@@@ จาก 0 > -8 > +8 >>>>> Target +9 & Money Talk พรุ่งนี้ @@@

กระทู้สนทนา
จากกระทู้เดิม ที่เพื่อนๆเคยคุยกัน " เริ่มจากศูนย์ สู่หลักล้าน "
http://pantip.com/topic/30443087/comment1-3

และ กระทู้ " ถ้าคุณมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว คุณจะยังทำงานที่ต้องรับผิดชอบเยอะๆ อยู่หรือไม่..."
http://pantip.com/topic/30450672/comment1

@ ส่วนตัว เอง จาก 0 เคยไป ติดลบแปดหลัก ก่อนมายืนตรงนี้ที่ แปดหลักกลางๆ  รอวันก้าวไปจุดหมาย 9 หลัก ก่อนวางมือ @

เคยคิดอยากจะถ่ายทอดประสพการณ์ ให้น้องๆ เพื่อนๆ ได้รับรู้แนวคิด และ ประสพการณ์ แต่ยังหาโอกาสว่างๆ ไม่ได้

พอดีสัปดาห์ก่อน อาจารย์ ไพบูลย์   เสรีวัฒนา ติดต่อไปบันทึกเทปรายการ Money Talk  กับ อจ. และ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร และ อจ.ถาวร  โชติชื่น



เทปนี้จะออนแอร์ ทาง tnn2 (ช่อง True 8 ) วันพุธ ที่ 15 (พรุ่งนี้)เวลา 22:30 -23:30 น. และ Rerun อีกครั้ง วันพฤหัสที่ 16 เวลา 08:30 -09:30 ส่วน รายการที่จะอัพทาง ยูทูป ดูเหมือน คลิปยังติดปัญหา เลยยังไม่ได้อัพขึ้นครับ

ในรายการ  มัวแต่คุยเรื่องปีนเขากันซะเยอะ ไม่ได้คุยเรื่องหลักที่เราต้องการสื่อ คือ เรื่องประสพการณ์การลงทุนในอดีตเท่าไร

วันนี้ พอมีเวลาว่างตอนเย็น เลยจะรวบรวมประสพการณ์ ซึ่งอาจจะไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเค้า อาจจะเอาเป็นแบบอย่างอะไรไม่ได้มากนัก  แต่อาจจะให้ข้อคิดกับ เพื่อนๆน้องบางคนได้ บ้าง ครับ มาให้อ่านกันเล่นๆ ด้วยครับ
=====================
ผมเอง เกิดในครอบครัวคนจีน ที่ต้องเรียกว่า ฐานะออกไปทางยากจนเลยละ
พ่อแม่ เดิมรับจ้างเย็บผ้าโหล ก็มีลูกน้องหลายคน แต่ก็ต้องเลี้ยงดูกันไปเรียกว่า พอมี พอกิน คือ มี แค่ พอจะกิน นะ ไม่ใช่ มี อันจะกิน ยิ้ม

แต่ว่าโชคร้ายหน่อย ตอนผมยังเรียนประมาณ ป.2  น้องสาวคนสุดท้อง ป่วยเป็นบาดทะยัก ต้องเข้ารพ.รักษาตัว นานเป็นเดือน เงินออมที่มีของครอบครัว ถูกใช้ไปกับการรักษาน้องสาวจนหมด โชคดีที่น้องหายดีในที่สุด แม้ระยะแรกจะไม่แข็งแรง แต่ว่าโตขึ้นก็ดีขึ้นมาจนปกติ

และตอนช่วงที่เงินออมของบ้านขาดมือนั่นแหละ ที่เหมือนกับเจอ Tsunami  กระหน่ำซ้ำอีกรอบ บ้านที่เคยเช่าเค้าอยู่ถูกไล่ที่  ต้องย้ายไปหาที่อยู่ใหม่  ได้เงินค่าขนย้าย 3 พันสมัยนั้น ก็แค่พอที่จะหาบ้านเช่าเล็กๆได้

