ผมรื้อบ้านแล้วไปเจอหนังสือชื่อ "เมืองไทยในสายตาผม" ของแอนดรูว์บิ๊กส์ ซึ่งเป้นการรวมบทความที่เขียนลงเนชั่นสุดสัปดาห์สมัยปี 2540
มีอยู่ตอนนึงน่าสนใจมากเกี่ยวกับการรับน้อง ซึ่งแม้ว่าจะถึงปี 2556 ในปัจจุบัน มันก็ยังไม่หายไปสักที
จึงขออนุญาตเผยแพร่และเรียบเรียงใหม่บางตอนมาให้อ่านกันนะครับ
"รับน้องควาย" โดย แอนดรูว์ บิ๊กส์
ปกติแล้วผมเป็นผู้สนับสนุนวัยรุ่นไทยครับ คนที่อายุมากหลายต่อหลายคนบ่นว่า วัยรุ่นไทยสมัยนี้ประพฤติตัวแย่และไม่มีศีลธรรม ผมว่าเรื่องนั้นมันจิ๊บๆเมื่อเทียบกับนักการเมืองและนักธุรกิจบางคนในสังคมเราสิครับ วัยรุ่นเราน่ะทาบไม่ติดหรอกที่จะไปแข่งทำตัวเลวๆและไม่มีศีลธรรมแข่งกับพวกเขาเหล่านั้น
แต่ใน 1 ปีก้มีครั้งนึงล่ะครับที่ผมหยุดสนับสนุนวัยรุ่นไทย และหันกลับมาเผชิญหน้ากับพวกเขาตรงๆแล้วพูดว่า "โตเสียที" และครั้งนึงของปีก็คือช่วงนี้แหละครับ ฤดูกาลรับน้องใหม่ เวลาแห่งปีที่พี่ๆปี 4 ในมหาวิทยาลัยของเราพิสูจน์ให้เราเห้นว่า หลังจากเวลา 3 ปีที่พวกเขาเข้าไปร่ำเรียนการศึกษา พวกเขาก็ยังไม่ได้รู้อะไรมากขึ้นเลย
ผมจะไม่บ่นว่าอะไรเกี่ยวกับประเพณีรับน้องใหม่ที่ส่วนใหญ่เป็นการเล่นเกมส์สนุนสนาน มุ่งหวังที่จะให้ทุกคนอยุ่ร่วมกันสักอาทิตย์หนึ่ง แต่ปัญหาคือบรรดารุ่นพี่ปี 4 ใช้การรับน้องใหม่แสดงออกถึงจิตนาการแห่งการใช้อำนาจบาตรใหญ่ของพวกเขา ราวกับพระเจ้ากล่าวกับพวกเขาว่า "นี่พวกเธอสามารถเป็นฮิตเลอร์ได้อาทิตย์นึงนะ ทำอะไรก็ได้ที่พวกเธอต้องการกับเด็กใหม่พวกนี้"
การรับน้องใหม่แบบนั้นมันหายไปตั้งนานแล้วที่มหาวิทยาลัยออสเตรเลีย น้องใหม่ที่นั่นจะไม่ยอมทนถูกกระทำแบบนั้นแน่ๆ บางทีนี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ระหว่างวัยรุ่นไทยและวัยรุ่นตะวันตก สมมุติว่าพี่ปี 4 ชาวตะวันตก ตะโกนใส่รุ่นน้องชาวตะวันตกว่า "แกไปวิ่ง 200 เมตรแล้ววิดพื้น 100 ทีเดี่ยวนี้" เด็กใหม่ที่นั่นอาจจะแสดงภาษามือที่ไม่สุภาพแล้วพูดว่า "ไปเอาหัวยัดชักโครกแล้วกดน้ำตามซะเถอะแก" แต่ขณะที่พี่ปี 4 ชาวไทยตะโกนใส่น้องใหม่ด้วยคำสั่งแบบเดียวกัน น้องใหม่ชาวไทยก็จะตอบว่า "ครับ"
เมื่อรับน้องใหม่เป็นเรื่องของความรุนแรงแล้วล่ะก็ มันสามารถวัดความชื่นชอบความรุนแรงของบรรดารุ่นพี่ ผู้ซึ่งคาดหวังความเคารพนับถือจากบรรดาน้องใหม่ แต่ผมยอมนับถือซีอุยมากกว่าจะไปนับถือรุ่นพี่เสียงดังและรุนแรงพวกนั้น
ทุกครั้งที่ผมเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมจะได้รับจดหมายมากมายจากพวกรุ่นพี่ซึ่งไม่ระบุนาม (คนพวกนี้กล้าพอที่จะตะโกนใส่น้องใหม่ แต่กลับไม่กล้าพอที่จะเขียนชื่อที่อยุ่จริงลงในซองจดหมาย) พวกเขาบ่นว่าผมไม่เข้าใจประเพณีของไทย ผมตอบว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับประเพณีของไทยเสียหน่อย คุณไม่จำเป้นต้องมำตำแหน่งดอกเตอร์ทางด้านประเพณีไทยเพื่อที่จะมาทำความเข้าใจไอ้บางคนที่ชอบบังคับให้อีกคนกระทำรุนแรงหรืออันตรายหรอก
"รับน้องใหม่ เป็นการสอนวินัยให้น้องใหม่ มันทำให้น้องใหม่รักรุ่นพี่และคณะ มันทำให้พวกเขาเข้าใจวิธีการทำงานและร่วมงานกันเป้นกลุ่ม มันทำให้พวกเขารู้จักเพื่อนๆน้องใหม่ด้วยกัน" เวลามีคนมาให้เหตุผลอย่างนี้ผมก็จะตอบว่า "ถ้าผมอยากเรียนรู้เรื่องระเบียบวินัย ผมคงจะไปเป็นทหารแล้ว พสกรุ่นพี่เหล่านี้มีคุณสมบัติอะไรที่จะมาสอนผม เขาก็ยังเป็นแค่เด็กนักเรียน เขายังไม่จบปริญญาด้วยซ้ำ แล้วผมจะไปรักคุณได้ยังไง ถ้าคุณตะโกนใส่ผม ทรมาณผม เอาผมออกไปจากชีวิตส่วนตัวคุณเถอะขอบคุณ ผมไม่รักคนที่ตะโกนใส่ผม ซ้ำยังบังคับผมให้ทำเรื่องโง่ๆ หรือให้ทำเรื่องที่ริดรอนสิทธิส่วนบุคคลของผม"
บทเรียนความสามัคคี วินัยส่วนบุคคล และความรัก เป็นบทเรียนที่ต้องเรียนรู้จากครอบครัว ผู้ปกครอง คนรัก ศาสนาของผม และผมอยากจะเลือกคนที่จะเข้าร่วมกลุ่มด้วยตัวของผมเอง ที่นี่คือมหาวิทยาลัย ไม่ใช่คุก มันไม่ใช่สนามรบหรือโรงพยาบาลรักษาอาการประสาท รุ่นพี่ที่ผมจะรักคือ รุ่นพี่ที่ช่วยผมด้านการศึกษา แต่สำหรับพวกรุ่นพี่อาจจะบอกว่า "มันไม่สนุกเท่ากับการเอาหัวพวกนั้นมาชนกันนี่" ซึ่งนั่นเป็นคำตอบที่แท้จริงของการรับน้องใหม่
เรื่องที่น่าเศร้าที่สุดคือการที่คุณไม่สามารถลุกขึ้นบอกว่า "ไม่ ผมจะไม่ทำแบบนี้" ก็จะถูกเนรเทศออกไป ปีนี้ผมจะเริ่มรณรงค์เรื่อง "ไม่" อย่างเป็นทางการ เมื่อไหร่ที่รุ่นพี่บังคับให้รุ่นน้องทำสิ่งที่ไม่อยากทำ เด็กใหม่คนนั้นก็เพียงพูดขึ้นว่า "ไม่" เป็นภาษาอังกฤษแล้วเดินจากไป น้องใหม่คนอื่นๆทั้งหมดก็จะต้องทำตาม เราจะพิชิตการรับน้องได้ และสิ่งดีๆอื่นๆก้จะตามมา อย่างน้อยรุ่นพี่ก็ได้เริ่มเรียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษคำแรกเสียที
น่าเศร้านะครับที่เวลา 3 ปีในมหาวิทยาลัยไม่ได้ให้ความรู้กับพวกรุ่นพี่เลย ผมว่ามหาวิทยาลัยยังทำหน้าที่บกพร่อง เพราะนักเรียนในนั้นยังคิดว่าการตี เตะ ทำร้ายร่างการและจิตใจรุ่นน้องที่เข้ามาเรียน เป็นเรื่องที่ดีและน่าสืบทอด
ตื่นเถะครับ โตเสียที พวกคุณยังมีเวลาเหลือแค่ 1 ปี
ที่จะเรียนหนังสือ และถ้าคุณอยากได้ความเคารพนับถือจริงๆ คุณควรจะบอกรุ่นน้องว่า "อย่าทำในสิ่งที่พวกเราเคยทำเลย จงทำตัวให้ฉลาดขึ้น ควรจะยกเลิกรับน้องใหม่อย่างรุนแรงเสียที เพราะตอนที่คุณเป็นน้องใหม่ผ่านพิธีรับน้องมาจนถึงปี 3 ก็ไม่ได้ทำให้คุณดีขึ้นเลย"
สมัยก่อนผมเอนท์เข้าไปเจอพวกรุ่นพี่ EQ ต่ำแบบนี้ ผมปลีกตัวออกห่างเลยครับ อยู่ไปก็บั่นทอนปัญญา เอาเวลาไปเครียดเรื่องเรียนดีกว่า
หลายมหาลัยในปัจจุบันก็มีการจัดเข้าค่ายรับน้อง เล่นเกมส์สนุนสนานเพื่อให้เด็กใหม่ทำความรู้จักกัน 3 วันแล้วก็จบงาน แต่ยังมีรุ่นพี่บางคนเล่นนอกรอบ ต้อนไปรวมกลุ่มอ้างซ้อมเชียร์ แต่กลับไปว๊าก หรือลงโทษให้เจ็บหรืออาย ถ้าปีไหนไม่มีคนตาย ก็ยังไม่มีมหาลัยไหนห้ามเข้มงวดสักที
รับน้องควาย สมควรจะยกเลิกเสียที
มีอยู่ตอนนึงน่าสนใจมากเกี่ยวกับการรับน้อง ซึ่งแม้ว่าจะถึงปี 2556 ในปัจจุบัน มันก็ยังไม่หายไปสักที
จึงขออนุญาตเผยแพร่และเรียบเรียงใหม่บางตอนมาให้อ่านกันนะครับ
"รับน้องควาย" โดย แอนดรูว์ บิ๊กส์
ปกติแล้วผมเป็นผู้สนับสนุนวัยรุ่นไทยครับ คนที่อายุมากหลายต่อหลายคนบ่นว่า วัยรุ่นไทยสมัยนี้ประพฤติตัวแย่และไม่มีศีลธรรม ผมว่าเรื่องนั้นมันจิ๊บๆเมื่อเทียบกับนักการเมืองและนักธุรกิจบางคนในสังคมเราสิครับ วัยรุ่นเราน่ะทาบไม่ติดหรอกที่จะไปแข่งทำตัวเลวๆและไม่มีศีลธรรมแข่งกับพวกเขาเหล่านั้น
แต่ใน 1 ปีก้มีครั้งนึงล่ะครับที่ผมหยุดสนับสนุนวัยรุ่นไทย และหันกลับมาเผชิญหน้ากับพวกเขาตรงๆแล้วพูดว่า "โตเสียที" และครั้งนึงของปีก็คือช่วงนี้แหละครับ ฤดูกาลรับน้องใหม่ เวลาแห่งปีที่พี่ๆปี 4 ในมหาวิทยาลัยของเราพิสูจน์ให้เราเห้นว่า หลังจากเวลา 3 ปีที่พวกเขาเข้าไปร่ำเรียนการศึกษา พวกเขาก็ยังไม่ได้รู้อะไรมากขึ้นเลย
ผมจะไม่บ่นว่าอะไรเกี่ยวกับประเพณีรับน้องใหม่ที่ส่วนใหญ่เป็นการเล่นเกมส์สนุนสนาน มุ่งหวังที่จะให้ทุกคนอยุ่ร่วมกันสักอาทิตย์หนึ่ง แต่ปัญหาคือบรรดารุ่นพี่ปี 4 ใช้การรับน้องใหม่แสดงออกถึงจิตนาการแห่งการใช้อำนาจบาตรใหญ่ของพวกเขา ราวกับพระเจ้ากล่าวกับพวกเขาว่า "นี่พวกเธอสามารถเป็นฮิตเลอร์ได้อาทิตย์นึงนะ ทำอะไรก็ได้ที่พวกเธอต้องการกับเด็กใหม่พวกนี้"
การรับน้องใหม่แบบนั้นมันหายไปตั้งนานแล้วที่มหาวิทยาลัยออสเตรเลีย น้องใหม่ที่นั่นจะไม่ยอมทนถูกกระทำแบบนั้นแน่ๆ บางทีนี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ระหว่างวัยรุ่นไทยและวัยรุ่นตะวันตก สมมุติว่าพี่ปี 4 ชาวตะวันตก ตะโกนใส่รุ่นน้องชาวตะวันตกว่า "แกไปวิ่ง 200 เมตรแล้ววิดพื้น 100 ทีเดี่ยวนี้" เด็กใหม่ที่นั่นอาจจะแสดงภาษามือที่ไม่สุภาพแล้วพูดว่า "ไปเอาหัวยัดชักโครกแล้วกดน้ำตามซะเถอะแก" แต่ขณะที่พี่ปี 4 ชาวไทยตะโกนใส่น้องใหม่ด้วยคำสั่งแบบเดียวกัน น้องใหม่ชาวไทยก็จะตอบว่า "ครับ"
เมื่อรับน้องใหม่เป็นเรื่องของความรุนแรงแล้วล่ะก็ มันสามารถวัดความชื่นชอบความรุนแรงของบรรดารุ่นพี่ ผู้ซึ่งคาดหวังความเคารพนับถือจากบรรดาน้องใหม่ แต่ผมยอมนับถือซีอุยมากกว่าจะไปนับถือรุ่นพี่เสียงดังและรุนแรงพวกนั้น
ทุกครั้งที่ผมเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมจะได้รับจดหมายมากมายจากพวกรุ่นพี่ซึ่งไม่ระบุนาม (คนพวกนี้กล้าพอที่จะตะโกนใส่น้องใหม่ แต่กลับไม่กล้าพอที่จะเขียนชื่อที่อยุ่จริงลงในซองจดหมาย) พวกเขาบ่นว่าผมไม่เข้าใจประเพณีของไทย ผมตอบว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับประเพณีของไทยเสียหน่อย คุณไม่จำเป้นต้องมำตำแหน่งดอกเตอร์ทางด้านประเพณีไทยเพื่อที่จะมาทำความเข้าใจไอ้บางคนที่ชอบบังคับให้อีกคนกระทำรุนแรงหรืออันตรายหรอก
"รับน้องใหม่ เป็นการสอนวินัยให้น้องใหม่ มันทำให้น้องใหม่รักรุ่นพี่และคณะ มันทำให้พวกเขาเข้าใจวิธีการทำงานและร่วมงานกันเป้นกลุ่ม มันทำให้พวกเขารู้จักเพื่อนๆน้องใหม่ด้วยกัน" เวลามีคนมาให้เหตุผลอย่างนี้ผมก็จะตอบว่า "ถ้าผมอยากเรียนรู้เรื่องระเบียบวินัย ผมคงจะไปเป็นทหารแล้ว พสกรุ่นพี่เหล่านี้มีคุณสมบัติอะไรที่จะมาสอนผม เขาก็ยังเป็นแค่เด็กนักเรียน เขายังไม่จบปริญญาด้วยซ้ำ แล้วผมจะไปรักคุณได้ยังไง ถ้าคุณตะโกนใส่ผม ทรมาณผม เอาผมออกไปจากชีวิตส่วนตัวคุณเถอะขอบคุณ ผมไม่รักคนที่ตะโกนใส่ผม ซ้ำยังบังคับผมให้ทำเรื่องโง่ๆ หรือให้ทำเรื่องที่ริดรอนสิทธิส่วนบุคคลของผม"
บทเรียนความสามัคคี วินัยส่วนบุคคล และความรัก เป็นบทเรียนที่ต้องเรียนรู้จากครอบครัว ผู้ปกครอง คนรัก ศาสนาของผม และผมอยากจะเลือกคนที่จะเข้าร่วมกลุ่มด้วยตัวของผมเอง ที่นี่คือมหาวิทยาลัย ไม่ใช่คุก มันไม่ใช่สนามรบหรือโรงพยาบาลรักษาอาการประสาท รุ่นพี่ที่ผมจะรักคือ รุ่นพี่ที่ช่วยผมด้านการศึกษา แต่สำหรับพวกรุ่นพี่อาจจะบอกว่า "มันไม่สนุกเท่ากับการเอาหัวพวกนั้นมาชนกันนี่" ซึ่งนั่นเป็นคำตอบที่แท้จริงของการรับน้องใหม่
เรื่องที่น่าเศร้าที่สุดคือการที่คุณไม่สามารถลุกขึ้นบอกว่า "ไม่ ผมจะไม่ทำแบบนี้" ก็จะถูกเนรเทศออกไป ปีนี้ผมจะเริ่มรณรงค์เรื่อง "ไม่" อย่างเป็นทางการ เมื่อไหร่ที่รุ่นพี่บังคับให้รุ่นน้องทำสิ่งที่ไม่อยากทำ เด็กใหม่คนนั้นก็เพียงพูดขึ้นว่า "ไม่" เป็นภาษาอังกฤษแล้วเดินจากไป น้องใหม่คนอื่นๆทั้งหมดก็จะต้องทำตาม เราจะพิชิตการรับน้องได้ และสิ่งดีๆอื่นๆก้จะตามมา อย่างน้อยรุ่นพี่ก็ได้เริ่มเรียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษคำแรกเสียที
น่าเศร้านะครับที่เวลา 3 ปีในมหาวิทยาลัยไม่ได้ให้ความรู้กับพวกรุ่นพี่เลย ผมว่ามหาวิทยาลัยยังทำหน้าที่บกพร่อง เพราะนักเรียนในนั้นยังคิดว่าการตี เตะ ทำร้ายร่างการและจิตใจรุ่นน้องที่เข้ามาเรียน เป็นเรื่องที่ดีและน่าสืบทอด
ตื่นเถะครับ โตเสียที พวกคุณยังมีเวลาเหลือแค่ 1 ปี
ที่จะเรียนหนังสือ และถ้าคุณอยากได้ความเคารพนับถือจริงๆ คุณควรจะบอกรุ่นน้องว่า "อย่าทำในสิ่งที่พวกเราเคยทำเลย จงทำตัวให้ฉลาดขึ้น ควรจะยกเลิกรับน้องใหม่อย่างรุนแรงเสียที เพราะตอนที่คุณเป็นน้องใหม่ผ่านพิธีรับน้องมาจนถึงปี 3 ก็ไม่ได้ทำให้คุณดีขึ้นเลย"
สมัยก่อนผมเอนท์เข้าไปเจอพวกรุ่นพี่ EQ ต่ำแบบนี้ ผมปลีกตัวออกห่างเลยครับ อยู่ไปก็บั่นทอนปัญญา เอาเวลาไปเครียดเรื่องเรียนดีกว่า
หลายมหาลัยในปัจจุบันก็มีการจัดเข้าค่ายรับน้อง เล่นเกมส์สนุนสนานเพื่อให้เด็กใหม่ทำความรู้จักกัน 3 วันแล้วก็จบงาน แต่ยังมีรุ่นพี่บางคนเล่นนอกรอบ ต้อนไปรวมกลุ่มอ้างซ้อมเชียร์ แต่กลับไปว๊าก หรือลงโทษให้เจ็บหรืออาย ถ้าปีไหนไม่มีคนตาย ก็ยังไม่มีมหาลัยไหนห้ามเข้มงวดสักที