ข่าวลอกมาจาก สำนักข่าวไทย
เมืองทองธานี 11 พ.ค.
- “ประสาร” ยืนยันไม่ท้อถอยในการทำหน้าที่ผู้ว่าการ ธปท. เพื่อสร้าง
ความน่าเชื่อถือให้ธนาคารกลาง แม้มีกระแสกดดันจากฝ่ายการเมือง
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ยืนยันว่า แม้มีกระแสกดดันจากฝ่ายการเมือง ก็ไม่ท้อในการทำหน้าที่
ผู้ว่าการ ธปท. รวมทั้ง ยังคงเดินหน้าทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพราะเมื่อ
เข้ามารับตำแหน่ง มีหน้าที่ที่จะต้องสร้างความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อ
ถือให้กับธนาคารกลาง เพราะคนที่มาเป็นผู้ว่าการ ธปท. มาแล้วก็ต้อง
ไป แต่ความน่าเชื่อถือขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญ
ซึ่งที่ผ่านมาการดำเนินการของ ธปท. ได้รับความเชื่อถือจากทั่วโลก
ว่ามีประสิทธิภาพ และประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ใช้นโยบายการ
เงินของไทยเป็นแบบอย่าง ดังนั้น จึงต้องเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่น
ต่อไป
สำหรับการทำงานร่วมกับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่มีภาพของความขัดแย้งกันนั้น
นายประสาร กล่าวว่า มีหลายส่วนที่มีความเข้าใจตรงกันว่า การแข็ง
ค่าของเงินบาท มาจากผลกระทบของเงินทุนไหลเข้าที่มาจากมาตร
การอัดฉีดสภาพคล่องของประเทศเศรษฐกิจหลัก และต่างชาติก็มี
ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย แต่ก็มีบางเรื่องที่ยังมีความเห็นแตกต่าง
กัน เช่น เรื่องการให้น้ำหนักกับเครื่องมือที่จะใช้ดูแลค่าเงินบาท ซึ่ง
ต้องใช้เวลาบ้าง โดยมองว่าความเห็นที่แตกต่างเกิดขึ้นได้ แต่ขอให้
ทุกฝ่ายพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุดตามอำนาจหน้าที่ของตนเอง และ
ขอให้เคารพอำนาจหน้าที่ของแต่ละฝ่ายด้วย
ส่วนการที่ ธปท. ออกแถลงการณ์ชี้แจง 9 หน้า ใน 4 ประเด็นหลัก
เมื่อวานนี้ (10 พ.ค.) เป็นการยืนยันถึงการทำงานของ ธปท. เพราะ
ไม่ต้องการให้ประชาชนเกิดความสับสนจนเข้าใจผิดว่า ปัญหาเงิน
บาทที่แข็งค่าขึ้นจะทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่ เพราะสถาน
การณ์ทางเศรษฐกิจและปัจจัยในปัจจุบันกับอดีตนั้น แตกต่างกัน
ยืนยันเงินบาทที่แข็งค่ารอบนี้ ไม่ได้ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจแต่
อย่างใด และไม่ได้คิดว่าจะเป็นการสร้างความขัดแย้งเพิ่ม เพราะ
ไม่ได้กล่าวหาใคร ธปท. พยายามทำความเข้าใจมากกว่า เพราะ
การทำหน้าที่ธนาคารกลาง ต้องได้รับความเชื่อถือจากประชาชน
ทำความเข้าใจให้ได้มากที่สุด และเป็นแถลงการณ์ตามข้อเท็จจริง
ที่มีอยู่แล้ว
ผู้ว่าการ ธปท. ยังกล่าวถึงการประชุมร่วมระหว่างกระทรวงการคลัง
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และภาคเอกชน ในวันจันทร์
ที่ 13 พฤษภาคมนี้ ว่าเป็นไปตามคำเชิญของนายกิตติรัตน์ ที่ต้อง
การให้ทุกหน่วยงานมาแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ซึ่งโดยปกติ กนง. และ
ธปท. มีการรับทราบข้อมูลด้านเศรษฐกิจอยู่แล้ว โดยขณะนี้ กนง.
กำลังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด ที่จะประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ
ไตรมาส 1 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ
สังคมแห่งชาติ (สศช.) ในวันที่ 20 พฤษภาคมนี้ เพื่อนำมาประกอบ
การตัดสินใจในการประชุม กนง. วันที่ 29 พฤษภาคม ซึ่งหากข้อมูล
ล่าสุดเศรษฐกิจไม่ร้อนแรง และเข้าสู่ภาวะปกติ ก็อาจจะมีการผ่อน
คลายอัตราดอกเบี้ยลงได้ และหวังว่าการประชุมครั้งนี้จะไม่ใช่การ
เพิ่มแรงกดดันให้ กนง. ต้องลดอัตราดอกเบี้ย เพราะตนเองเป็น
หนึ่งใน กนง. เท่านั้น ยังมี กนง. อีก 6 ท่านที่มีภาวะเป็นผู้ใหญ่
และมีความรู้ในการพิจารณา
ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวด้วยว่า แม้เงินบาทขณะนี้อ่อนค่าลงมาอยู่ที่
ประมาณ 29.50 - 29.60 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แต่ยังต้องติดตาม
อย่างใกล้ชิดต่อไป เพราะเราต้องมองการเคลื่อนไหวของค่าเงิน
บาทในอนาคตด้วย ยังไม่สามารถวางใจได้ ตราบใดที่เศรษฐกิจ
ประเทศใหญ่ยังมีปัญหาอยู่ ตลาดการเงินก็ยังมีความผันผวน ดังนั้น
จึงต้องเตรียมเครื่องมือไว้ใช้ในยามจำเป็น โดยกระทรวงการคลัง
และ ธปท. ได้เตรียมมาตรการจำกัดการไหลเข้าของเงินทุนระหว่าง
ประเทศที่ผสมผสานเครื่องมือหลายด้าน ทั้งอัตราดอกเบี้ย อัตรา
แลกเปลี่ยน และมาตรการจำกัดการเคลื่อนย้ายเงินทุน โดยเลือก
ใช้ตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม.
- สำนักข่าวไทย
เรื่องราวของบ้านเมือง ที่คนไทยควรได้อ่าน (๒)
เมืองทองธานี 11 พ.ค.
- “ประสาร” ยืนยันไม่ท้อถอยในการทำหน้าที่ผู้ว่าการ ธปท. เพื่อสร้าง
ความน่าเชื่อถือให้ธนาคารกลาง แม้มีกระแสกดดันจากฝ่ายการเมือง
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ยืนยันว่า แม้มีกระแสกดดันจากฝ่ายการเมือง ก็ไม่ท้อในการทำหน้าที่
ผู้ว่าการ ธปท. รวมทั้ง ยังคงเดินหน้าทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพราะเมื่อ
เข้ามารับตำแหน่ง มีหน้าที่ที่จะต้องสร้างความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อ
ถือให้กับธนาคารกลาง เพราะคนที่มาเป็นผู้ว่าการ ธปท. มาแล้วก็ต้อง
ไป แต่ความน่าเชื่อถือขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญ
ซึ่งที่ผ่านมาการดำเนินการของ ธปท. ได้รับความเชื่อถือจากทั่วโลก
ว่ามีประสิทธิภาพ และประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ใช้นโยบายการ
เงินของไทยเป็นแบบอย่าง ดังนั้น จึงต้องเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่น
ต่อไป
สำหรับการทำงานร่วมกับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่มีภาพของความขัดแย้งกันนั้น
นายประสาร กล่าวว่า มีหลายส่วนที่มีความเข้าใจตรงกันว่า การแข็ง
ค่าของเงินบาท มาจากผลกระทบของเงินทุนไหลเข้าที่มาจากมาตร
การอัดฉีดสภาพคล่องของประเทศเศรษฐกิจหลัก และต่างชาติก็มี
ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย แต่ก็มีบางเรื่องที่ยังมีความเห็นแตกต่าง
