หมายเหตุ : ขอชี้แจงเหตุผลเรื่อง Tag ถึง WM ก่อนนะครับ
- Tag
"การสอนลูก" ( ชานเรือน ) อันนี้ผมว่าตรงที่สุดแล้วนะครับ เพราะเกี่ยวกับการสอนเด็กๆ ของพ่อแม่ผู้ปกครอง ว่าด้วยเรื่องการรับมือการรังแกกันใน ร.ร. แน่นอน
- Tag
"ปัญหาสังคม" ( ศาลาประชาคม ) อันนี้ผมว่ารองลงมา ( คือใกล้เคียง ) เพราะเกี่ยวเนื่องกับการใช้ความรุนแรงในสังคมด้วย แม้จะเน้นไปในเรื่องภายในรั้วโรงเรียนก็ตาม แต่พฤติกรรมคนเรามันไม่ได้อยู่แค่ที่ใดที่หนึ่ง แต่ติดเป็นนิสัยไปทุกที่
ดังนั้นขอ Tag ไว้ 2 ห้องนี้พอนะครับ สำหรับการตั้งใหม่อีกรอบ
ส่วนกระทู้เก่า
http://pantip.com/topic/30485740 ที่ตั้งไว้ 4 Tag ผมแจ้งลบไปแล้วนะครับ
-----------------------------
[เสียงคนวงนอก] จากรั้วโรงเรียนถึงสหประชาชาติ : สันติภาพไม่เคยมีอยู่จริง?
โดย : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
Facebook : TonyMao Nk
เข้าสู่ช่วงเปิดเทอมในปีการศึกษาใหม่ ( 2556 ) กันแล้ว เชื่อว่าพ่อแม่ผู้ปกครองจำนวนมาก คงกำลังเครียดกับค่าใช้จ่ายสารพัด ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า ค่าเดินทาง หรือแม้แต่ค่าบำรุงการศึกษา ( ในชื่อเรียกอื่นๆ เพราะนโยบายเรียนฟรี ทำให้ไม่สามารถเรียกชื่อตรงๆ ว่าค่าเทอมได้ ) ดังที่เห็นเป็นข่าวมาทุกปี ว่าเปิดเทอมแรกในปีการศึกษาใหม่ทีไร โรงรับจำนำจะแน่นไปด้วยผู้คนจากทั่วสารทิศ ที่ต้องสละสมบัติอันเป็นที่รักบางชิ้น เพื่อต่ออายุทางการศึกษาให้กับบุตรหลาน..เอ้า! ชีวิตไม่สิ้นก็ดิ้นกันไปครับ และถ้ามีน้องๆ นักเรียนนักศึกษากำลังอ่านบทความนี้อยู่ ก็ขอให้ตั้งใจเรียน ให้สมกับที่บุพการีของพวกคุณเหนื่อยยาก ชนิดเลือดตาแทบกระเด็น เพื่อส่งเสียพวกคุณด้วยนะครับ
กลับมาที่เรื่องที่ผมพาดหัวไว้ ตลอดเวลาหลายปีที่ผมติดตามประเด็นต่างๆ ในสังคมออนไลน์ พบว่าในช่วงฤดูกาลศึกษาของเด็กๆ และน้องๆ เยาวชน ก็จะมีทั้งตัวนักเรียนเอง หรือพ่อแม่ผู้ปกครอง ออกมาบ่นตามเว็บไซต์ต่างๆ ว่าตัวเองถูกเพื่อนแกล้งบ้าง หรือพ่อแม่จะบอกว่าลูกถูกรังแกจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนบ้าง ซึ่งคำแนะนำถึงกรณีดังกล่าวก็เป็นไป 2 ทาง ทางหนึ่งก็ตามวิถีลูกผู้ชาย คือสู้มัน จะแพ้หรือชนะก็ขอให้สู้ กับอีกทางหนึ่ง คือพวกที่บอกให้พ่อแม่ไปคุยกับฝ่ายปกครองของโรงเรียนบ้าง ผู้บริหารสถานศึกษานั้นๆ บ้าง โดยห้ามใช้ความรุนแรงเด็ดขาด
ครับ..วันนี้ผมจะฟันธงให้พวกแรกเป็นฝ่ายถูก และถ้าฝ่ายหลังจะถามว่าทำไมน่ะหรือ? ก็ตามสิ่งที่ผมพาดหัวนั่นแหละครับ
“โลกนี้ไม่เคยมีสันติภาพอยู่จริง”
อาจจะงงใช่ไหมครับ? ผมพูดเรื่องการแกล้งกันในโรงเรียนของบรรดาเด็กเกเรอยู่ดีๆ ไหงพาไปเรื่องระดับโลกได้ แต่จริงๆ แล้ว จะอยู่ในโรงเรียน ชุมชน จังหวัด ประเทศ หรือเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทุกอย่างเหมือนกันหมดจริงๆ..นั่นคือทุกอณูแห่งความสัมพันธ์ของมนุษย์ นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน ( และผมเชื่อว่าอนาคตก็ไม่เปลี่ยนไปจากนี้ ) แฝงไว้ด้วยความรุนแรง และความขัดแย้งที่พร้อมจะปะทุได้เสมอ ถ้ามีเงื่อนไขเพียงพอ
ฉะนั้นแล้วแต่ละชาติ..จึงยังคงมุ่งเสริมสร้าง
“สมรรถนะทางการทหาร” อย่างต่อเนื่อง
ก่อนอื่น ถ้าท่านผู้อ่านไม่เชื่อผม ค้านผมว่า
“เฮ้ย!..สมัยนี้เขาจับมือค้าขายกันแล้ว ใครจะอยากรบกัน” ก็ขอให้ไปดูงบประมาณทางการทหารของแต่ละชาติก่อนนะครับ
[1] จะเห็นว่า ไม่ว่าชาติเล็กชาติใหญ่ ชาติผิวขาว ผิวดำ ผิวเหลือง ล้วนยังให้ความสำคัญกับกองทัพค่อนข้างมาก ที่สำคัญ เหล่าเทพทั้ง 5 ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่มีบทบาทในการแบ่งกันปกครองโลกใบนี้ ทั้งสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซียและจีน ยังใช้งบการทหารกันสูงกว่าชาติอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด ( แต่ที่น่าสนใจคือญี่ปุ่น แม้จะถูกจำกัดอำนาจทางทหารสารพัดอย่าง แต่งบกองกำลังป้องกันตนเอง ก็ถือเป็นอันดับ 6 ของโลก เป็นรองแค่พวก 5 เทพเท่านั้น ซึ่งถ้าบรรดานักการเมืองสายเหยี่ยวของญี่ปุ่นเกิดล็อบบี้ให้แก้กฏหมายเพิ่มอำนาจกองทัพได้สำเร็จ ก็นึกไม่ออกว่ากองทัพลูกพระอาทิตย์จะมีแสนยานุภาพมากกว่านี้ขนาดไหน? ขึ้นชื่อว่าสายเลือดบูชิโดที่ทำอะไรก็ต้องทำให้สมบูรณ์แบบที่สุด ย่อมรับประกันคุณภาพได้แน่นอน )
หรือเอาใกล้ตัวกว่านั้น ประชาคมอาเซียนที่คนแถวนี้ฝันหวานว่าเราจะสงบสุข ร่วมไม้ร่วมมือกันแน่นแฟ้นเหมือนดินแดนในอุดมคติอย่างสหภาพยุโรป ( EU ) ตอนนี้ใครพูดเรื่องนี้ ผมป่วนวงแตกหมดนะครับ เพราะเชื่อเถอะว่าอีก 50 ปีข้างหน้า เราก็อาจจะยังอยู่แบบนี้ไม่คืบหน้าไปไหน ประการแรก ดูงบการทหารของชาติแถวนี้นะครับ ประเทศเกาะนิดเดียวอย่างสิงคโปร์ งบทหารมาอันดับ 1 ของอาเซียน ( 23 โลก ) อินโดนีเซียอันดับ 2 ( 34 โลก ) ไทยเราไม่น้อยหน้า อยู่อันดับ 3 ( 37 โลก ) และงบประมาณสูสีกับชาวอิเหนา ตามมาด้วยเพื่อนบ้านของเราอย่างมาเลเซีย อยู่อันดับ 4 ( 42 โลก )
ขอต่อกันที่อาเซียน ที่เรายังเสริมสมรรถนะกองทัพกันอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะรอบๆ บ้านเราที่ยังคงจัดหา
“เรือดำน้ำ” [2] อาวุธที่ถ้าคนใช้งานเก่งพอ ก็อาจทำให้อีกฝ่ายที่มีเทคโนโลยีเหนือกว่าต้องหนักใจได้ ดูอย่างจีน ที่วันนี้คุณภาพกองทัพยังตามหลังสหรัฐอเมริกาพอสมควร แต่เรือดำน้ำของเทพมังกร ก็เคยย่องเงียบไปโผล่ข้างๆ เรือบรรทุกเครื่องบินของเทพอินทรีมาแล้ว
[3] แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงจีน ชาติที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดในภูมิภาคนี้อย่างเวียดนาม วันนี้มีงบการทหารเป็นอันดับ 5 ของอาเซียน ( 50 โลก ) แต่เวียดนามยังคงสั่งซื้ออาวุธจากอดีตลูกพี่อย่างรัสเซีย ล่าสุดก็สั่งต่อเรือดำน้ำชั้น Kilo รุ่นปรับปรุง ซึ่งก็ได้มาประจำการแล้ว 2 ลำและมีแนวโน้มว่าจะสั่งเพิ่มอีก แน่นอนว่าน่าจะมีอาวุธอย่างอื่นด้วย เพราะวันนี้เวียดนามกำลังเครียดกับการขยายอาณาเขตทางทะเลของจีน
ขณะที่ในด้านอื่นๆ อาเซียนเราไม่มีศาลกลางในการตัดสินข้อพิพาท แถมยังมีข้อตกลงร่วมกันว่าจะไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องภายในของชาติสมาชิก ยังไม่นับที่เรามีความแตกต่างกันอย่างสุดขั้วของแต่ละประเทศ ทั้งด้านการเมือง ที่เรามีทั้งชาติที่เป็นประชาธิปไตยอย่างไทยและฟิลิปปินส์ ชาติที่เป็นเผด็จการสังคมนิยมอย่างเวียดนาม ชาติที่กึ่งๆ จะเป็นรัฐศาสนาอย่างมาเลเซีย หรือทางด้านเศรษฐกิจ ที่ระยะห่างระหว่างชาติร่ำรวย
[4] อย่างสิงคโปร์ ( อันดับ 3 โลก ) หรือบรูไน ( อันดับ 5 โลก ) กับประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่ยังยากจน ไม่ว่าจะเป็นพม่า ลาว หรือกัมพูชา
[5] ยังมีอยู่ค่อนข้างมาก
หรือเขยิบไปอีกนิด ไปดูบรรดามหาอำนาจเอเชียที่ค้าขาย – ทำธุรกิจเก่งๆ ก็ล้วนมีแสนยานุภาพทางทหารระดับชั้นนำทั้งสิ้น จีนก็เร่งสร้างคุณภาพกองทัพ ( หลังจากปริมาณแซงสหรัฐฯ ไปแล้ว ) ญี่ปุ่นก็อยากให้กองกำลังป้องกันตนเองทำงานได้กว้างขวางขึ้น ล่าสุดกับเกาหลีใต้ กำลังวิจัยเกี่ยวกับการนำสั.ตว์ต่างๆ มาใช้เป็นอุปกรณ์สอดแนม
[6] และยังไม่พูดถึงอินเดีย ที่นับวันจะเริ่มเคืองจีนมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่จีนพยายามเข้ามามีอิทธิพลกับประเทศยากจนทั้งหลายในภูมิภาคเอเชียใต้ ตามยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก
[7] ขณะที่กองทัพอินเดียนั้นมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก
[8] รวมทั้งเป็นชาติที่มีขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นอะไร?..แม้เราจะเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ไร้พรมแดน แต่ชาติใหญ่น้อย ประเทศไม่ว่าโลกที่ 1 2 หรือ 3 ล้วนไม่เคยไว้วางใจกัน ต่างสั่งสมกำลังไม่ต่างจากยุคสงครามเย็นเลยใช่หรือไม่?
