ในชีวิตผมได้เห็นการ "ปลุกผี" มาแล้วถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกคือ "ผีคอมมิวนิสต์" ที่รัฐบาลทหารยุคจอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม (ประมาณ พ.ศ.2500-2516) ปลุกขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมในการครองอำนาจ
ผีคอมมิวนิสต์นั้นน่ากลัวทีเดียวครับ มีทั้งจับคนไปไถนาแทนควาย ลูกยืนด่าบุพการีเสียๆ หายๆ ทำให้คนไทยยุคนั้นทั้งเกลียดทั้งกลัวคอมมิวนิสต์เป็นที่สุด ผมเชื่อว่าแม้ในวันนี้ก็อาจยังมีบางผู้คนรู้สึกแหยงในผีตัวนี้อยู่ ประเทศคอมมิวนิสต์ที่รัฐบาลเผด็จการของไทยยุคนั้นชูขึ้นเป็นเป้าโจมตีก็มี "จีน" "เวียดนาม" และ "โซเวียตรัสเซีย" ฯลฯ
กระทั่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ.2518 ได้เดินทางไปเปิดสัมพันธไมตรีกับประเทศจีน และต่อมาพระบรมวงศานุวงศ์ของไทยหลายพระองค์ก็ได้เสด็จเยือนแผ่นดินจีนอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ภาพลักษณ์ของประเทศจีนในสายตาคนไทยจึงได้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่แทบจะไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าประเทศจีนนั้น ครั้งหนึ่งเคยเป็นอสูรร้ายที่ถูก "วาดภาพ" ให้น่าเกลียดน่ากลัวชนิดที่คิดแล้วต้องขนหัวลุกกันเลยทีเดียว แล้วรัฐบาลทหารยุคนั้นก็ใช้เป็นข้ออ้างในการครองอำนาจปกครองประเทศ เพื่อจะได้ช่วยกันปกป้องแผ่นดินสยามให้อยู่รอดปลอดภัยจากอสูรตนดังกล่าว... นานหลายปีกว่าคนไทยจะเริ่มเอะใจ เริ่มจากขบวนการนิสิต นักศึกษา และขยายผลสู่สังคมนอกร่มรั้วมหาวิทยาลัย จนนำไปสู่การขับไล่รัฐบาลของจอมพลถนอม และจอมพลประภาส เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 จำได้ว่าในระหว่างการปราบปรามนักศึกษา ยังมีเหตุอ้างว่านักศึกษาที่ร่วมชุมนุมขับไล่รัฐบาลในขณะนั้นผู้หนึ่งเป็น "แกว" อันหมายถึง "ญวนคอมมิวนิสต์" แล้วฝูงชนฝ่ายที่ถูกปลุกระดมให้เกลียดและกลัวผีคอมมิวนิสต์ก็เข้ากลุ้มรุมจับนักศึกษาผู้นั้นแขวนคอที่ต้นมะขามสนามหลวง... การกระทำทารุณกรรมต่อจากนั้นขออนุญาตไม่อธิบายครับ...!
"ผีตัวที่สอง" ที่ถูกปลุกขึ้นมาใหม่ในสังคมไทยคือ "ผีทักษิณ" ตรรกะแนวคิดเป็นเช่นเดียวกับผีตัวแรกทุกประการ คือการทำให้ผู้คนกลัวผีตัวนี้ ถ้าใครหลงกลก็ย่อมพร้อมที่จะให้ฝ่ายปลุกผีได้ครองอำนาจ เพื่อจะได้ปกป้องแผ่นดินสยามให้อยู่รอดปลอดภัย...จากอสูรร้ายตัวใหม่
ผลพวงจากการปลุกผีรอบนี้ได้ผลมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการที่คนกลัวผีออกมาเรียกร้องให้ทหารทำปฏิวัติยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาโดยระบอบประชาธิปไตย ปฏิวัติครั้งนี้ทำเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 คนไทยที่กลัวผีจำนวนมากได้นำพวงมาลัยดอกไม้ไปมอบให้กับกองกำลังที่มายึดอำนาจของพวกเขาเองอย่างน่ามหัศจรรย์ยิ่ง หลายคนถึงกับอุ้มลูกจูงหลานออกไปถ่ายรูปกับรถถังเพื่อเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก...!
การปลุกผีรอบใหม่ กระแสอาจไม่เทไปทางเดียวเหมือนกับ "ผีคอมมิวนิสต์" เมื่อ 30 ปีก่อน ค่าที่มีผู้ "ไม่หลงกล" อยู่จำนวนมาก แต่ก็ต้องยอมรับว่าได้ผลในระดับหนึ่ง การให้ได้มาซึ่งอำนาจ ไม่อาจทำ "โดยพลการ" เฉกเช่นในอดีต จึงต้องกระมิดกระเมี้ยนตามสมควร เช่นการอาศัย "ตัวช่วย" อาทิ เหล่าองค์กรอิสระสารพัดสารพัน รัฐธรรมนูญที่แก้ไขเตรียมไว้เมื่อตอนยึดอำนาจ โดยมีประชาชนผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และพรรคการเมืองที่มีจุดยืนอิงแอบเผด็จการอีก 1 พรรคเป็นแนวร่วม
การปลุกผีทักษิณทำให้ผู้ที่ถูกปลุก ซึ่งก็คงกลัวทักษิณมากเหมือนที่ผมเคยกลัวผีคอมมิวนิสต์ในอดีต ต่างออกมาต่อต้านผีตัวใหม่อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู มิพักว่าสิ่งที่ต่อต้านนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อชาติประเทศเพียงใดก็ตาม อาทิเช่น
- ไม่เห็นด้วยกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ทั้งที่เป็น "การลงทุน" เพื่อสร้างสมรรถนะ (National Competencies) ในการเชื่อมโยงประเทศเข้ากับแผนพัฒนาของภูมิภาคทั้ง จีน อินเดีย สิงคโปร์ มาเลเซีย และประเทศในเขตคามแห่งอุษาคเนย์ทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่าเกรงการคอร์รัปชั่น พรรคประชาธิปัตย์ถึงกับประกาศว่าจะค้านให้ถึงที่สุด อย่างไรเสียประเทศไทยก็จะมีโครงการแบบนี้ไม่ได้เป็นอันขาด ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเรื่องขององุ่นเปรี้ยวหรืออย่างไร (บทบาทของฝ่ายค้านที่ควรจะเป็นคือ อะไรดีก็ควรสนับสนุน แล้วเน้นตรวจสอบการคอร์รัปชั่น ไม่ใช่ค้านตะบัน)
- คัดค้านการเจรจาแก้ปัญหาไฟใต้ ทั้งที่เป็นหนามตำเท้าประเทศไทยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่น่าเชื่อว่าความกลัว "ผีทักษิณ" ทำให้มีคนไทยจำนวนไม่น้อยคัดค้านเรื่องนี้ ตั้งแต่การกล่าวหาว่าไปเจรจาผิดกลุ่ม เจรจาแล้วยิ่งทำให้เหตุการณ์รุนแรงขึ้น ทักษิณมีผลประโยชน์แอบแฝงทับซ้อน (ซึ่งคิดจนหัวแทบแตกก็ไม่รู้ว่าทักษิณจะได้อะไร) ฯลฯ สรุปคือการกลัวผีทักษิณทำให้พวกเขายอมแม้กระทั่งการให้ไฟใต้คงอยู่ต่อไป !
- ความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ต้องยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณนั้นนิยมใช้ยุทธศาสตร์ "ความร่วมมือ-Cooperative Strategy" ในการบริหารงานเป็นสำคัญ หลักฐานก็คือการเป็นผู้ริเริ่มและมีส่วนร่วมในการริเริ่ม "ขบวนการร่วมมือ" ต่างๆ ทั้งในกลุ่มอุษาคเนย์-the "Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy" or "ACMECS" หรือแม้กระทั่งในแถบเอเชียใต้ (บังกลาเทศ, อินเดีย, พม่า, ไทย) แนวทางเช่นนี้กลับถูกนำไป "ปลุกผี" ว่าเป็นการหาผลประโยชน์ทับซ้อน จนทำให้ผู้ที่กลัวผีทักษิณยอมแม้กระทั่งจะเป็นศัตรูกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังกรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งไทยเราจะได้ประโยชน์เป็นอันมาก หากได้ร่วมบริหารพื้นที่โดยรอบตัวปราสาทซึ่งมีคุณค่าในระดับมรดกโลกนี้ แต่ผลประโยชน์โดยรวมของคนไทยทุกคนก็ต้องมาหลุดลอยไปเพราะความกลัวผีทักษิณนี่ ยังไม่นับเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ที่คนไทยเสียประโยชน์เพราะการปลุกผีดังกล่าวนี้ ต้องไม่ลืมว่าคนได้ประโยชน์มีอยู่แน่นอนคือพรรคการเมืองฝั่งตรงข้าม ซึ่งหากเลือกตั้งตามปกติ ไม่มีวันที่จะชนะได้อำนาจแต่อย่างใด วิธีเดียวที่จะได้มาก็คือการปลุกผีรอบใหม่นี้ ส่วนประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อก็ได้กลายเป็นแนวร่วมของพรรคนี้ไปโดยไม่รู้ตัว
