(เพิ่งได้ดู) JCVD (2008) : ฌอง-คล็อด แวน แดมม์ แอ็คชั่นฮีโร่ผู้น่าสงสาร (หนังดีที่สุดเท่าที่ แวน แดมม์ เคยเล่นมา)



JCVD ย่อมาจาก ฌอง-คล็อด แวน แดมม์ เป็นชื่อดารา ไม่รู้ว่าท่านๆ เคยดูหนังของเฮียแกบ้างหรือเปล่า? โดยเฉพาะคนที่อายุ 25 ขั้นไป ผู้เขียนว่าน่าจะคุ้นเคยกับชื่อนี้บ้างหล่ะ

ฌอง-คล็อด แวน แดมม์ แกเป็นดาราหนังแอ็คชั่นชาวเบลเยี่ยม ที่ดังขึ้นมารุ่นไล่ๆ กับ บรู๊ซ วิลลิส, สตีเว่น ซีกัล, ดอร์ฟ ลันเกรน, มิกกี้ รู๊ก ฯลฯ ช่วงเวลาพีคๆ ของแกก็คือช่วงปลายยุค 80s คาบเกี่ยวมาจนช่วงต้นและกลางยุค 90s ซึ่ง แวน แดมม์ เล่นหนังแอ็คชั่นดีๆ มันส์ๆ ไว้หลายเรื่อง อาทิ Cyborg (1989), Universal Soldier (1992), Hard Target (1993), Timecop (1994 สร้างจากการ์ตูนของ DH comic), Maximum Risk (1996) และอื่นๆ อีกมากมาย แต่เรื่องที่พีคสุดจนขึ้นอันดับหนึ่งบ็อกออฟฟิศ คือ Sudden Death (1995) ซึ่งนักวิจารณ์เมืองนอกบอกว่ามันคือหนังแอ็คชั่นจำกัดพื้นที่แบบ Die Hard แต่เป็นเวอร์ชั่นในสนามกีฬา

มายุคหลังๆ ฌอง-คล็อด แวน แดมม์ ก็เหมือนดารากล้ามโตจากยุค 80s หลายคนที่เล่นหนังอย่างอื่นไม่เป็น และไม่สามารถก้าวข้ามยุคสมัยมาได้ จนกลายเป็นดาวร่วง ตกอับ ถังแตก ไร้งาน ไร้เงิน

หนัง JCVD ถูกทำขึ้นมาโดยผู้กำกับอินดี้ชาวฝรั่งเศสชื่อ มาบรู๊ค หมอนี่บอกว่าตัวเองโตมากับหนังแอ็คชั่น โดยเฉพาะของเฮีย ฌอง-คล็อด แวน แดมม์ และยังรู้สึกว่าแวน แดมม์ คือฮีโร่ของเขาอยู่เสมอ (ผู้เขียนก็โตมากับหนังแอ็คชั่นของแวน แดมม์ เหมือนกัน) มาบรู๊ค เลยอยากทำผลงานเรื่องนี้ออกมาเพื่อหวังจะช่วยกู้สถานะของ แวนแดมม์ ให้ดีขึ้น หรือพูดได้ว่านี่เป็นความพยายามในฐานะของแฟนหนังคนหนึ่งที่หวังจะช่วย "ฮีโร่" ในอดีตของตัวเองยามตกระกำลำบาก เท่าที่พอจะทำได้