นี่แหละครับความเป็นจริงของโลก การทูตก็ดี เศรษฐกิจก็ดี การจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ( หรืออย่างน้อยคือไม่เสียเปรียบ ) ในการเจรจาใดๆ ก็ตาม สมรรถนะของกองทัพ ( โดยเฉพาะความทันสมัยของยุทโธปกรณ์ ) สามารถนำมาข่มขวัญคู่เจรจาได้ ทั้งนี้ในความเป็นจริง แม้ประเทศใหญ่ที่มีกำลังคนมากพอๆ กับเทคโนโลยีที่ทันสมัย ( เช่นสหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน อินเดีย ) ถ้าเอาจริงๆ จะถล่มประเทศเล็กๆ ได้ก็ตาม แต่การที่ประเทศเล็กๆ มีแสนยานุภาพที่เข้มแข็ง ( อย่างน้อยก็เต็มที่ที่สุด เท่าที่ขนาดของประเทศนั้นๆ จะมีได้ ) ย่อมทำให้ประเทศใหญ่กว่าต้องคิดหนัก ว่าถึงจะชนะสงคราม แต่ตัวเองก็จะเสียหายไม่น้อยเช่นกัน อย่ากระนั้นเลย..เรามาเจรจาต่อรองผลประโยชน์กันดีกว่า จะได้ Win – Win ทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ประเทศไทย ( สยาม ) เอง ในสมัยรัชกาลที่ 5 นอกจากเราจะเล่นเกมการทูตกับมหาอำนาจยุโรปได้ดีแล้ว ยังได้มีการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ แน่นอนว่ารวมถึงสมรรถนะกองทัพด้วย
[9] ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรายืนอยู่บนเวทีโลกได้อย่างภาคภูมิใจ..ว่าเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตกใดๆ
กลับมาที่ภายในรั้วโรงเรียน ท่านเห็นไหมละครับ เด็กที่โดนแกล้งบ่อยๆ คือพวกที่
“ไม่ยอมต่อสู้” ( ซึ่งไม่เกี่ยวกับขนาดของร่างกาย เด็กที่ตัวใหญ่แต่ใจเสาะ อาจจะถูกเพื่อนที่ตัวเล็กกว่ารังแกได้เช่นกัน ) ยิ่งถ้าเป็นเด็กเรียนดีด้วย จะยิ่งถูกหมั่นไส้เป็นพิเศษ และถ้าผู้ปกครองเลือกใช้วิธีไปคุยกับครู หรือผู้บริหารโรงเรียน ผลที่ได้จะกลายเป็นตรงกันข้าม คือแทนที่เรื่องมันจะจบ มันจะกลายเป็นปัญหาของลูกหลานท่าน จนอาจจะต้องย้ายโรงเรียนหนีความกดดันเลยก็ว่าได้
ตลอดเวลาเกือบ 10 ปีมานี้ที่ผมเขียนบทความบนโลกออนไลน์ มีวัยรุ่นวัยเกรียน ( และวัยทำงานบางท่านที่อยากรำลึกอดีตสมัยยังเกรียน ) เข้ามาแชร์เรื่องราวการชกต่อยวิวาทของเด็กในโรงเรียนเดียวกันพอสมควร และมีบางรายบอกตรงกันว่า ถ้าการแกล้งกันแล้วคนถูกแกล้งไปฟ้องครู เรื่องถึงฝ่ายปกครอง เด็กคนดังกล่าวจะอยู่ไม่ได้ ทำงานกลุ่มก็ไม่มีใครรับเข้ากลุ่มด้วย หรือไม่มีใครคุยด้วย ทุกคนเดินหนี พฤติกรรมทำนองนี้ ภาษาทางการจะเรียกว่า
“คว่ำบาตร” ( Boycott ) นั่นเอง และไม่รับประกันด้วยว่า ลูกหลานท่านจะไปโดนนักเรียนห้องอื่นรังแกหรือไม่? ซึ่งถ้าโดน ก็คงไม่มีใครช่วย เพราะห้องตัวเอง Boycott เด็กคนดังกล่าวไปแล้ว เรียกว่าทนได้ทนไป แต่ก็มีไม่น้อยทนไม่ได้ ก็ต้องย้ายโรงเรียนไปในที่สุด
( มีต่อ )
แก้ไขใหม่ - [เสียงคนวงนอก] จากรั้วโรงเรียนถึงสหประชาชาติ : สันติภาพไม่เคยมีอยู่จริง?
- Tag "การสอนลูก" ( ชานเรือน ) อันนี้ผมว่าตรงที่สุดแล้วนะครับ เพราะเกี่ยวกับการสอนเด็กๆ ของพ่อแม่ผู้ปกครอง ว่าด้วยเรื่องการรับมือการรังแกกันใน ร.ร. แน่นอน
- Tag "ปัญหาสังคม" ( ศาลาประชาคม ) อันนี้ผมว่ารองลงมา ( คือใกล้เคียง ) เพราะเกี่ยวเนื่องกับการใช้ความรุนแรงในสังคมด้วย แม้จะเน้นไปในเรื่องภายในรั้วโรงเรียนก็ตาม แต่พฤติกรรมคนเรามันไม่ได้อยู่แค่ที่ใดที่หนึ่ง แต่ติดเป็นนิสัยไปทุกที่
ดังนั้นขอ Tag ไว้ 2 ห้องนี้พอนะครับ สำหรับการตั้งใหม่อีกรอบ
ส่วนกระทู้เก่า http://pantip.com/topic/30485740 ที่ตั้งไว้ 4 Tag ผมแจ้งลบไปแล้วนะครับ
-----------------------------
[เสียงคนวงนอก] จากรั้วโรงเรียนถึงสหประชาชาติ : สันติภาพไม่เคยมีอยู่จริง?
โดย : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
Facebook : TonyMao Nk
เข้าสู่ช่วงเปิดเทอมในปีการศึกษาใหม่ ( 2556 ) กันแล้ว เชื่อว่าพ่อแม่ผู้ปกครองจำนวนมาก คงกำลังเครียดกับค่าใช้จ่ายสารพัด ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า ค่าเดินทาง หรือแม้แต่ค่าบำรุงการศึกษา ( ในชื่อเรียกอื่นๆ เพราะนโยบายเรียนฟรี ทำให้ไม่สามารถเรียกชื่อตรงๆ ว่าค่าเทอมได้ ) ดังที่เห็นเป็นข่าวมาทุกปี ว่าเปิดเทอมแรกในปีการศึกษาใหม่ทีไร โรงรับจำนำจะแน่นไปด้วยผู้คนจากทั่วสารทิศ ที่ต้องสละสมบัติอันเป็นที่รักบางชิ้น เพื่อต่ออายุทางการศึกษาให้กับบุตรหลาน..เอ้า! ชีวิตไม่สิ้นก็ดิ้นกันไปครับ และถ้ามีน้องๆ นักเรียนนักศึกษากำลังอ่านบทความนี้อยู่ ก็ขอให้ตั้งใจเรียน ให้สมกับที่บุพการีของพวกคุณเหนื่อยยาก ชนิดเลือดตาแทบกระเด็น เพื่อส่งเสียพวกคุณด้วยนะครับ
กลับมาที่เรื่องที่ผมพาดหัวไว้ ตลอดเวลาหลายปีที่ผมติดตามประเด็นต่างๆ ในสังคมออนไลน์ พบว่าในช่วงฤดูกาลศึกษาของเด็กๆ และน้องๆ เยาวชน ก็จะมีทั้งตัวนักเรียนเอง หรือพ่อแม่ผู้ปกครอง ออกมาบ่นตามเว็บไซต์ต่างๆ ว่าตัวเองถูกเพื่อนแกล้งบ้าง หรือพ่อแม่จะบอกว่าลูกถูกรังแกจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนบ้าง ซึ่งคำแนะนำถึงกรณีดังกล่าวก็เป็นไป 2 ทาง ทางหนึ่งก็ตามวิถีลูกผู้ชาย คือสู้มัน จะแพ้หรือชนะก็ขอให้สู้ กับอีกทางหนึ่ง คือพวกที่บอกให้พ่อแม่ไปคุยกับฝ่ายปกครองของโรงเรียนบ้าง ผู้บริหารสถานศึกษานั้นๆ บ้าง โดยห้ามใช้ความรุนแรงเด็ดขาด
ครับ..วันนี้ผมจะฟันธงให้พวกแรกเป็นฝ่ายถูก และถ้าฝ่ายหลังจะถามว่าทำไมน่ะหรือ? ก็ตามสิ่งที่ผมพาดหัวนั่นแหละครับ
“โลกนี้ไม่เคยมีสันติภาพอยู่จริง”
อาจจะงงใช่ไหมครับ? ผมพูดเรื่องการแกล้งกันในโรงเรียนของบรรดาเด็กเกเรอยู่ดีๆ ไหงพาไปเรื่องระดับโลกได้ แต่จริงๆ แล้ว จะอยู่ในโรงเรียน ชุมชน จังหวัด ประเทศ หรือเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทุกอย่างเหมือนกันหมดจริงๆ..นั่นคือทุกอณูแห่งความสัมพันธ์ของมนุษย์ นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน ( และผมเชื่อว่าอนาคตก็ไม่เปลี่ยนไปจากนี้ ) แฝงไว้ด้วยความรุนแรง และความขัดแย้งที่พร้อมจะปะทุได้เสมอ ถ้ามีเงื่อนไขเพียงพอ
ฉะนั้นแล้วแต่ละชาติ..จึงยังคงมุ่งเสริมสร้าง “สมรรถนะทางการทหาร” อย่างต่อเนื่อง
ก่อนอื่น ถ้าท่านผู้อ่านไม่เชื่อผม ค้านผมว่า “เฮ้ย!..สมัยนี้เขาจับมือค้าขายกันแล้ว ใครจะอยากรบกัน” ก็ขอให้ไปดูงบประมาณทางการทหารของแต่ละชาติก่อนนะครับ [1] จะเห็นว่า ไม่ว่าชาติเล็กชาติใหญ่ ชาติผิวขาว ผิวดำ ผิวเหลือง ล้วนยังให้ความสำคัญกับกองทัพค่อนข้างมาก ที่สำคัญ เหล่าเทพทั้ง 5 ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่มีบทบาทในการแบ่งกันปกครองโลกใบนี้ ทั้งสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซียและจีน ยังใช้งบการทหารกันสูงกว่าชาติอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด ( แต่ที่น่าสนใจคือญี่ปุ่น แม้จะถูกจำกัดอำนาจทางทหารสารพัดอย่าง แต่งบกองกำลังป้องกันตนเอง ก็ถือเป็นอันดับ 6 ของโลก เป็นรองแค่พวก 5 เทพเท่านั้น ซึ่งถ้าบรรดานักการเมืองสายเหยี่ยวของญี่ปุ่นเกิดล็อบบี้ให้แก้กฏหมายเพิ่มอำนาจกองทัพได้สำเร็จ ก็นึกไม่ออกว่ากองทัพลูกพระอาทิตย์จะมีแสนยานุภาพมากกว่านี้ขนาดไหน? ขึ้นชื่อว่าสายเลือดบูชิโดที่ทำอะไรก็ต้องทำให้สมบูรณ์แบบที่สุด ย่อมรับประกันคุณภาพได้แน่นอน )
หรือเอาใกล้ตัวกว่านั้น ประชาคมอาเซียนที่คนแถวนี้ฝันหวานว่าเราจะสงบสุข ร่วมไม้ร่วมมือกันแน่นแฟ้นเหมือนดินแดนในอุดมคติอย่างสหภาพยุโรป ( EU ) ตอนนี้ใครพูดเรื่องนี้ ผมป่วนวงแตกหมดนะครับ เพราะเชื่อเถอะว่าอีก 50 ปีข้างหน้า เราก็อาจจะยังอยู่แบบนี้ไม่คืบหน้าไปไหน ประการแรก ดูงบการทหารของชาติแถวนี้นะครับ ประเทศเกาะนิดเดียวอย่างสิงคโปร์ งบทหารมาอันดับ 1 ของอาเซียน ( 23 โลก ) อินโดนีเซียอันดับ 2 ( 34 โลก ) ไทยเราไม่น้อยหน้า อยู่อันดับ 3 ( 37 โลก ) และงบประมาณสูสีกับชาวอิเหนา ตามมาด้วยเพื่อนบ้านของเราอย่างมาเลเซีย อยู่อันดับ 4 ( 42 โลก )
