ผมเห็นหลายคนเวลากล่าวถึงเรื่องสวรรค์นรก ทำนองว่าไม่มีจริงบ้าง เป็นสภาวะจิตบ้าง
พอมีคนยกพระไตรปิฏกมาแย้งว่าพระพุทธเจ้าท่านกล่าวถึงเทวดาพรหมแบบเนื้อหนังเลย
ก็มักอ้างข้อความจากพระสูตรนี้ทำนองว่า ไอ้ที่ท่านบอกในพระสูตรน่ะเป็นเพราะว่า
พระศาสดาไม่วิวาทะกับโลกแต่โลกวิวาทะกับพระศาสดาบ้าง
แม้โลกกล่าวว่ามีตถาคตก็กล่าวว่ามี แม้โลกกล่าวว่าไม่มีตถาคตก็กล่าวว่าไม่มีบ้าง
พูดง่ายๆ ทำนองพระพุทธเจ้าเอออวยสวมรอยไปกับความเชื่อผิดๆนั่นเอง
แต่ไม่เคยมีใครยกมาเลยว่าที่มีและไม่มีคืออะไร
แล้วอะไรที่ไม่มีอยู่จริงตถาคตกล่าวว่ามี เป็นไปได้หรือไม่
เมื่อดูพระสูตรด้านล่าง
จะเห็นว่าสิ่งที่โลกบอกไม่มี พระพุทธเจ้าบอกไม่มี คือ 1-1A,2-2A ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น
คือโลกบอกว่าขันธ5เที่ยงไม่มี พระพุทธเจ้าก็บอกไม่มี
สิ่งที่โลกบอกมี พระพุทธเจ้าบอกมี คือ 3-3A,4-4A ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น
คือโลกบอกว่าขันธ์5ไม่เที่ยง มี พระพุทธเจ้าก็บอกว่ามี
เพราะทั้งหมดเป็นความจริงทั้งสิ้น
พระพุทธเจ้ากล่าวตั้งแต่ในพระวินัยบทแรกว่าตถาคตเว้นจากกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
ถ้าสิ่งนั้นไม่มี ถ้าพระพุทธเจ้ารู้ว่าไม่มีแต่ก็บอก มี คือพระพุทธเจ้าโกหก เป็นวจีทุจริต!!
ถ้าสิ่งนั้นมี ถ้าพระพุทธเจ้ารู้ว่ามีแต่บอกไม่มี พระพุทธเจ้าก็โกหก เป็นวจีทุจริต!!
พระพุทธเจ้าไม่มีวันโกหกครับ ท่านบอกว่ามี เฉพาะสิ่งที่มี และบอกไม่มี เฉพาะสิ่งที่ไม่มี
ใครคิดว่าพระพุทธเจ้าบอกว่าเทวดาพรหมสวรรค์นรกมี เพราะตถาคตไม่มีวิวาทกับโลก
แม้สิ่งนั้นจะไม่มีจริงขอให้คิดใหม่นะครับ
และถ้าท่านคิดว่าพระพุทธเจ้ายอมโกหกเพื่อประโยชน์บางประการบ้าง เพื่อความง่ายต่อการเผยแพร่บ้าง บลาๆๆ
ท่านเลิกนับถือศาสนานี้เถอะครับ
เพราะลงว่าศาสดาบอกว่าไม่โกหก แต่โกหก
ศาสดาแบบนี้พาท่านพ้นทุกข์ไม่ได้หรอกครับ
แต่ถ้าท่านเชื่อว่าพระพุทธเจ้าไม่มีวันโกหก
ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีบุญเกิดเป็นพุทธศาสนิกชนร่วมกับท่านในชาตินี้ครับ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
๒. ปุปผสูตร
ว่าด้วยพระพุทธองค์ไม่ขัดแย้งกับโลก
[๒๓๙] พระนครสาวัตถี ฯลฯ สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย
มาแล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
A เราย่อมไม่ขัดแย้งกับโลก. แต่โลกย่อมขัดแย้งกับเรา. ผู้กล่าวเป็นธรรมย่อมไม่ขัดแย้งกับใครๆ ในโลก
B สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกสมมติว่า ไม่มี แม้เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่า ไม่มี.
C สิ่งใดที่บัณฑิตในโลก สมมติว่า มี แม้เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่า มี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่บัณฑิตในโลกสมมติว่า ไม่มี ซึ่งเราก็กล่าวว่าไม่มีนั้น คืออะไร?
1 คือ รูปที่เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา บัณฑิตในโลกสมมติว่า ไม่มี
1A แม้เราก็กล่าวรูปนั้นว่า ไม่มี.
2เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา โลกสมมติว่า ไม่มี
2Aแม้เราก็กล่าววิญญาณนั้นว่า ไม่มี.
ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้แหละที่เป็นบัณฑิตในโลกสมมติว่า ไม่มี ซึ่งเราก็กล่าวว่า ไม่มี.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่บัณฑิตในโลกสมมติว่า มี ซึ่งเราก็กล่าวว่ามีนั้น คืออะไร.
3ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ที่บัณฑิตในโลกสมมติว่า มี
3A แม้เราก็กล่าวรูปนั้นว่า มี.
4เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ที่บัณฑิตในโลกสมมุติว่า มี
4Aแม้เราก็กล่าววิญญาณนั้นว่า มี.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แหละที่บัณฑิตใน โลกสมมุติว่า มี ซึ่งเราก็กล่าวว่า มี.
[๒๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โลกธรรมมีอยู่ในโลก พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทราบชัด
โลกธรรมนั้น ครั้นแล้วย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น.
ก็โลกธรรมในโลก พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทราบชัดโลกธรรม ครั้นแล้ว ย่อมบอก แสดง
บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้นนั้น คืออะไร? ดูกรภิกษุทั้งหลาย คือ รูป
เป็นโลกธรรมในโลก พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทราบชัดโลกธรรมนั้น ฯลฯ กระทำให้ตื้น. ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลใด เมื่อพระตถาคตบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก
กระทำให้ตื้นอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่รู้ ไม่เห็น เราจะกระทำอะไรได้กะบุคคลนั้น ผู้เป็นปุถุชนคนพาล
บอด ไม่มีจักษุ ไม่รู้ ไม่เห็น. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นโลกธรรมในโลก
พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทราบชัดโลกธรรมนั้น ครั้นแล้ว ย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง
เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น. บุคคลใด เมื่อพระตถาคตบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง
เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้นอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่รู้ ไม่เห็น เราจะกระทำอะไรได้กะบุคคลนั้น
ผู้เป็นปุถุชนคนพาล บอด ไม่มีจักษุ ไม่รู้ ไม่เห็น.
[๒๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบลก็ดี ปทุมก็ดี บุณฑริกก็ดี เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้ว
ในน้ำ ขึ้นพ้นจากน้ำตั้งอยู่ แต่น้ำไม่ติด แม้ฉันใด. พระตถาคตเกิดแล้วในโลก เจริญแล้วใน
โลก ย่อมครอบงำโลกอยู่ แต่โลกฉาบทาไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกันแล.
แม้โลกกล่าวว่ามีตถาคตก็กล่าวว่ามี แม้โลกกล่าวว่าไม่มีตถาคตก็กล่าวว่าไม่มี พระพุทธเจ้าไม่เคยโกหกเอออวยสวมรอย
พอมีคนยกพระไตรปิฏกมาแย้งว่าพระพุทธเจ้าท่านกล่าวถึงเทวดาพรหมแบบเนื้อหนังเลย
ก็มักอ้างข้อความจากพระสูตรนี้ทำนองว่า ไอ้ที่ท่านบอกในพระสูตรน่ะเป็นเพราะว่า
พระศาสดาไม่วิวาทะกับโลกแต่โลกวิวาทะกับพระศาสดาบ้าง
แม้โลกกล่าวว่ามีตถาคตก็กล่าวว่ามี แม้โลกกล่าวว่าไม่มีตถาคตก็กล่าวว่าไม่มีบ้าง
พูดง่ายๆ ทำนองพระพุทธเจ้าเอออวยสวมรอยไปกับความเชื่อผิดๆนั่นเอง
แต่ไม่เคยมีใครยกมาเลยว่าที่มีและไม่มีคืออะไร
แล้วอะไรที่ไม่มีอยู่จริงตถาคตกล่าวว่ามี เป็นไปได้หรือไม่
เมื่อดูพระสูตรด้านล่าง
จะเห็นว่าสิ่งที่โลกบอกไม่มี พระพุทธเจ้าบอกไม่มี คือ 1-1A,2-2A ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น
คือโลกบอกว่าขันธ5เที่ยงไม่มี พระพุทธเจ้าก็บอกไม่มี
สิ่งที่โลกบอกมี พระพุทธเจ้าบอกมี คือ 3-3A,4-4A ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น
คือโลกบอกว่าขันธ์5ไม่เที่ยง มี พระพุทธเจ้าก็บอกว่ามี
เพราะทั้งหมดเป็นความจริงทั้งสิ้น
พระพุทธเจ้ากล่าวตั้งแต่ในพระวินัยบทแรกว่าตถาคตเว้นจากกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
ถ้าสิ่งนั้นไม่มี ถ้าพระพุทธเจ้ารู้ว่าไม่มีแต่ก็บอก มี คือพระพุทธเจ้าโกหก เป็นวจีทุจริต!!