กัน เช่น เรื่องการให้น้ำหนักกับเครื่องมือที่จะใช้ดูแลค่าเงินบาท ซึ่ง
ต้องใช้เวลาบ้าง โดยมองว่าความเห็นที่แตกต่างเกิดขึ้นได้ แต่ขอให้
ทุกฝ่ายพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุดตามอำนาจหน้าที่ของตนเอง และ
ขอให้เคารพอำนาจหน้าที่ของแต่ละฝ่ายด้วย
ส่วนการที่ ธปท. ออกแถลงการณ์ชี้แจง 9 หน้า ใน 4 ประเด็นหลัก
เมื่อวานนี้ (10 พ.ค.) เป็นการยืนยันถึงการทำงานของ ธปท. เพราะ
ไม่ต้องการให้ประชาชนเกิดความสับสนจนเข้าใจผิดว่า ปัญหาเงิน
บาทที่แข็งค่าขึ้นจะทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่ เพราะสถาน
การณ์ทางเศรษฐกิจและปัจจัยในปัจจุบันกับอดีตนั้น แตกต่างกัน
ยืนยันเงินบาทที่แข็งค่ารอบนี้ ไม่ได้ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจแต่
อย่างใด และไม่ได้คิดว่าจะเป็นการสร้างความขัดแย้งเพิ่ม เพราะ
ไม่ได้กล่าวหาใคร ธปท. พยายามทำความเข้าใจมากกว่า เพราะ
การทำหน้าที่ธนาคารกลาง ต้องได้รับความเชื่อถือจากประชาชน
ทำความเข้าใจให้ได้มากที่สุด และเป็นแถลงการณ์ตามข้อเท็จจริง
ที่มีอยู่แล้ว
ผู้ว่าการ ธปท. ยังกล่าวถึงการประชุมร่วมระหว่างกระทรวงการคลัง
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และภาคเอกชน ในวันจันทร์
ที่ 13 พฤษภาคมนี้ ว่าเป็นไปตามคำเชิญของนายกิตติรัตน์ ที่ต้อง
การให้ทุกหน่วยงานมาแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ซึ่งโดยปกติ กนง. และ
ธปท. มีการรับทราบข้อมูลด้านเศรษฐกิจอยู่แล้ว โดยขณะนี้ กนง.
กำลังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด ที่จะประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ
ไตรมาส 1 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ
สังคมแห่งชาติ (สศช.) ในวันที่ 20 พฤษภาคมนี้ เพื่อนำมาประกอบ
การตัดสินใจในการประชุม กนง. วันที่ 29 พฤษภาคม ซึ่งหากข้อมูล
ล่าสุดเศรษฐกิจไม่ร้อนแรง และเข้าสู่ภาวะปกติ ก็อาจจะมีการผ่อน
คลายอัตราดอกเบี้ยลงได้ และหวังว่าการประชุมครั้งนี้จะไม่ใช่การ
เพิ่มแรงกดดันให้ กนง. ต้องลดอัตราดอกเบี้ย เพราะตนเองเป็น
หนึ่งใน กนง. เท่านั้น ยังมี กนง. อีก 6 ท่านที่มีภาวะเป็นผู้ใหญ่
และมีความรู้ในการพิจารณา
ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวด้วยว่า แม้เงินบาทขณะนี้อ่อนค่าลงมาอยู่ที่
ประมาณ 29.50 - 29.60 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แต่ยังต้องติดตาม
อย่างใกล้ชิดต่อไป เพราะเราต้องมองการเคลื่อนไหวของค่าเงิน
บาทในอนาคตด้วย ยังไม่สามารถวางใจได้ ตราบใดที่เศรษฐกิจ
ประเทศใหญ่ยังมีปัญหาอยู่ ตลาดการเงินก็ยังมีความผันผวน ดังนั้น
จึงต้องเตรียมเครื่องมือไว้ใช้ในยามจำเป็น โดยกระทรวงการคลัง
และ ธปท. ได้เตรียมมาตรการจำกัดการไหลเข้าของเงินทุนระหว่าง
ประเทศที่ผสมผสานเครื่องมือหลายด้าน ทั้งอัตราดอกเบี้ย อัตรา
แลกเปลี่ยน และมาตรการจำกัดการเคลื่อนย้ายเงินทุน โดยเลือก
ใช้ตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม.
- สำนักข่าวไทย