ขอต่อกันที่อาเซียน ที่เรายังเสริมสมรรถนะกองทัพกันอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะรอบๆ บ้านเราที่ยังคงจัดหา “เรือดำน้ำ” [2] อาวุธที่ถ้าคนใช้งานเก่งพอ ก็อาจทำให้อีกฝ่ายที่มีเทคโนโลยีเหนือกว่าต้องหนักใจได้ ดูอย่างจีน ที่วันนี้คุณภาพกองทัพยังตามหลังสหรัฐอเมริกาพอสมควร แต่เรือดำน้ำของเทพมังกร ก็เคยย่องเงียบไปโผล่ข้างๆ เรือบรรทุกเครื่องบินของเทพอินทรีมาแล้ว [3] แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงจีน ชาติที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดในภูมิภาคนี้อย่างเวียดนาม วันนี้มีงบการทหารเป็นอันดับ 5 ของอาเซียน ( 50 โลก ) แต่เวียดนามยังคงสั่งซื้ออาวุธจากอดีตลูกพี่อย่างรัสเซีย ล่าสุดก็สั่งต่อเรือดำน้ำชั้น Kilo รุ่นปรับปรุง ซึ่งก็ได้มาประจำการแล้ว 2 ลำและมีแนวโน้มว่าจะสั่งเพิ่มอีก แน่นอนว่าน่าจะมีอาวุธอย่างอื่นด้วย เพราะวันนี้เวียดนามกำลังเครียดกับการขยายอาณาเขตทางทะเลของจีน
ขณะที่ในด้านอื่นๆ อาเซียนเราไม่มีศาลกลางในการตัดสินข้อพิพาท แถมยังมีข้อตกลงร่วมกันว่าจะไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องภายในของชาติสมาชิก ยังไม่นับที่เรามีความแตกต่างกันอย่างสุดขั้วของแต่ละประเทศ ทั้งด้านการเมือง ที่เรามีทั้งชาติที่เป็นประชาธิปไตยอย่างไทยและฟิลิปปินส์ ชาติที่เป็นเผด็จการสังคมนิยมอย่างเวียดนาม ชาติที่กึ่งๆ จะเป็นรัฐศาสนาอย่างมาเลเซีย หรือทางด้านเศรษฐกิจ ที่ระยะห่างระหว่างชาติร่ำรวย [4] อย่างสิงคโปร์ ( อันดับ 3 โลก ) หรือบรูไน ( อันดับ 5 โลก ) กับประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่ยังยากจน ไม่ว่าจะเป็นพม่า ลาว หรือกัมพูชา [5] ยังมีอยู่ค่อนข้างมาก
หรือเขยิบไปอีกนิด ไปดูบรรดามหาอำนาจเอเชียที่ค้าขาย – ทำธุรกิจเก่งๆ ก็ล้วนมีแสนยานุภาพทางทหารระดับชั้นนำทั้งสิ้น จีนก็เร่งสร้างคุณภาพกองทัพ ( หลังจากปริมาณแซงสหรัฐฯ ไปแล้ว ) ญี่ปุ่นก็อยากให้กองกำลังป้องกันตนเองทำงานได้กว้างขวางขึ้น ล่าสุดกับเกาหลีใต้ กำลังวิจัยเกี่ยวกับการนำสั.ตว์ต่างๆ มาใช้เป็นอุปกรณ์สอดแนม [6] และยังไม่พูดถึงอินเดีย ที่นับวันจะเริ่มเคืองจีนมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่จีนพยายามเข้ามามีอิทธิพลกับประเทศยากจนทั้งหลายในภูมิภาคเอเชียใต้ ตามยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก [7] ขณะที่กองทัพอินเดียนั้นมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก [8] รวมทั้งเป็นชาติที่มีขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นอะไร?..แม้เราจะเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ไร้พรมแดน แต่ชาติใหญ่น้อย ประเทศไม่ว่าโลกที่ 1 2 หรือ 3 ล้วนไม่เคยไว้วางใจกัน ต่างสั่งสมกำลังไม่ต่างจากยุคสงครามเย็นเลยใช่หรือไม่?