ถ้าสิ่งนั้นมี ถ้าพระพุทธเจ้ารู้ว่ามีแต่บอกไม่มี พระพุทธเจ้าก็โกหก เป็นวจีทุจริต!!
พระพุทธเจ้าไม่มีวันโกหกครับ ท่านบอกว่ามี เฉพาะสิ่งที่มี และบอกไม่มี เฉพาะสิ่งที่ไม่มี
ใครคิดว่าพระพุทธเจ้าบอกว่าเทวดาพรหมสวรรค์นรกมี เพราะตถาคตไม่มีวิวาทกับโลก
แม้สิ่งนั้นจะไม่มีจริงขอให้คิดใหม่นะครับ
และถ้าท่านคิดว่าพระพุทธเจ้ายอมโกหกเพื่อประโยชน์บางประการบ้าง เพื่อความง่ายต่อการเผยแพร่บ้าง บลาๆๆ
ท่านเลิกนับถือศาสนานี้เถอะครับ
เพราะลงว่าศาสดาบอกว่าไม่โกหก แต่โกหก
ศาสดาแบบนี้พาท่านพ้นทุกข์ไม่ได้หรอกครับ
แต่ถ้าท่านเชื่อว่าพระพุทธเจ้าไม่มีวันโกหก
ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีบุญเกิดเป็นพุทธศาสนิกชนร่วมกับท่านในชาตินี้ครับ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
๒. ปุปผสูตร
ว่าด้วยพระพุทธองค์ไม่ขัดแย้งกับโลก
[๒๓๙] พระนครสาวัตถี ฯลฯ สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย
มาแล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
A เราย่อมไม่ขัดแย้งกับโลก. แต่โลกย่อมขัดแย้งกับเรา. ผู้กล่าวเป็นธรรมย่อมไม่ขัดแย้งกับใครๆ ในโลก
B สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกสมมติว่า ไม่มี แม้เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่า ไม่มี.
C สิ่งใดที่บัณฑิตในโลก สมมติว่า มี แม้เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่า มี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่บัณฑิตในโลกสมมติว่า ไม่มี ซึ่งเราก็กล่าวว่าไม่มีนั้น คืออะไร?
1 คือ รูปที่เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา บัณฑิตในโลกสมมติว่า ไม่มี
1A แม้เราก็กล่าวรูปนั้นว่า ไม่มี.
2เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา โลกสมมติว่า ไม่มี
2Aแม้เราก็กล่าววิญญาณนั้นว่า ไม่มี.
ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้แหละที่เป็นบัณฑิตในโลกสมมติว่า ไม่มี ซึ่งเราก็กล่าวว่า ไม่มี.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่บัณฑิตในโลกสมมติว่า มี ซึ่งเราก็กล่าวว่ามีนั้น คืออะไร.
3ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ที่บัณฑิตในโลกสมมติว่า มี
3A แม้เราก็กล่าวรูปนั้นว่า มี.
4เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ที่บัณฑิตในโลกสมมุติว่า มี
4Aแม้เราก็กล่าววิญญาณนั้นว่า มี.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แหละที่บัณฑิตใน โลกสมมุติว่า มี ซึ่งเราก็กล่าวว่า มี.
[๒๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โลกธรรมมีอยู่ในโลก พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทราบชัด
โลกธรรมนั้น ครั้นแล้วย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น.
ก็โลกธรรมในโลก พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทราบชัดโลกธรรม ครั้นแล้ว ย่อมบอก แสดง
บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้นนั้น คืออะไร? ดูกรภิกษุทั้งหลาย คือ รูป
เป็นโลกธรรมในโลก พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทราบชัดโลกธรรมนั้น ฯลฯ กระทำให้ตื้น. ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลใด เมื่อพระตถาคตบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก
กระทำให้ตื้นอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่รู้ ไม่เห็น เราจะกระทำอะไรได้กะบุคคลนั้น ผู้เป็นปุถุชนคนพาล
บอด ไม่มีจักษุ ไม่รู้ ไม่เห็น. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นโลกธรรมในโลก
พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทราบชัดโลกธรรมนั้น ครั้นแล้ว ย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง
เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น. บุคคลใด เมื่อพระตถาคตบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง
เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้นอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่รู้ ไม่เห็น เราจะกระทำอะไรได้กะบุคคลนั้น
ผู้เป็นปุถุชนคนพาล บอด ไม่มีจักษุ ไม่รู้ ไม่เห็น.
[๒๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบลก็ดี ปทุมก็ดี บุณฑริกก็ดี เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้ว
ในน้ำ ขึ้นพ้นจากน้ำตั้งอยู่ แต่น้ำไม่ติด แม้ฉันใด. พระตถาคตเกิดแล้วในโลก เจริญแล้วใน
โลก ย่อมครอบงำโลกอยู่ แต่โลกฉาบทาไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกันแล.