เอดิออทเสยผมสีดำที่ปรกลงมาให้พ้นหน้าผาก แล้วเอ่ยปากถามว่า “เมื่อไหร่ดวงอาทิตย์ กับดวงจันทร์ จะมีวันมาพบกันล่ะ?”
ใบหน้าของหญิงชรา ปรากฏรอยยิ้มอยู่เสมอ ในดวงตาคู่ดังกล่าว นางมองดูเด็กหนุ่มตรงหน้า ด้วยหัวใจอันเปี่ยมเมตตา ผ่านถุงใต้ตาห้อยย้อย รองรับกับหางตาตก ปรากฏรอยเหี่ยวย่นพอดี นับตั้งแต่วันแรกที่รับเขามาไว้ในความอุปถัมภ์ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเนิบช้าเป็นปกติว่า “นับตั้งแต่อดีต ตราบจนถึงปัจจุบัน ยังไม่เคยมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมาก่อนเลย ไม่ว่าจะด้วยคำบอกเล่า หรือบันทึกของนักปราชญ์ ผู้ถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ สืบทอดต่อมาหลายยุคหลายสมัย ก็ไม่ปรากฏบันทึกว่ามีปรากฏการณ์ ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์โคจรมาพบกัน”
“แล้วเป็นไปได้มั้ยเล่าท่านยาย ที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ จะมาพบกันในอนาคต?” เอดิออทเลิกคิ้วสบสายตากับหญิงชรา เป็นความหมายว่ารอฟังคำสาธยายความเพิ่ม
แววตาของนางกอปรด้วยเมตตาจิตไม่เปลี่ยน กล่าวตามความเชื่อของนางเองว่า “แม้ข้าไม่ใช่ผู้หยั่งรู้ดินฟ้า แต่ก็เชื่อว่าสิ่งผิดปกติเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้น ยกเว้นท้องฟ้าวิปริตวิปโยค”
“อีกไม่นานพวกเราคงได้เห็นท้องฟ้าวิปริตวิปโยคพร้อมกันหมด กระทั่งมังกรและจิ้งจอกที่อยู่กันคนละเส้นขอบโลก ยังอุตส่าห์โคจรมาพบกันได้ ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่อยู่คนละเส้นขอบฟ้า อีกไม่ช้าคงจะโคจรมาพบกันแน่ เอาจิ้งจอกเงินเป็นประกันเลย” เอดิออทพูดไปในทำนองขบขัน ไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจัง
เจ้าชายธีโอดอร์ฟวางแก้วเหล้าองุ่นอันว่างเปล่าลงตรงหน้า เขาดึงตัวเองลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่เลื่อนออก เสาไม้ทั้งสี่มุมผูกขึงไว้กับผ้าผืนใหญ่สีขาว คลี่ออกแผ่คลุม ภายใต้ซุ้มรับประทานอาหาร หนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่ บนเก้าอี้ทรงกลมไร้พนักพิงหลัง ใกล้กับมุมด้านซ้ายของโต๊ะอาหาร ที่ทุกคนกำลังนั่งรับประทานกันอยู่ เขาหยิบมันขึ้นมา พลิกอ่านไปทีละหน้า ขณะก้าวเท้ายาวๆกลับมายังโต๊ะอาหาร ทิ้งตัวกลับลงนั่งบนเก้าอี้ เปิดหน้าหนังสืออย่างค้นหา เล็บสั้นสะอาดบนนิ้วมือของเจ้าชาย พลิกกระดาษอย่างรวดเร็วไปเรื่อยๆ แล้วหยุดค้างที่หน้าหนึ่งของหนังสือ เนื้อหาในหน้ากระดาษแผ่นนั้น ตรึงสายตาของเขาให้ชะงักงัน นานพอจะหยุดถอนหายใจ ยาวๆสักสองสามครั้ง ฟาลเนียสังเกตเห็นว่า สายตาคู่ดังกล่าว กำลังมองสิ่งที่เปิดอ้าตรงหน้า ด้วยแววตาครุ่นคิดไม่สบายใจนัก เขาอ่านตัวอักษรเขียนด้วยปลายขนนก จุ่มหมึกดำเต็มหน้ากระดาษแผ่นนั้น จากบรรทัดแรกไปจนบรรทัดสุดท้าย สองนิ้วจับขอบกระดาษมุมบนพับทำสัญลักษณ์ขั้นหน้านั้น แล้วพลิกคว่ำปิดหนังสือกระแทกกันดังปับ
ฟาลเนียรับหนังสือเล่มนั้นมาอ่าน ภายหลังเอ่ยปากขอจากมือของเขา ตัวหนังสือบนหน้าปกสีเทาอมเขียว ทำจากหนังทาร์ทูเลี่ยนเล่มนั้น เขียนด้วยอักขระสีทองตัวโตงดงามว่า ความลับของฤดูกาลทั้งห้า จากนั้นก็พลิกไปยังหน้ากระดาษ ที่พับมุมบนทำเครื่องหมาย เพื่อเน้นใจความสำคัญ ของบทความดังกล่าวเอาไว้ สายตาของหล่อนกวาดขึ้นๆลงๆคร่าวๆ ก่อนจะทยอยอ่านเรียงไปทีละบรรทัดอย่างละเอียดถ้วนถี่ เนื้อหาในหน้านั้นเขียนสรุป ครอบคลุมเกี่ยวกับฤดูกาลทั้งห้า เอาไว้ดังนี้ว่า…
ฤดูกาลมาเยือนแล้วพากันขับเคลื่อนจากไป ด้วยอำนาจของเทพีแห่งฤดูกาล เซอร์ซีลีซ ผู้ดลบันดาลให้ฤดูกาลทั้งห้าเกิดขึ้นบนโลก อันได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง
ฤดูหนาว และฤดูหมอก
ฤดูใบไม้ผลิ
ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เทพีนำพาสีสันอันหลากหลาย แห่งฤดูใบไม้ผลิมาเติมแต้มแก่ มวลดอกไม้นานาพันธุ์ ผลไม้ และพืชพรรณสีเขียวสด ล้วนเติบโต ผลิดอกออกผล งดงามที่สุดในฤดูกาลนี้ เป็นฤดูที่ผู้คนเฝ้ารอคอยด้วยความหวัง และขอพรให้คงอยู่เป็นเวลายาวนาน เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือนในแต่ละครั้ง
ฤดูร้อน
ความยาวของวันจะเริ่มหดสั้นลง เมื่อเข้าสู่กลางฤดูร้อน ในฤดูร้อน กลางวันจะยาวนานกว่ากลางคืน และร้อนอบอ้าวตลอดทั้งวัน ส่วนกลางคืนนั้นอากาศเย็นลง แต่กลามีธีสเป็นเมืองท่า ประตูเมืองเปิดรับลมทะเลฉ่ำเย็นตลอดปีอันยาวนาน อากาศไม่อบอ้าวจนเกินไปแม้ในยามกลางวัน ผู้คนจากต่างแคว้นจึงหลั่งไหล เดินทางมาเยือนนครแห่งนี้กันอย่างคับคั่ง เพื่อเที่ยวชมและทำธุกิจการค้า
ฤดูใบไม้ร่วง
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง อากาศเย็นและแห้ง ใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีแดง หรือ สีเหลืองเป็นสีส้ม ขึ้นอยู่กับพรรณไม้ ก่อนที่ใบจะร่วงจากต้น เป็นฤดูที่สวยงาม แต่พืชพรรณธัญญาหารลดน้อยลง พืชผลเก็บเกี่ยวได้ยากขึ้นในฤดูนี้
ฤดูหนาว
ในช่วงฤดูหนาว เป็นฤดูที่อากาศหนาวเย็น และมีหิมะตกหนักในบางพื้นที่ การเพาะปลูกกระทำได้ยากลำบาก เมื่อฤดูหนาวอันยาวนานมาเยือน ผู้คนจำต้องเตรียมพร้อมรับมือ ด้วยการกักตุนเสบียงอาหารให้เพียงพอ
ฤดูหมอก
เป็นฤดูที่สั้นที่สุดในฤดูกาลทั้งห้า กินระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ในช่วงฤดูหมอก ทุกอย่างพร่าพรางเป็นสีขาวขุ่นมัวราวกับน้ำนม อากาศเย็นสบายแต่อึมครึม มีหมอกปกคลุมทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่ออากาศร้อนขึ้น หมอกจะจางหายไป
หลังจากอ่านจบหน้า ฟาลเนียวางคว่ำหนังสือฤดูกาลทั้งห้าลงบนตัก สายตาของหล่อนเหลือบมอง ผู้ที่มอบหนังสือเล่มนี้ให้อย่างสงสัย เขายังคงนั่งเงียบใบหน้าเคร่งขรึม ดูเหมือนว่ากำลังใช้ความคิดอย่างมาก บางทีเขาอาจกำลังครุ่นคิดถึง ฤดูกาลทั้งห้าที่กล่าวไว้ในหนังสือ แต่หล่อนไม่อาจทราบได้มากกว่านั้น ว่าความกังวลของเขามาจากไหน
ภายในใจของธีโอดอร์ฟ สิ่งที่เขาครุ่นคิดอยู่ในขณะนี้คือ ในดินแดนแห่งฤดูร้อน และฤดูใบไม้ผลิอันยาวนานหลายชั่วอายุคน จนกระทั่งฤดูหนาวนั้นเลือนราง จนเกือบจางหายไปจากความทรงจำของผู้คน ผู้ที่อายุไม่ถึงครึ่งหนึ่งของศตวรรษ ไม่มีใครสามารถบอกเล่าเรื่องราวของฤดูหนาว ได้อย่างชัดเจนสักคนว่าแท้จริงมันเป็นเช่นไร ไม่มีใครตอบได้ว่ามันกินเวลายาวนานเพียงใด เมื่อฤดูหนาวมาเยือนครั้งหนึ่ง
ฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิ ที่เขาคุ้นเคยกับมันมาตลอดชีวิต กำลังเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าไปจากเดิมที่เคยรู้จัก ในช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา สิ่งต่างๆในดินแดนแห่งนี้ เริ่มส่งสัญญาณแปลกๆออกมาให้เห็นบ้างแล้ว
v
v
The Light of Darkness [บทที่ 22]
ใบหน้าของหญิงชรา ปรากฏรอยยิ้มอยู่เสมอ ในดวงตาคู่ดังกล่าว นางมองดูเด็กหนุ่มตรงหน้า ด้วยหัวใจอันเปี่ยมเมตตา ผ่านถุงใต้ตาห้อยย้อย รองรับกับหางตาตก ปรากฏรอยเหี่ยวย่นพอดี นับตั้งแต่วันแรกที่รับเขามาไว้ในความอุปถัมภ์ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเนิบช้าเป็นปกติว่า “นับตั้งแต่อดีต ตราบจนถึงปัจจุบัน ยังไม่เคยมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมาก่อนเลย ไม่ว่าจะด้วยคำบอกเล่า หรือบันทึกของนักปราชญ์ ผู้ถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ สืบทอดต่อมาหลายยุคหลายสมัย ก็ไม่ปรากฏบันทึกว่ามีปรากฏการณ์ ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์โคจรมาพบกัน”
“แล้วเป็นไปได้มั้ยเล่าท่านยาย ที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ จะมาพบกันในอนาคต?” เอดิออทเลิกคิ้วสบสายตากับหญิงชรา เป็นความหมายว่ารอฟังคำสาธยายความเพิ่ม
แววตาของนางกอปรด้วยเมตตาจิตไม่เปลี่ยน กล่าวตามความเชื่อของนางเองว่า “แม้ข้าไม่ใช่ผู้หยั่งรู้ดินฟ้า แต่ก็เชื่อว่าสิ่งผิดปกติเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้น ยกเว้นท้องฟ้าวิปริตวิปโยค”
“อีกไม่นานพวกเราคงได้เห็นท้องฟ้าวิปริตวิปโยคพร้อมกันหมด กระทั่งมังกรและจิ้งจอกที่อยู่กันคนละเส้นขอบโลก ยังอุตส่าห์โคจรมาพบกันได้ ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่อยู่คนละเส้นขอบฟ้า อีกไม่ช้าคงจะโคจรมาพบกันแน่ เอาจิ้งจอกเงินเป็นประกันเลย” เอดิออทพูดไปในทำนองขบขัน ไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจัง
เจ้าชายธีโอดอร์ฟวางแก้วเหล้าองุ่นอันว่างเปล่าลงตรงหน้า เขาดึงตัวเองลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่เลื่อนออก เสาไม้ทั้งสี่มุมผูกขึงไว้กับผ้าผืนใหญ่สีขาว คลี่ออกแผ่คลุม ภายใต้ซุ้มรับประทานอาหาร หนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่ บนเก้าอี้ทรงกลมไร้พนักพิงหลัง ใกล้กับมุมด้านซ้ายของโต๊ะอาหาร ที่ทุกคนกำลังนั่งรับประทานกันอยู่ เขาหยิบมันขึ้นมา พลิกอ่านไปทีละหน้า ขณะก้าวเท้ายาวๆกลับมายังโต๊ะอาหาร ทิ้งตัวกลับลงนั่งบนเก้าอี้ เปิดหน้าหนังสืออย่างค้นหา เล็บสั้นสะอาดบนนิ้วมือของเจ้าชาย พลิกกระดาษอย่างรวดเร็วไปเรื่อยๆ แล้วหยุดค้างที่หน้าหนึ่งของหนังสือ เนื้อหาในหน้ากระดาษแผ่นนั้น ตรึงสายตาของเขาให้ชะงักงัน นานพอจะหยุดถอนหายใจ ยาวๆสักสองสามครั้ง ฟาลเนียสังเกตเห็นว่า สายตาคู่ดังกล่าว กำลังมองสิ่งที่เปิดอ้าตรงหน้า ด้วยแววตาครุ่นคิดไม่สบายใจนัก เขาอ่านตัวอักษรเขียนด้วยปลายขนนก จุ่มหมึกดำเต็มหน้ากระดาษแผ่นนั้น จากบรรทัดแรกไปจนบรรทัดสุดท้าย สองนิ้วจับขอบกระดาษมุมบนพับทำสัญลักษณ์ขั้นหน้านั้น แล้วพลิกคว่ำปิดหนังสือกระแทกกันดังปับ
ฟาลเนียรับหนังสือเล่มนั้นมาอ่าน ภายหลังเอ่ยปากขอจากมือของเขา ตัวหนังสือบนหน้าปกสีเทาอมเขียว ทำจากหนังทาร์ทูเลี่ยนเล่มนั้น เขียนด้วยอักขระสีทองตัวโตงดงามว่า ความลับของฤดูกาลทั้งห้า จากนั้นก็พลิกไปยังหน้ากระดาษ ที่พับมุมบนทำเครื่องหมาย เพื่อเน้นใจความสำคัญ ของบทความดังกล่าวเอาไว้ สายตาของหล่อนกวาดขึ้นๆลงๆคร่าวๆ ก่อนจะทยอยอ่านเรียงไปทีละบรรทัดอย่างละเอียดถ้วนถี่ เนื้อหาในหน้านั้นเขียนสรุป ครอบคลุมเกี่ยวกับฤดูกาลทั้งห้า เอาไว้ดังนี้ว่า…
ฤดูกาลมาเยือนแล้วพากันขับเคลื่อนจากไป ด้วยอำนาจของเทพีแห่งฤดูกาล เซอร์ซีลีซ ผู้ดลบันดาลให้ฤดูกาลทั้งห้าเกิดขึ้นบนโลก อันได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง
ฤดูหนาว และฤดูหมอก
ฤดูใบไม้ผลิ
ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เทพีนำพาสีสันอันหลากหลาย แห่งฤดูใบไม้ผลิมาเติมแต้มแก่ มวลดอกไม้นานาพันธุ์ ผลไม้ และพืชพรรณสีเขียวสด ล้วนเติบโต ผลิดอกออกผล งดงามที่สุดในฤดูกาลนี้ เป็นฤดูที่ผู้คนเฝ้ารอคอยด้วยความหวัง และขอพรให้คงอยู่เป็นเวลายาวนาน เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือนในแต่ละครั้ง
ฤดูร้อน
ความยาวของวันจะเริ่มหดสั้นลง เมื่อเข้าสู่กลางฤดูร้อน ในฤดูร้อน กลางวันจะยาวนานกว่ากลางคืน และร้อนอบอ้าวตลอดทั้งวัน ส่วนกลางคืนนั้นอากาศเย็นลง แต่กลามีธีสเป็นเมืองท่า ประตูเมืองเปิดรับลมทะเลฉ่ำเย็นตลอดปีอันยาวนาน อากาศไม่อบอ้าวจนเกินไปแม้ในยามกลางวัน ผู้คนจากต่างแคว้นจึงหลั่งไหล เดินทางมาเยือนนครแห่งนี้กันอย่างคับคั่ง เพื่อเที่ยวชมและทำธุกิจการค้า
ฤดูใบไม้ร่วง
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง อากาศเย็นและแห้ง ใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีแดง หรือ สีเหลืองเป็นสีส้ม ขึ้นอยู่กับพรรณไม้ ก่อนที่ใบจะร่วงจากต้น เป็นฤดูที่สวยงาม แต่พืชพรรณธัญญาหารลดน้อยลง พืชผลเก็บเกี่ยวได้ยากขึ้นในฤดูนี้
ฤดูหนาว
ในช่วงฤดูหนาว เป็นฤดูที่อากาศหนาวเย็น และมีหิมะตกหนักในบางพื้นที่ การเพาะปลูกกระทำได้ยากลำบาก เมื่อฤดูหนาวอันยาวนานมาเยือน ผู้คนจำต้องเตรียมพร้อมรับมือ ด้วยการกักตุนเสบียงอาหารให้เพียงพอ
ฤดูหมอก
เป็นฤดูที่สั้นที่สุดในฤดูกาลทั้งห้า กินระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ในช่วงฤดูหมอก ทุกอย่างพร่าพรางเป็นสีขาวขุ่นมัวราวกับน้ำนม อากาศเย็นสบายแต่อึมครึม มีหมอกปกคลุมทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่ออากาศร้อนขึ้น หมอกจะจางหายไป
หลังจากอ่านจบหน้า ฟาลเนียวางคว่ำหนังสือฤดูกาลทั้งห้าลงบนตัก สายตาของหล่อนเหลือบมอง ผู้ที่มอบหนังสือเล่มนี้ให้อย่างสงสัย เขายังคงนั่งเงียบใบหน้าเคร่งขรึม ดูเหมือนว่ากำลังใช้ความคิดอย่างมาก บางทีเขาอาจกำลังครุ่นคิดถึง ฤดูกาลทั้งห้าที่กล่าวไว้ในหนังสือ แต่หล่อนไม่อาจทราบได้มากกว่านั้น ว่าความกังวลของเขามาจากไหน
ภายในใจของธีโอดอร์ฟ สิ่งที่เขาครุ่นคิดอยู่ในขณะนี้คือ ในดินแดนแห่งฤดูร้อน และฤดูใบไม้ผลิอันยาวนานหลายชั่วอายุคน จนกระทั่งฤดูหนาวนั้นเลือนราง จนเกือบจางหายไปจากความทรงจำของผู้คน ผู้ที่อายุไม่ถึงครึ่งหนึ่งของศตวรรษ ไม่มีใครสามารถบอกเล่าเรื่องราวของฤดูหนาว ได้อย่างชัดเจนสักคนว่าแท้จริงมันเป็นเช่นไร ไม่มีใครตอบได้ว่ามันกินเวลายาวนานเพียงใด เมื่อฤดูหนาวมาเยือนครั้งหนึ่ง
ฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิ ที่เขาคุ้นเคยกับมันมาตลอดชีวิต กำลังเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าไปจากเดิมที่เคยรู้จัก ในช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา สิ่งต่างๆในดินแดนแห่งนี้ เริ่มส่งสัญญาณแปลกๆออกมาให้เห็นบ้างแล้ว
v
v