ผมเชื่อว่าปฏิบัติการรีไทร์ของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่รอบชิงUCLเมื่อปี2011

ที่ผมจั่วหัวแบบนั้นเพราะผมเชื่อว่าถ้าแมนยูชนะ เซอร์คงจะมีกำลังใจที่จะสานฝันในการเป็นแชมป์UCLให้ครบ5สมัย แม้ว่ามันจะลำบากเพียงใด

แต่ผลที่ออกมาคือแมนยูแพ้ แบบที่สู้ไม่ได้เลย อาการมือสั่นที่เกิดขึ้นในขณะนั้นเป็นสิ่งที่อาจบอกได้เป็นอย่างดีว่าถึงจะพยายามคิดแทคติคมาต่อสู้ขนาดไหนก็สู้ไม่ได้เพราะตัวผู้เล่นมีอยู่แค่นี้แล้วจริงๆ

...แมนยูในยุคของเขาคงไม่มีโอกาสชนะทีมจากต่างดาวนั่นได้อีกแล้ว...

ปฏิบัติการรีไทร์ของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันจึงเริ่มนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

เซอร์เริ่มปฏิบัติการรีไทร์ตัวเอง โดยการมองหาวิถีทางของทีมชุดใหม่ คือการค้นหาผู้เล่นดาวรุ่ง ผู้เล่นที่มีผลงานโดดเด่นขึ้นมาเมื่อเทียบกับดาวรุ่งในรุ่นราวคราวเดียวกัน นักเตะดาวรุ่งที่จะเป็นแกนหลักในระยะยาวของทีม

ดาวิด เดเคอา ฟิลโจนส์ คือคำตอบในโจทย์ข้อนี้ เช่นเดียวกับคริส สมอลลิ่ง และชิชาริโต้ที่มาร่วมทีมก่อนหน้านี้และก็เช่นเดียวกับการเรียกทอม เคลฟเวอร์ลีย์กับแดนนี่ เวลเบคกลับมาจากการยืมตัว

และในฤดูกาล2011-2012 แมนยูก็เริ่มส่งสัญญาณบางอย่างในการเปลี่ยนแปลงแล้ว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือการเปิดเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แสตนด์ ความภาคถูมิใจที่สโมรสรมอบให้แก่เซอร์

ผมเชื่อว่าถ้าแมนยูได้แชมป์ฤดูกาลนั้น เซอร์ก็คงวางมือแล้วเพราะได้วางรากฐานที่สำคัญไว้มากทีเดียว แต่แล้วแมนซิตี้ก็ได้แชมป์
ไป เซอร์จึงมองว่าในฤดูกาล2012-2013 เขาต้องหานักเตะที่เป็นกุญแจความสำเร็จของทีมให้ได้ ซึ่งคนๆนั้นก็คือโรบิน ฟาน เพอร์ซี่นั่นเอง

แต่ทั้งนี้ ก็ยังไม่ทิ้งแนวคิดในการค้นหาดาวรุ่งต่อไป ชินจิ คากาวะกับนิค พาวด์คือดาวรุ่งอีก 2 รายที่เข้ามาในทีม
และโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ก็เป็นนักเตะที่นำความสำเร็จมาสู่ฤดูกาลนี้จริงๆด้วยผลงานการยิงประตูที่มากมายและทำได้ในช่วงเวลาที่สำคัญ

ช่วงเวลานั้นเองแมนยูก็ได้ส่งสัญญาณที่สองที่เป็นประเด็นชวนคิดอีกครั้ง คือการเปิดตัวอนุสาวรีย์รูปจำลองเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

.....และฤดูกาลนี้ แชมป์สมัยที่ 20ก็มาถึง......

ซึ่งเซอร์อเล็กซ์ ได้พิจารณาแล้วว่าทีมของเขาอยู่ในจุดที่แข็งแกร่งต่อการป้องกันแชมป์และมีศักยภาพในการลุ้นความสำเร็จในระยะยาว

สิ่งสุดท้ายในแผนการของเขาคือการหาตัวแทนของเขา

ตัวแทน ที่มีความกระหายในการคว้าชัยชนะ
ตัวแทน ที่เมื่อเซอร์มองเขา เซอร์จะมองเห็นตัวเขาเองในวัยที่หนุ่มกว่า
ตัวแทนที่สัญญาว่าจะมอบกายถวายใจ ซื่อสัตย์กับทีม
ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมทิ้งทีม ในยามทีมตกต่ำเหมือนที่เขาเคยเผชิญในช่วง 4-5 ปีแรกที่เขาทำงาน

คนๆนั้น ผมก็มองไม่เห็นคนอื่นนอกจาก เดวิด มอยส์

ในฤดูกาล2013-2014 ที่จะมาถึง
ผมเชื่อว่าแฟนแมนยูบางคนอาจหวั่นกลัว เมื่อไม่มีเซอร์คุมทีมข้างสนาม
แต่เชื่อเถอะ เชอร์ไม่ได้หายไปไหน เขายังมีส่วนในการพัฒนาทีมต่อไปในฐานะผู้อำนวยการสโมสร
โดยมีตัวแทนที่เขาวางใจมาคุมทีมและมีผู้เล่นที่มีความประสบการณ์ในการคว้าแชมป์มาแล้ว ลงเล่นเป็น 11 ตัวจริงเหมือนเดิม
อีกทั้งผู้เล่นหน้าใหม่กับพวกดาวรุ่งก็รู้วิธีการในการคว้าหาความสำเร็จ เพราะพวกเขาได้มันมาแล้วในฤดูกาลนี้

แล้วมาดูกันว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในยุคใหม่(ภายใต้การดูแลของเซอร์เหมือนเดิม) จะเป็นอย่างไร!!!


....ขอบคุณครับที่อ่านบทความผมจนถึงตรงนี้....^^
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่