นี่แหละครับความเป็นจริงของโลก การทูตก็ดี เศรษฐกิจก็ดี การจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ( หรืออย่างน้อยคือไม่เสียเปรียบ ) ในการเจรจาใดๆ ก็ตาม สมรรถนะของกองทัพ ( โดยเฉพาะความทันสมัยของยุทโธปกรณ์ ) สามารถนำมาข่มขวัญคู่เจรจาได้ ทั้งนี้ในความเป็นจริง แม้ประเทศใหญ่ที่มีกำลังคนมากพอๆ กับเทคโนโลยีที่ทันสมัย ( เช่นสหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน อินเดีย ) ถ้าเอาจริงๆ จะถล่มประเทศเล็กๆ ได้ก็ตาม แต่การที่ประเทศเล็กๆ มีแสนยานุภาพที่เข้มแข็ง ( อย่างน้อยก็เต็มที่ที่สุด เท่าที่ขนาดของประเทศนั้นๆ จะมีได้ ) ย่อมทำให้ประเทศใหญ่กว่าต้องคิดหนัก ว่าถึงจะชนะสงคราม แต่ตัวเองก็จะเสียหายไม่น้อยเช่นกัน อย่ากระนั้นเลย..เรามาเจรจาต่อรองผลประโยชน์กันดีกว่า จะได้ Win – Win ทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ประเทศไทย ( สยาม ) เอง ในสมัยรัชกาลที่ 5 นอกจากเราจะเล่นเกมการทูตกับมหาอำนาจยุโรปได้ดีแล้ว ยังได้มีการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ แน่นอนว่ารวมถึงสมรรถนะกองทัพด้วย [9] ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรายืนอยู่บนเวทีโลกได้อย่างภาคภูมิใจ..ว่าเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตกใดๆ
กลับมาที่ภายในรั้วโรงเรียน ท่านเห็นไหมละครับ เด็กที่โดนแกล้งบ่อยๆ คือพวกที่ “ไม่ยอมต่อสู้” ( ซึ่งไม่เกี่ยวกับขนาดของร่างกาย เด็กที่ตัวใหญ่แต่ใจเสาะ อาจจะถูกเพื่อนที่ตัวเล็กกว่ารังแกได้เช่นกัน ) ยิ่งถ้าเป็นเด็กเรียนดีด้วย จะยิ่งถูกหมั่นไส้เป็นพิเศษ และถ้าผู้ปกครองเลือกใช้วิธีไปคุยกับครู หรือผู้บริหารโรงเรียน ผลที่ได้จะกลายเป็นตรงกันข้าม คือแทนที่เรื่องมันจะจบ มันจะกลายเป็นปัญหาของลูกหลานท่าน จนอาจจะต้องย้ายโรงเรียนหนีความกดดันเลยก็ว่าได้
ตลอดเวลาเกือบ 10 ปีมานี้ที่ผมเขียนบทความบนโลกออนไลน์ มีวัยรุ่นวัยเกรียน ( และวัยทำงานบางท่านที่อยากรำลึกอดีตสมัยยังเกรียน ) เข้ามาแชร์เรื่องราวการชกต่อยวิวาทของเด็กในโรงเรียนเดียวกันพอสมควร และมีบางรายบอกตรงกันว่า ถ้าการแกล้งกันแล้วคนถูกแกล้งไปฟ้องครู เรื่องถึงฝ่ายปกครอง เด็กคนดังกล่าวจะอยู่ไม่ได้ ทำงานกลุ่มก็ไม่มีใครรับเข้ากลุ่มด้วย หรือไม่มีใครคุยด้วย ทุกคนเดินหนี พฤติกรรมทำนองนี้ ภาษาทางการจะเรียกว่า “คว่ำบาตร” ( Boycott ) นั่นเอง และไม่รับประกันด้วยว่า ลูกหลานท่านจะไปโดนนักเรียนห้องอื่นรังแกหรือไม่? ซึ่งถ้าโดน ก็คงไม่มีใครช่วย เพราะห้องตัวเอง Boycott เด็กคนดังกล่าวไปแล้ว เรียกว่าทนได้ทนไป แต่ก็มีไม่น้อยทนไม่ได้ ก็ต้องย้ายโรงเรียนไปในที่สุด
( มีต่อ )