ตอนนั้นเหมือนทางบ้านจะเข้าตาจนเหมือนกัน  แต่จะว่าไปมันก็คือจุดหักเหให้เราเริ่มมีทางออกกัน พอย้ายออกจากที่เดิม เงินเก็บไม่มี ลูกน้องที่เคยเย็บผ้าด้วย ก็แยกย้ายกันไปหลายคน เหลือHero ประจำตัวผม คือ พ่อผม ที่พิการขาขาด จากอุบัติเหตรถไฟทับขาดแค่เข่า แต่ใส่ขาเทียมที่หล่อจากอลูมิเนียมปีกเครื่องบินที่พ่อทำเอง ใช้เดินไปมาได้

กับผมที่ยังเรียนอยู่แค่ ชั้น ประถมต้น  และ พี่สาวที่เป็นคนที่ฉลาดสุด เรียนดีที่สุดของบ้าน ที่เพิ่งจบประถม 4  ใหม่ๆ  3 คนเป็นแกนหลักของบ้าน

แม่ เป็นแม่บ้านไม่ได้เรียนหนังสืออะไร ไม่มีบทบาททางธุรกิจ นอกเหนือไปจากการดูแลงานบ้าน และเป็นแม่ที่น่ารักของลูกๆ

ส่วนน้องสาว อย่างที่บอกหลังจากป่วยหนักไม่แข็งแรงนัก และยังเด็กก็ได้แต่เรียนหนังสือไป เรื่อยๆ

ตรงจุดวิกฤติตรงนั้น พี่สาวต้องออกจากโรงเรียนแค่ชั้น ป.4 เพื่อ มาช่วยทำงาน ด้านตัดเย็บเสื้อผ้าโหล งานที่หาเลี้ยงพวกเรา กันมาแต่เด็กให้พอมีพอกิน ประทังไปได้

ส่วนผมยังค่อนข้างเด็ก เลยได้เรียนต่อไป แต่ก็ต้องย้ายจากโรงเรียนเอกชน ที่พอมีชื่อเสียงบ้างของจังหวัด มาเรียน ฟรี ที่ รร.เทศบาล ของรัฐ ที่ไม่ต้องเสียค่าเทอม

และตรงจุดนั้นพ่อตัดสินใจ หางานเสริมจากสิ่งใกล้ตัว และ ความรู้ที่มี คือการเปิดรับซ่อมจักรเย็บผ้า

ผมเองเริ่มเรียนการซ่อมจักรเย็บผ้าจากพ่อ และ ฝึกฝนด้วยตนเอง  เป็นช่างซ่อมจักรของจังหวัด ตั้งแต่เรียนประถมปลาย แทนพ่อ

ตกเย็น กลับจากโรงเรียน รวมทั้งวันหยุดเสาร์และอาทิตย์  แทนที่จะไปเที่ยวเหมือนเพื่อนๆคนอื่น ก็กลับมาซ่อมจักรเย็บผ้าต่อ โชคดีเป็นคนที่เรียนหนังสือแต่ไม่ค่อยทำการบ้าน ดังนั้นงาน ซ่อมจักรเลยไม่ค่อยรบกวน การทำการบ้าน ผม ยิ้ม

แต่แปลกนะ ทั้งที่ต้องทำงานหนักตังแต่เด็ก แต่กลับไม่รู้สึกว่าเรา โดนบังคับให้ทำงาน   แต่ว่ามันเหมือนทราบว่า มันคือภาระที่เราต้องทำช่วยครอบครัว

ผมซ่อมจักร ทั้งที่คนนำมาจ้างซ่อมที่บ้าน และ ออกไปซ่อมให้ตามบ้านลูกค้า ต่อเนื่องมาจนถึงเวลาเข้ามหาลัย นานๆ เกือบสิบปี จนกลายเป็นเหมือน ช่างซ่อมจักรเย็บผ้ามือหนึ่งของ จังหวัดไปโดยปริยาย ยิ้ม

หลังจากบ้านโดนไล่ที่ออกมาแล้ว และเราได้ย้ายมาที่อยู่ใหม่  และ  รับจักรเย็บผ้า จากในกทม. ไปขายที่จังหวัดเรา

สมัยนั้นจักรเย็บผ้า คันล่ะ ประมาณ หนึ่งพันบาท ในกทม. เราเอากลับไปขายบ้าน เรา ได้ กำไรคันล่ะ 2-3 ร้อยบาท ถือว่า เยอะเหมือนกัน แต่ว่า การขนส่ง(Logistic)ยุคนั้นไม่สะดวกนัก และยังค่อนข้างแพง