ลัทธิการปลุกผียังคงได้ผลอยู่เสมอ จนกว่าประชาชนจะเริ่มเอะใจ เหมือนที่คนไทยส่วนใหญ่ "เริ่มรู้ทัน" การปลุกผีคอมมิวนิสต์เมื่อ 30 ปีก่อน การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ครั้งที่ผ่านมาเป็นอีกหลักฐานหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่าผีตัวที่สองนี้ยังปลุกขึ้นอยู่ พรรคที่หาเสียงด้วยความสุภาพ เสนอแต่แนวนโยบาย ถูกกล่าวหาว่าหาเสียงเกินอำนาจ ขณะที่พรรคปลุกผี ชูประเด็นเรื่อง "เผาบ้านเผาเมือง" กลับได้รับการตอบรับจากคนในเมืองหลวงอันได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มคนที่มีการศึกษาสูงสุด
การปลุกผีทักษิณจะดำเนินอยู่ต่อไป ตราบใดที่การกระทำเช่นนี้ยังคงเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายผู้ปลุกอย่างเป็นนัยสำคัญ ที่น่าแปลกคือการกลัวผีทักษิณไม่ได้จำกัดที่อาชีพ ความรู้ หรือตัวแปรทางประชากรศาสตร์ (Demographic Variable) ใดๆ เลย เพื่อนผมเรียนจบดอกเตอร์เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมืองก็ยังกลัวผีตัวนี้อยู่เป็นอันมาก นาทีนี้หลายคนยังพากันโพสต์ข้อความทวง ปตท.คืนอยู่ทุกวัน ทั้งที่ ปตท.ก็เป็นองค์กรอันมีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ และสร้างมูลค่าเพิ่มจากยุคที่เป็นรัฐวิสาหกิจมากมาย
ทักษิณจะดีเลวอย่างไร ไม่เกี่ยวกับบทความนี้ แต่ "ผีทักษิณ" ที่ถูกปลุกขึ้นในสังคมไทย เป็นเรื่องที่พวกเราควรตั้งสติพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า "ข้ออ้าง" ดังกล่าว ใครได้ประโยชน์ ชาติประเทศ หรือพรรคการเมืองที่ไม่อาจชนะได้ด้วยกระบวนการทางประชาธิปไตยตามปกติ
ลัทธิ ปลุกผี คัดมาให้อ่าน
ผีคอมมิวนิสต์นั้นน่ากลัวทีเดียวครับ มีทั้งจับคนไปไถนาแทนควาย ลูกยืนด่าบุพการีเสียๆ หายๆ ทำให้คนไทยยุคนั้นทั้งเกลียดทั้งกลัวคอมมิวนิสต์เป็นที่สุด ผมเชื่อว่าแม้ในวันนี้ก็อาจยังมีบางผู้คนรู้สึกแหยงในผีตัวนี้อยู่ ประเทศคอมมิวนิสต์ที่รัฐบาลเผด็จการของไทยยุคนั้นชูขึ้นเป็นเป้าโจมตีก็มี "จีน" "เวียดนาม" และ "โซเวียตรัสเซีย" ฯลฯ
กระทั่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ.2518 ได้เดินทางไปเปิดสัมพันธไมตรีกับประเทศจีน และต่อมาพระบรมวงศานุวงศ์ของไทยหลายพระองค์ก็ได้เสด็จเยือนแผ่นดินจีนอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ภาพลักษณ์ของประเทศจีนในสายตาคนไทยจึงได้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่แทบจะไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าประเทศจีนนั้น ครั้งหนึ่งเคยเป็นอสูรร้ายที่ถูก "วาดภาพ" ให้น่าเกลียดน่ากลัวชนิดที่คิดแล้วต้องขนหัวลุกกันเลยทีเดียว แล้วรัฐบาลทหารยุคนั้นก็ใช้เป็นข้ออ้างในการครองอำนาจปกครองประเทศ เพื่อจะได้ช่วยกันปกป้องแผ่นดินสยามให้อยู่รอดปลอดภัยจากอสูรตนดังกล่าว... นานหลายปีกว่าคนไทยจะเริ่มเอะใจ เริ่มจากขบวนการนิสิต นักศึกษา และขยายผลสู่สังคมนอกร่มรั้วมหาวิทยาลัย จนนำไปสู่การขับไล่รัฐบาลของจอมพลถนอม และจอมพลประภาส เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 จำได้ว่าในระหว่างการปราบปรามนักศึกษา ยังมีเหตุอ้างว่านักศึกษาที่ร่วมชุมนุมขับไล่รัฐบาลในขณะนั้นผู้หนึ่งเป็น "แกว" อันหมายถึง "ญวนคอมมิวนิสต์" แล้วฝูงชนฝ่ายที่ถูกปลุกระดมให้เกลียดและกลัวผีคอมมิวนิสต์ก็เข้ากลุ้มรุมจับนักศึกษาผู้นั้นแขวนคอที่ต้นมะขามสนามหลวง... การกระทำทารุณกรรมต่อจากนั้นขออนุญาตไม่อธิบายครับ...!