JCVD เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของ แวน แดมม์ นี่แหละ แต่ต้องบอกเพิ่มเติมไว้นิดนึงว่าไม่ใช่ หนังชีวประวัติ หรือสารคดี น่าเบื่อๆ อย่างที่ภาพหน้าปกชวนให้คิดไปอย่างนั้น แต่มันคือหนังหนึ่งเรื่องที่มีจุดเริ่มต้น มีจุดไคลแม็กซ์ มีบทสรุปที่ชัดเจน และตา มาบรู๊ค ผู้กำกับคนนี้ก็ฉลาดมาก+เก่งมาก เพราะพี่แกทำหนังด้วยการเอา “เค้าโครงเรื่องจริงของ แวน แดมม์” กับ “เรื่องที่แต่งขึ้น” มายำผสมรวมกัน จนออกมาเป็นเรื่องได้รสชาติกลมกล่อม กลายเป็นหนังดราม่า/ทริลเลอร์/แอ็คชั่น ที่เข้มข้น และดูสนุกเรื่องนึงเลยทีเดียว

“เค้าโครงที่มาจากเรื่องจริง” ในตอนที่ถ่ายทำหนังเรื่องนี้ (ช่วงปี 2008) ก็คือ แวน แดมม์ เป็นนักแสดงตกอับ งานไม่มี เงินไม่มี เช็คก็เด้ง บัตรเครดิตก็โดนตัด ต้องระหกระเหินกลับไปตั้งหลักชีวิตที่กรุงบรัสเซล ประเทศเบลเยี่ยมบ้านเกิด ทั้งยังมีคดีความฟ้องร้องกับภรรยาเรื่องการเลี้ยงดูลูก ที่ แวน แดมม์ ถูกทนายความของภรรยาใช้หนังที่แวนแดมม์เคยแสดงไว้มาเป็นข้ออ้างว่า แวนแดมม์ เป็นคนรุนแรงที่เล่น แต่หนังรุนแรง (ยกตัวอย่างฉาก เตะผ่าหมาก หักกระดูก ทุบบ้องหู มาประกอบ) รวมถึงเอเจนซี่ที่ร่วมงานกันมาเป็น 10 - 20 ปีก็ไม่จริงใจ เริ่มตีตัวออกห่าง และไม่ทำงานให้เต็มที่

ในสายตาของชาวเบลเยี่ยมบางส่วน ฌอง-คล็อด แวน แดมม์ ยังเป็นเหมือนดาราดังขวัญใจ เป็นหน้าเป็นตาของชาวเบลเยี่ยมที่ไปสร้างชื่อในฮอลลีวู้ดอยู่เสมอ ขณะที่หลายคนกลับดูถูกว่าเป็นเพียงคนจนตรอกที่กลับมาตายรังเท่านั้น

ส่วน “เรื่องที่แต่งขึ้น” ก็คือ เหตุการณ์ปล้นไปรษณีย์จับตัวประกันที่กินเวลาหนึ่งวันเต็ม

ซึ่งพอผู้กำกับเอาสองอย่างนี้มารวมเป็นเรื่องเดียวกัน พล็อตหนังใน JCVD แทนที่จะเป็นหนังเล่าถึงชีวิตดาราตกอับธรรมดาๆ เลยออกมาเป็นเรื่องราวของ  ฌอง-คล็อด แวน แดมม์ ดาราฮอลลีวู้ดตกอับ ไร้เงิน กลับมาตั้งหลักที่บ้านเกิด วันนึงเขาต้องการใช้เงินเร่งด่วนและต้องไปรับที่ไปรษณีย์ แต่หลังจากที่ แวน แดมม์ เดินลับผ่านเข้าประตูไปรษณ์ย์ได้ไม่นาน ก็มีกระสุนปืนเล็ดลอดออกมาโดนรถข้างนอก ตำรวจแถวนั้นเลยวิ่งไปดูทางหน้าต่าง เห็นพระเอกคนดังกำลังหน้าเครียด ทั้งยังเริ่มลงมือเลื่อนตู้มาปิดหน้าต่างทั้งหมดของสำนักงานไปรษณ์ย์ พร้อมๆ กับมีเสียงร้องโวยวายโหยหวนอย่างเจ็บปวดของผู้คนในนั้นดังขึ้น คนที่อยู่บริเวณเกิดเหตุเลยเหมารวมเอาว่า ฌอง-คล็อด แวน แดมม์ ดาราตกอับขวัญใจคนบรัสเซล ตัดสินใจปล้นไปรษณ์ จับตัวประกันเรียกค่าไถ่

ข่าวนี้แพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนในกรุงบรัสเซล และทั่วทั้งเบลเยี่ยมที่เคยเป็นแฟนหนัง เลยเดินทางมารวมตัวกันที่จุดเกิดเหตุเพื่อให้กำลังใจแวนแดมม์กันใหญ่ ขณะเดียวกันตำรวจและหน่วยสวาทก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นในนั้น เลยพยายามเจรจาต่อรอง จนสถานการณ์ตึงเครียด และกลายเป็นข่าวใหญ่โตลุกลามไปถึงฮอลลีวู้ด

เรื่องคร่าวๆ ของ JCVD ก็มีเท่านี้ ซึ่งผู้เขียนคงเล่าต่อไม่ได้แล้วหล่ะ เดี๋ยวจะเป็นการโป๊เปลือยหนังมากเกินไป จนเสียจุดหักมุม เสียอรรถรสสำหรับคนที่คิดจะหามาดู แต่มีอยู่ 3 ฉาก ที่ผู้เขียนดูแล้วซึ้งมาก และอยากจะหยิบมาเรียกน้ำย่อย ฉากที่ว่าคือ

1. ฉากแฟนหนังของ แวนแดมม์ ที่ติดอยู่ในไปรษณีย์ที่โดนปล้นจำได้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ คือ ฌอง คล็อด แวน แดมม์ เลยขอให้โชว์ท่าเตะประจำตัวที่ใช้ในหนังให้ดูเป็นขวัญตา โดยหมอนั่นเอาบุหรี่มาเสียบไว้ที่ปาก แล้วให้แวนแดมม์เตะออก โดยที่ห้ามโดนหน้าแม้เพียงนิด แล้วแวนแดมก็โชว์ว่าทำได้จริงๆ ไม่ใช่ทำได้แต่ในหนัง ใครเป็นแฟนหนังแวน แดมม์ จะรู้ดีว่านี่เป็นท่าอมตะของแก กับอีกท่าก็คือท่าโชว์ฉีกขา 180 องศาที่ขาดไม่ได้ในหนังทุกเรื่อง (ฮา)

2. ฉากที่ลูกสาวของแวนแดมม์พูดในศาลว่า “ขออยู่กับแม่ดีกว่า ไม่อยากไปอยู่กับพ่อ เพราะถูกเพื่อนๆ ที่โรงเรียนล้อ เวลาเห็นหนังเห่ยๆ ของพ่อฉายในเคเบิ้ล” (น้ำตาจะไหลจริงๆ ฉากนี้)

3. ฉากที่ แวนแดมม์ เจรจากับเอเจนซี่ส่วนตัว แวนแดมม์ บอกว่าไม่อยากเล่นหนังที่เอเจนซี่เลือกให้ เพราะมันเป็นหนังห่วย เล่นแล้วเหมือนทำลายอาชีพตัวเองลงไปเรื่อยๆ และขอให้เอเจนซี่พยายามติดต่อหางานจากค่ายหนังฮอลลีวู้ดให้เขาเล่นซักเรื่อง ซักเรื่องเดียวก็พอ ที่จะทำให้เขากลับไปมีที่ทางเล็กๆ ในฮอลลีวู้ดอีกครั้ง โดยให้บอกไปเลยว่า ฌอง คล็อด แวน แดมม์ เล่นให้ฟรีๆ ถวายหัวเลย (น้ำตาจะไหลเหมือนกันกับฉากนี้ และทำให้รู้ว่าหนังที่ แวน แดมม์ เล่นบางทีแกก็รู้เหมือนกันว่ามันเป็นหนังห่วย แต่ชีวิตมันไม่มีทางเลือกนี่นะ)

นอกจากนั้น ตลอดเหตุการณ์ยังมีบทสนทนาเจ๋งๆ เฉียบๆ ถูกใส่เข้ามาอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นการล้อเลียน จอห์น วู ที่แฟนหนังของแวนแดมม์คนหนึ่งบอกว่าไม่ได้มีฝีมืออะไร แต่อาศัยประโยชน์จากแวนแดมม์จนดัง ไม่เชื่อลองดูหนังฮอลลีวู้ดเรื่องต่อๆ มาของ วู อย่าง Windtalker ซิ ห่วยโคตรๆ (จอห์น วู ทำหนังเรื่องแรกในฮอลลีวู้ดคือ Hard Target นำแสดงโดย พี่แวน แดมม์นี่หละ)

อีกมุกที่ฮามากคือ การเสียดสี สตีเว่น ซีกัล ที่หนังเรื่องนี้บอกว่า ซีกัล ยอมลงทุนตัดผมเปียที่ไว้มาทั้งชีวิต เพื่อแย่งงานแสดงหนัง (ผลิตลงวิดีโอ) เรื่องนึงไปจากแวนแดมม์ (ฮา) และอีกมากมาย ดูแล้วทั้งมันส์ ทั้งฮา เจ็บๆ คันๆ และซึ้ง โดยเฉพาะถ้าใครที่พอจะรู้จักแวดวงดาราแอ็คชั่นจากยุค 80s ที่กลายไปเป็นดาราเกรดบี เกรดซี ไปแล้วในปัจจุบัน

ส่วนคนที่ไม่ใช่แฟนแวนแดมม์ ผู้เขียนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าดูแล้วจะอินมั้ย ถ้าไม่ใช่แฟน คิดว่า JCVD ก็น่าจะเหมือนดูหนังเรื่องหนึ่งที่มีตัวเอกของเรื่องเป็นดาราตกอับ แล้วมาเจอสถานการณ์แย่ๆ จนลุกลามวายป่วงไปใหญ่อะไรทำนองนั้น ซึ่งด้วยการเดินเรื่องที่เร็ว และการเล่าเรื่องที่ดูมีชั้นเชิง มีชาติตระกูล คิดว่าคนทั่วไปดูแล้วน่าจะโอเคในระดับนึง

หลังจากหนังเรื่องนี้ออกฉาย ฌอง-คล็อด แวน แดมม์ กลับมามีงานแสดงชุกขึ้นมาอีก หนึ่งในนั้นคือการให้เสียงพากษ์การ์ตูนอย่าง Kung Fu Panda ภาค 2 และหนังอื่นๆ ที่ยังเป็นหนังเกรดบีเสียเป็นส่วนใหญ่

สุดท้ายอยากจะบอกอีกว่าหนังเรื่องนี้ยังส่งให้อาเฮีย แวนแดมม์ คว้ารางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมปี 2008 ของนิตยสาร TIME ไปครองเลยเชียวนะ (ฮา) แน่นอนว่านี่คือหนังที่ดีที่สุดในชีวิตการแสดงของลูกผู้ชายที่ชื่อว่า ฌอง-คล็อด แวน แดมม์ แล้วหล่ะ ใครพอรู้จักเฮียแกอยู่บ้าง ลองหามาดูกัน ดีจริง

คะแนน : สามดาว
(ในฐานะแฟน ซึ้งจนน้ำตาจะไหล ใครอยากจะดู แผ่นหนังเรื่องนี้กองๆ อยู่ตามกระบะหนังลดราทั่วไปจ้า 39 บาทเอง 55)

PS 1. ใครเป็นแฟนหนังนักแสดงรายนี้มาแชร์หนังเก่าๆ ของแกกัน
PS 2 . ใครชอบอ่านรีวิวหนัง สั้นบ้าง ยาวบ้าง ฝากกด like แฟนเพจด้วยจ้า http://www.facebook.com/pages/เกรียนหนัง/112834835539518
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่