ผมกับพ่อสองคน จะนั่งรถไฟ ค่าโดยสาร คนโต 20 บาท และเด็ก อย่างผม ครึ่งราคา 10 บาท จากบ้านตอนใกล้เที่ยงคืน มาเช้าที่หัวลำโพง พอดี แวะ กินโจ๊ก ตรงข้างสถานีหัวลำโพง แล้วรอให้ร้านขายจักรเย็บผ้า แถวถ.พระรามสี่ หลังวัดไตรมิตร ที่มีหลายร้านเปิด แล้วก็ไปซื้อจักรเย็บผ้า และอะไหล่จักร สำหรับการซ่อมแล้ว ผมเองจะหิ้วกล่องหัวจักรเย็บผ้า ทีหนักประมาณ 9 โล (หนักเอาเรื่องในความทรงจำของเด็กตัวเล็กๆ ) ส่วนพ่อ ก็จะหิ้วตัวถังของจักร ที่เป็นกล่องยังไม่ประกอบ แต่ก็ยังใหญ่เหมือนกัน หนักราวๆยี่สิบโล เดินย้อนกลับมา ที่สถานีหัวลำโพง เพื่อขึ้นรถไฟกลับบ้าน เอามาประกอบขาย

ชีวิต วนเวียนอย่างนี้ อยู่หลายปี แต่ว่าไม่รู้สึกว่าลำบากเท่าไร แต่ว่ากลับเกิดเป็นความรู้สึกที่ดี  ที่ได้สู้กับชีวิตและประสพความสำเร็จด้วยตัวเอง ในช่วงนั้น เมื่อโตขึ้นมาและนึกถึงช่วงวันที่ผ่านๆ มาตอนนั้น แอบยิ้มทั้งน้ำตาให้กับตัวเอง บ่อยๆ

ที่บ้านเราแบ่งงานกัน อย่างเป็นทีม

น้องที่ยังเล็กมากเรียนหนังสือไป เนื่องจากไม่เคยทำงานมาก่อน และป่วยหนัก มาเกือบตลอด

แม่ ดูแลงานบ้าน

พี่สาว ที่ออกจากโรงเรียน รับผ้าโหล มาตัดแล้ว ส่งให้ลูกน้อง เย็บส่งนายจ้าง

ส่วนกิจการจักรเย็บผ้า  ทั้งขาย และ ซ่อม ผม กับ พ่อ เป็นคนจัดการ  ผมเองเรียนหนังสือแต่ใช้เวลาตอนเย็น และ เสาร์อาทิตย์ ช่วย ซ่อมจักร และขายจักร ส่งจักรให้ลูกค้า

กิจการค้าจักรเย็บผ้า จากที่เคยต้องนั่งรถไฟ ไปหิ้วมาขายทีล่ะคัน แล้วเอามาประกอบ ขายได้ก็เอาขึ้นสามล้อถีบไป ส่งเค้าตามบ้าน ทีล่ะคัน

ผ่านไปจากจุดเริ่มตรงจุดนั้น  ราวๆ 8-9 ปี ผมเข้าเรียน มัธยมปลาย ของโรงเรียนประจำจังหวัด แต่ยังคงช่วยงานที่บ้านตลอด ทุกอย่างดีขึ้นตามลำดับ ฐานะทางบ้าน มั่นคงขึ้น จากพอมีพอกิน ก้าวมาสู่ การมีอันจะกิน(กับเค้าบ้าง)

จากเคยต้อง ขึ้นรถไฟไป หิ้วจักรมาขาย ทีล่ะคัน เปลี่ยนเป็นโทรสั่ง มาสต๊อคไว้ขาย ทีล่ะเป็นร้อยๆคัน มีลูกน้อง เอารถปิคอัพ ขนไปขายต่าง อำเภอ และ จังหวัด ใกล้เคียง

แต่ ก็ใช่ว่าจะสบาย ซะทีเดียว เสาร์อาทิตย์ ก็ยังคงทำงาน และมีงานเพิ่ม คือ ออกเก็บบัญชีลูกค้าที่ ค้างชำระ ตามต่างจังหวัด ต่างอำเภอ