"ผีตัวที่สอง" ที่ถูกปลุกขึ้นมาใหม่ในสังคมไทยคือ "ผีทักษิณ" ตรรกะแนวคิดเป็นเช่นเดียวกับผีตัวแรกทุกประการ คือการทำให้ผู้คนกลัวผีตัวนี้ ถ้าใครหลงกลก็ย่อมพร้อมที่จะให้ฝ่ายปลุกผีได้ครองอำนาจ เพื่อจะได้ปกป้องแผ่นดินสยามให้อยู่รอดปลอดภัย...จากอสูรร้ายตัวใหม่
ผลพวงจากการปลุกผีรอบนี้ได้ผลมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการที่คนกลัวผีออกมาเรียกร้องให้ทหารทำปฏิวัติยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาโดยระบอบประชาธิปไตย ปฏิวัติครั้งนี้ทำเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 คนไทยที่กลัวผีจำนวนมากได้นำพวงมาลัยดอกไม้ไปมอบให้กับกองกำลังที่มายึดอำนาจของพวกเขาเองอย่างน่ามหัศจรรย์ยิ่ง หลายคนถึงกับอุ้มลูกจูงหลานออกไปถ่ายรูปกับรถถังเพื่อเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก...!
การปลุกผีรอบใหม่ กระแสอาจไม่เทไปทางเดียวเหมือนกับ "ผีคอมมิวนิสต์" เมื่อ 30 ปีก่อน ค่าที่มีผู้ "ไม่หลงกล" อยู่จำนวนมาก แต่ก็ต้องยอมรับว่าได้ผลในระดับหนึ่ง การให้ได้มาซึ่งอำนาจ ไม่อาจทำ "โดยพลการ" เฉกเช่นในอดีต จึงต้องกระมิดกระเมี้ยนตามสมควร เช่นการอาศัย "ตัวช่วย" อาทิ เหล่าองค์กรอิสระสารพัดสารพัน รัฐธรรมนูญที่แก้ไขเตรียมไว้เมื่อตอนยึดอำนาจ โดยมีประชาชนผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และพรรคการเมืองที่มีจุดยืนอิงแอบเผด็จการอีก 1 พรรคเป็นแนวร่วม
การปลุกผีทักษิณทำให้ผู้ที่ถูกปลุก ซึ่งก็คงกลัวทักษิณมากเหมือนที่ผมเคยกลัวผีคอมมิวนิสต์ในอดีต ต่างออกมาต่อต้านผีตัวใหม่อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู มิพักว่าสิ่งที่ต่อต้านนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อชาติประเทศเพียงใดก็ตาม อาทิเช่น
- ไม่เห็นด้วยกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ทั้งที่เป็น "การลงทุน" เพื่อสร้างสมรรถนะ (National Competencies) ในการเชื่อมโยงประเทศเข้ากับแผนพัฒนาของภูมิภาคทั้ง จีน อินเดีย สิงคโปร์ มาเลเซีย และประเทศในเขตคามแห่งอุษาคเนย์ทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่าเกรงการคอร์รัปชั่น พรรคประชาธิปัตย์ถึงกับประกาศว่าจะค้านให้ถึงที่สุด อย่างไรเสียประเทศไทยก็จะมีโครงการแบบนี้ไม่ได้เป็นอันขาด ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเรื่องขององุ่นเปรี้ยวหรืออย่างไร (บทบาทของฝ่ายค้านที่ควรจะเป็นคือ อะไรดีก็ควรสนับสนุน แล้วเน้นตรวจสอบการคอร์รัปชั่น ไม่ใช่ค้านตะบัน)
- คัดค้านการเจรจาแก้ปัญหาไฟใต้ ทั้งที่เป็นหนามตำเท้าประเทศไทยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่น่าเชื่อว่าความกลัว "ผีทักษิณ" ทำให้มีคนไทยจำนวนไม่น้อยคัดค้านเรื่องนี้ ตั้งแต่การกล่าวหาว่าไปเจรจาผิดกลุ่ม เจรจาแล้วยิ่งทำให้เหตุการณ์รุนแรงขึ้น ทักษิณมีผลประโยชน์แอบแฝงทับซ้อน (ซึ่งคิดจนหัวแทบแตกก็ไม่รู้ว่าทักษิณจะได้อะไร) ฯลฯ สรุปคือการกลัวผีทักษิณทำให้พวกเขายอมแม้กระทั่งการให้ไฟใต้คงอยู่ต่อไป !
- ความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ต้องยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณนั้นนิยมใช้ยุทธศาสตร์ "ความร่วมมือ-Cooperative Strategy" ในการบริหารงานเป็นสำคัญ หลักฐานก็คือการเป็นผู้ริเริ่มและมีส่วนร่วมในการริเริ่ม "ขบวนการร่วมมือ" ต่างๆ ทั้งในกลุ่มอุษาคเนย์-the "Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy" or "ACMECS" หรือแม้กระทั่งในแถบเอเชียใต้ (บังกลาเทศ, อินเดีย, พม่า, ไทย) แนวทางเช่นนี้กลับถูกนำไป "ปลุกผี" ว่าเป็นการหาผลประโยชน์ทับซ้อน จนทำให้ผู้ที่กลัวผีทักษิณยอมแม้กระทั่งจะเป็นศัตรูกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังกรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งไทยเราจะได้ประโยชน์เป็นอันมาก หากได้ร่วมบริหารพื้นที่โดยรอบตัวปราสาทซึ่งมีคุณค่าในระดับมรดกโลกนี้ แต่ผลประโยชน์โดยรวมของคนไทยทุกคนก็ต้องมาหลุดลอยไปเพราะความกลัวผีทักษิณนี่ ยังไม่นับเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ที่คนไทยเสียประโยชน์เพราะการปลุกผีดังกล่าวนี้ ต้องไม่ลืมว่าคนได้ประโยชน์มีอยู่แน่นอนคือพรรคการเมืองฝั่งตรงข้าม ซึ่งหากเลือกตั้งตามปกติ ไม่มีวันที่จะชนะได้อำนาจแต่อย่างใด วิธีเดียวที่จะได้มาก็คือการปลุกผีรอบใหม่นี้ ส่วนประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อก็ได้กลายเป็นแนวร่วมของพรรคนี้ไปโดยไม่รู้ตัว
ลัทธิการปลุกผียังคงได้ผลอยู่เสมอ จนกว่าประชาชนจะเริ่มเอะใจ เหมือนที่คนไทยส่วนใหญ่ "เริ่มรู้ทัน" การปลุกผีคอมมิวนิสต์เมื่อ 30 ปีก่อน การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ครั้งที่ผ่านมาเป็นอีกหลักฐานหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่าผีตัวที่สองนี้ยังปลุกขึ้นอยู่ พรรคที่หาเสียงด้วยความสุภาพ เสนอแต่แนวนโยบาย ถูกกล่าวหาว่าหาเสียงเกินอำนาจ ขณะที่พรรคปลุกผี ชูประเด็นเรื่อง "เผาบ้านเผาเมือง" กลับได้รับการตอบรับจากคนในเมืองหลวงอันได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มคนที่มีการศึกษาสูงสุด
การปลุกผีทักษิณจะดำเนินอยู่ต่อไป ตราบใดที่การกระทำเช่นนี้ยังคงเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายผู้ปลุกอย่างเป็นนัยสำคัญ ที่น่าแปลกคือการกลัวผีทักษิณไม่ได้จำกัดที่อาชีพ ความรู้ หรือตัวแปรทางประชากรศาสตร์ (Demographic Variable) ใดๆ เลย เพื่อนผมเรียนจบดอกเตอร์เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมืองก็ยังกลัวผีตัวนี้อยู่เป็นอันมาก นาทีนี้หลายคนยังพากันโพสต์ข้อความทวง ปตท.คืนอยู่ทุกวัน ทั้งที่ ปตท.ก็เป็นองค์กรอันมีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ และสร้างมูลค่าเพิ่มจากยุคที่เป็นรัฐวิสาหกิจมากมาย
ทักษิณจะดีเลวอย่างไร ไม่เกี่ยวกับบทความนี้ แต่ "ผีทักษิณ" ที่ถูกปลุกขึ้นในสังคมไทย เป็นเรื่องที่พวกเราควรตั้งสติพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า "ข้ออ้าง" ดังกล่าว ใครได้ประโยชน์ ชาติประเทศ หรือพรรคการเมืองที่ไม่อาจชนะได้ด้วยกระบวนการทางประชาธิปไตยตามปกติ