนหาดทรายเพื่อสลัดเรื่องวุ่น ๆ ที่รกเต็มสมองในเช้าวันแรกที่ตื่นขึ้นมา
เมื่อเดินมาจนถึงท่าเทียบเรือ เขาเห็นเรือประมงลำเล็ก ๆ ลำหนึ่งเข้าเทียบท่า ในเรือมีปลาทูน่าครีบเหลืองขนาด ใหญ่อยู่หลายตัว
ทำให้นักธุรกิจรู้สึกทึ่งในความสามารถของชาวประมง จึงถามเขาว่า ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ในการจับปลาเหล่านี้
ชาวประมงตอบว่า”ก็ ใช้เวลาไม่นานนักหรอกครับ”
นักธุรกิจจึงถามว่า “อ้าว แล้วทำไมไม่ใช้เวลาให้นานขึ้น เพื่อจะได้ปลามากขึ้นล่ะ ?”
ชาวประมงตอบว่า “แค่นี้ก็พอใช้จ่าย เลี้ยงได้ทั้งครอบครัวแล้วครับ”
นักธุรกิจจึงถามต่อไปว่า “แล้วคุณใช้เวลาที่เหลือไปทำอะไร ?”
ชาวประมงตอบว่า “ปกติผมตื่นไม่เช้านัก ก็ออกทะเลไปจับปลาสักพัก แล้วกลับมา เล่นกับลูก นอนพักเที่ยงกับภรรยา ตอนเย็นก็ออกไปพบปะเพื่อนฝูงในหมู่บ้าน
ดื่มเล็กน้อยและเล่นกีตาร์ ร้องเพลงเต้นรำจนค่ำ แค่นี้ก็หมดไปวันนึง ๆ แล้วครับ”
นักธุรกิจหัวเราะ ยืดอกแล้วพูดว่า “ผมจบปริญญาโทการบริหารจากฮาวาร์ด ผมจะแนะนำให้
จากนี้ไปคุณควรใช้เวลาจับปลาให้มากขึ้น จับให้ได้มากที่สุดเพื่อให้มีเงินเหลือเก็บ และเมื่อเงินที่เก็บมีจำนวนมากพอ ก็นำไปซื้อเรือลำใหญ่ขึ้นเพื่อจับปลาจำนวนมากขึ้นอีก
ในไม่ช้า คุณก็จะสามารถซื้อเรือเพิ่มขึ้น...เพิ่มขึ้น..จนกลายเป็นกองเรือประมงขนาดใหญ่ แล้วสร้างโรงงานปลากระป๋องเอง เพื่อคุณจะสามารถควบคุมขบวนการผลิต
การจัดจำหน่าย แต่คุณต้องย้ายไปจากที่เล็ก ๆ แห่งนี้ ขยับขยายเข้าไปในเมืองหลวง ที่นั่นคุณจะสามารถดำเนินธุรกิจและขยายให้เติบโตด้วยการบริหารจัดการที่เหมาะสม”
ชาวประมงถามว่า “ท่านครับ ทั้งหมดที่ท่านพูดถึงนี้ต้องใช้เวลานานเท่าไรครับ ?”
นักธุรกิจตอบเขาว่า “ก็ใช้เวลาสัก 15-20 ปี หรืออย่างมากก็ราว 25 ปี”
“แล้วหลังจากนั้นละครับ ?”
นักธุรกิจหัวเราะแล้วตอบว่า “หลังจากนั้น เมื่อได้เวลาที่เหมาะสม คุณก็สามารถนำหุ้นของบริษัทเข้าขายในตลาดหุ้น แล้วคุณก็จะกลายเป็นเศรษฐี มีเงินเป็นร้อย ๆ ล้านเชียวล่ะ”
“ร้อย ๆ ล้าน ? แล้วไงอีกครับ ?”
นักธุรกิจพูดเสียงดังว่า “คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ หลังจากนั้น คุณก็สามารถเกษียณตัวเอง แล้วมองหาหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมทะเลสักแห่ง ที่ซึ่งคุณสามารถนอนตื่นสาย
จับปลาบ้าง เล่นกับลูก นอนพักเที่ยงกับภรรยา เวลาเย็นก็ออกไปพบปะเพื่อนฝูงในหมู่บ้าน
คุณจะดื่ม จะเล่นกีตาร์ ร้องเพลง เต้นรำกับเพื่อน ๆ ได้อย่างสบายใจ คุณจะไม่มีอะไรต้องกังวลอีกเลย”
ชาวประมงยังคงพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “นั่นมิใช่สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่แล้วหรือครับ ?” //
(ถอดความจาก FWD Mail : The fisherman and the businessman / Anonymous)
เราได้ข้อคิดอะไรจากนิทานเรื่องนี้ นี่มิใช่การสนับสนุนให้เป็นคนเกียจคร้าน การทำมาหากินเพื่อความเป็นอยู่ที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็น แต่การไม่รู้จักถ่วงดุลให้เหมาะสมกับการใช้เวลาที่มีอยู่ ก็เป็นเรื่องที่น่าสมเพช หลายคนทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการงานจนลืมไปว่า เขายังมีคนบางคนที่เขารัก และยังมีบางสิ่งที่เขาชื่นชอบ ที่พร้อมจะให้ความสุข และความอิ่มเอมใจแก่เขาได้ เรามิจำต้องตั้งเป้าหมายให้สูงส่ง แล้วตรากตรำให้บรรลุเป้าหมายด้วยความเหนื่อยยาก เพียงเพื่อจะกลับมาทำในสิ่งที่คุณสามารถทำได้อยู่แล้วในวันนี้
จงทำสิ่งที่คุณอยากทำเสียแต่วันนี้ เพราะคนที่คุณรักอาจไม่อยู่เมื่อถึงวันที่คุณรอคอย หรือบางที ...คุณเองก็อาจไม่มีโอกาสจะไปให้ถึงวันนั้น
การหลับของกรรมกรก็ผาสุกไม่ว่าเขาจะได้กินน้อยหรือได้กินมาก
แต่ความอิ่มท้องของคนมั่งมีก็ไม่ช่วยเขาให้หลับ (ปัญญาจารย์ 5:12)