ที่ประทับใจไม่ลืม ก็คือ ครั้งนึง ออกจากบ้านแต่ เช้า เพื่อไปเก็บเงิน ที่บ้านโคกกรวด อ.วิเชียรบุรี เพชรบูรณ์ ตอนนั้นหน้าฝน ลงรถประจำทาง ที่ สามแยกอ.วิเชียรบุรี(ที่เด๋วนี้เจริญมากแล้ว) ต่อ สองแถวเข้าไปตลาดโคกกรวด  แต่ระหว่างทางฝนตก รถติดหล่ม อยู่ที่บ้านน้ำร้อน ต.น้ำเย็น(หรือ บ้านน้ำเย็น ต.น้ำร้อนนั่นแหละ จำไม่ได้แม่น) ไปต่อไม่ได้

ตอนนั้นเริ่มค่ำแล้วมีน้าผู้ชายคนนึง(อายุคงราวๆสามสิบ) กับ ป้าแก่ๆอายุราวๆ ห้าสิบ ซึ่งเป็นแม่ของน้าคนนั้น เค้า รู้ว่าจะไปโคกกรวด เลยชวน ว่าให้เดินไปกับเค้า แล้ว ค้างบ้านเค้าคืนนึง ตอนเช้าค่อยเดินไปต่อไม่ไกล

เดินจากจุดเริ่ม กลางฝนเลาะไปตามคันนา และไหล่ เขา สองคนเค้ามีของแต่เดินคล่องแต่เราเด็กน้อย เดินลื่นล้มแผละ ล้มแผละ เกือบตลอดทาง เดินกันตั้งแต่ใกล้ทุ่ม กว่าจะถึงบ้านเค้า เกือบเที่ยงคืน เกือบห้าชม. ป้าก็หุงข้าว และ ทำกับข้าวๆง่ายๆ มาให้ทานกับกล้วยน้ำว้า จำได้ว่า หมูที่ป้าซื้อมา จากตลาดตั้งแต่เที่ยง มันเริ่มบูด หน่อยแล้ว แต่ก็กินได้  และรู้สึกอร่อยด้วย ยิ้ม

ผ้าห่มที่ป้าเอามาให้ห่มนอน เปื่อยยุ่ย พอผมเอาเท้ายันไปเวลาจะคลี่คลุม ขาเรา ปรากฏว่ามันขาดทะลุเท้า ตอนเช้าต้องไปขอโทษป้า ที่ทำป้าแกขาดซะแล้ว ยิ้ม

ตื่นเช้าหลังจากกินข้าวแล้ว ป้าบอกทางว่าเดินตรงไปเรื่อยๆ อีกไม่ไกล พ้นเหลี่ยมเขาแล้ว ก็มีสามแยกเลี้ยวขวา เดินต่อไปอีกหน่อย ก็ถึง โคกกรวด

ปรากฏว่า ออกเดินตอนเกือบๆเก้าโมงเช้า ตามทางเกวียนที่ป้าว่า ถึงโคกกรวดเที่ยงพอดี  นี่ขนาดหน่อยของป้านะเค้าล้อเล่น เค้าล้อเล่น

กลับมาถึงบ้าน คราวนั้น จากที่เคยออกไปเก็บบัญชีหลายๆ ที่เกือบทุกอาทิตย์ พ่อบอกว่า ไม่ต้องไปแล้วให้ลูกน้องไปแทน จะเสียหายไปบ้างชั่งมัน เอาความปลอดภัย เราไว้ก่อน

ยังนึกถึงน้า กับป้าคนนั้นตลอด ตอนจบมาทำงานแล้ว เคยขับรถย้อนไปตามเส้นทางเก่า แต่ทุกอย่างมันพัฒนาเปลี่ยนไปหมดแล้ว ตรงบ้านน้ำเย็นน้ำร้อน ที่รถติดหล่ม เคยมีบ้านไม่กี่หลัง กลายเป็นตลาดใหญ่ ไม่รู้จะไปหาบ้านป้ากับน้า ในเขานั่นได้อย่างไร

แต่กิจการจักรเย็บผ้า นี่ถ้าเปรียบเป็นหุ้นมันก็คงเป็นหุ้นวัฐจักร เมื่อถึงจุดรุ่งเรืองสุดขีด  มันก็เริ่มซบเซา ลง(โชคดี ที่เราเป็นนคนบุกเบิกมัน ก่อนถึง จุดนั้น และได้รับ อานิสสงค์จากจุดนั้นเต็มที่ ) พอถึงจุดนั้น  เราก็พร้อมที่จะถอยออกมาได้แล้ว

ตอนนั้นผมจบมัธยมปลาย และสอบติดแพทย์แล้ว

พ่อมีโครงการร่วมกับเพื่อนพ่อที่มาชวนให้ทำ ธุรกิจเครื่องสูบน้ำ และ เครื่่องยนต์เกษตร เพื่อรับการมาของ คลองชลประทาน ที่กำลังเฟื่องฟู  พ่อให้เลือก ว่า อยากเลิกเรียนต่อ  ออกมาทำ ธุรกิจอันนี้กันมั้ย

ซึ่งถ้าเรียนต่อ ก็คงจะหยุดกิจการต่างๆ และใช้ทุนที่เราพอมีเหลือ เจ็ดหลักต้นๆ ในยุค ปี 2520 นั่นเพื่อเรียน และใช้จ่ายกัน  

ผมเอง เลือกที่จะไปเรียน  พ่อ ก็ตามใจ  และบอกว่า ถ้างั้นก็หยุดทำงานกัน พักกันซะที ใช้ทุนที่เราพอมีเรียน  กับค่าใช้จ่ายๆ ต่างๆประจำวัน  น่าจะพอใช้  (ปล.ทุกวันนี้แอบนึกเสียดายนิดๆ นะ ที่ธุระกิจ เครื่องสูบน้ำแลเครือ่งจักรกลเกษตร นั่นให้ผลตอบแทน อย่างชวนตะลึงเลย เค้าล้อเล่น เค้าล้อเล่น)

หลังจากนั้น ผมก็เลย ไปเรียนต่อแพทย์

น้องสาว ในสองปี ถัดมาเข้าเรียนการตลาด และ ต่อ โท MBA ( ปัจจุบัน ทำงานเป็น รอง ผอก.ฝ่่าย Custommer Service ของ DTAC  ไม่รู้ว่า ป่วยตอนเด็กหรือ ไง เด๋วนี้ เลยบ้างาน ทุ่มเทกันงานจน ยังไม่มีครอบครัว อิๆ)

ส่วนพี่สาว คนที่บอกว่าหัวดี ที่สุดในบ้าน แต่ต้องออกจากโรงเรียน ตั้งแต่ ป.4 มาช่วยงานบ้าน ก็กลับไปเรียนต่อ

ศึกษาผู้ใหญ่(เหมือน กศน. ปัจจุบัน ) โดยเรียนแค่ สามเดือนก็สอบเทียบได้ ป.7  แล้ว เรียนอีกสามเดือน ก็ สอบเทียบได้ ม.ศ.3 จากนั้น เรียนต่อ ปวช.บัญชี พอจบก็เอาวุฒิ ปวช.แทนมัธยมปลาย  เข้าต่อ บัญชีราม จบจากราม ก็ต่อ MBA  จบ MBA ก็เข้าเป็น อจ.มหาลัยแห่งนึง และปัจจุบัน จบ ดร. เรียบร้อยแล้ว ยังคงสอนในมหาลัย ฯ (ไม่รู้เป็นดร.ที่เรียนปกติ มาจาก ป.4 และสอบเทียบคนเดียว หรือป่าวแฮะ ยิ้ม

อีกหนึ่งความประทับใจ ใน Hero บ้านผม ก็คือ ทุกๆตรุษจีน ผมและ พี่ สาวๆ ไม่เคยได้รับแต๊ะเอีย เหมือนน้องหรือ คนอื่นๆ แต่พ่อบอกว่า อยากได้เท่าไร เอาไปเอง เพราะว่า ทั้งสามคน ช่วยกันหามา จะใช้ ก็เอาไปใช้ ตัดสินใจเองได้เลย(แต่ ทั้ง ผม และพี่สาว ก็ไม่เคย เอาไปใช้อะไรมากๆนะ อิๆ)
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่