เข้าวันเสาร์ สำหรับใครหลายๆคน อาจจะเป็นวันแสนสุข ที่ สบาย สบาย ได้นอนทอดกายและตื่นเอาสายโด่ง
แต่สำหรับผมแล้ว ไม่ใช่เลย เพราะเมื่อคืน หลังลงจากเวทีที่เล่นดนตรีเสร็จราวๆ ตีสอง หยิบโทรศัพท์มาดู ก็เห็นเมสเสจทวงต้นฉบับถี่ๆ หลายข้อความ ใจความว่าผมต้องส่งต้นฉบับภายในสามทุ่มคืนวันเสาร์ให้ได้
ผมเป็นนักดนตรีกลางคืน แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นคอลัมนิสต์ ในนิตยสารรายเดือน ฉบับหนึ่งด้วย รับจ้างเขียนงานด้านดนตรีและภาพยนต์เป็นหลัก จริงๆ แล้ว ในนามปากกาเดียวกันกับผม ยังมีพี่อีกสองคนเขียนร่วมด้วย คนหนึ่งเขียนเรื่องท่องเที่ยว กินดื่ม และอีกคนเขียนเรื่องสัพเพเหระทั่วไป แต่ที่น่าขันคือ ผมกับพี่อีกสองคนที่ว่านี้ ไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัวเลย พวกเราจะสื่อสารผ่านคนกลาง คือ ผู้ประสานงานของกองบรรณาธิการ ที่มีชื่อว่า หนูหริ่ง
เธอเป็นเจ้าของน้ำเสียงเล็กๆ สดใส งุ้งงิ้ง แสนไพเราะเมื่อตอนโทรมาบอกว่า โอนงินค่าเรื่องให้แล้ว เจ้าของเมสเสจห้วนๆ ทวงต้นฉบับ 6 ครั้ง เนื้อความเดียวกัน รวมทั้ง มิสคอลล์ อีกนับไม่ไหวที่กระหน่ำมาหาผมในคืนวันศุกร์
หนูหริ่งก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ผมไม่เคยรู้จักหน้าค่าตามาก่อนเลย แม้จะเจรจาต้าอ้วยสนิทสนมกันทั้งทางโทรศัพท์และอีเมลล์ ดูเหมือนว่าโลกสำหรับผม จะมีอะไรที่ไม่รู้จักมากมายซะเหลือเกิน
พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็ขับรถมุ่งหน้าไปหาแรงบันดาลใจในการเขียนคอลัมน์แบบขัดไม่ได้ เพราะพี่ที่เป็นคนเขียนเรื่องสัพเพเหะระป่วยเข้าโรงพยาบาล หวยมาออกที่ผมในการเขียนขัดตาทัพ ถามหนูหริ่งว่าทำไมไม่ให้พี่อีกคน ที่เขียนเรื่องท่องเที่ยวเขียนแทนล่ะ หนูหริ่งบอกง่ายๆ หมดสิทธ์หือ คือ บ.ก. สั่งมา
จุดมุ่งหมายของผมในการไปทำงานส่งวันนี้คือโฮมสเตย์เล็กๆ ริมแม่น้ำป่าสัก ที่ผมมานอนพักบ่อยๆ ใช้เวลาขับรถราว สองชั่วโมงนิดๆ เมื่อผมยาวๆ หยักๆ ราว ครึ่งหลังของผม ต้องลมเป่าขณะขับรถเปิดกระจก ประหยัดแอร์ จนผมเผ้าได้แห้งกลับมากระเซิงเหมือนเดิม ผมก็เลี้ยวรถเข้าปากทางเล็กๆที่มีป้ายบอกชื่อป้าตุ๊โฮมเสตย์
วันนี้ ชุมชนรอบๆ ที่พักของป้าตุ๊ ดูครึกครื้นเป็นพิเศษ มีเสียงอึกทึกจากเครื่องขยายเสียง ดังมาเป็นระยะๆ พอขับผ่านซุ้มประตูหน้าวัด ก็ หายสงสัย เพราะเห็นสายไฟดวงๆ โยงเป็นแนวรูปซุ้มทางเข้าวัด ไฟทุกดวงยังคงติด วอบแว๊บกันไปมา ผมเดาว่าเจ้าหน้าที่ของทางวัดอาจจะยังนอนไม่ตื่น แม้จะล่วงเข้าไป 9 โมงเช้าแล้ว รู้สึกอิจฉาขึ้นมาตงิด ตงิด ถ้าผมกับเจ้าหน้าที่วัดคนนั้น เข้านอนตอนตีสองกว่าๆ ไล่เลี่ยกับผมเมื่อคืนนี้
หลังจากอ้อมรถไปจอดที่จอดประจำหลังบ้าน ที่ร่มคลึ้มเกือบทั้งวัน ปิดกระจก ล๊อครถเรียบร้อย ก็ เดินเข้าบ้านตัดส่วนที่ป้าตุ๊ ต่อเติมออกมาเป็นครัว ออกไปหน้าบ้าน เห็นป้าตุ๊ เจ้าบ้านกำลังเก็บโต๊ะอาหารเช้าของแขกอยู่พอดี
“มาแต่เช้าเชียว กินไรมารึยัง”
ป้าตุ๊รองทักทันทีที่เห็นร่างโย่งๆ ของผมเดินพนมมือไหว้แกมา แต่ไกล
“มาคนเดียวรึ
ถามมาติดๆ หรือเป็นประโยคติดปากของป้า ผมก็มาคนเดียวทุกที
ผมกังวลแขกสาวร่างบอบบาง ผมยาวสลวยที่ทานข้าวอยู่จะตกใจในเสียงที่แหบพร่าไม่น่าฟังของตัวผมเอง จึงยกมือ ชูนิ้วชี้ ให้แกเห็นแล้วเอามาชี้ที่พุงแห้งๆ ของตัวเองอีกที เป็นอันว่าผมตอบครบถ้วน ว่า มาคนเดียวและบัดนี้หิวจะแย่
จากนั้นก็ทำทีชี้ไม้ชี้มือบอกแกว่าผมจะไปนั่งเล่มตรงชานบ้านที่ปูด้วยระแนงไม้เป็นชานกว้าง ติดแม่น้ำมุมโปรดของผม เมื่อมองเห็นสายน้ำป่าสักใกล้เข้าไป ผมก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้อย่างผ่อนคลายที่สุด ร่มของต้นจันทน์แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงากว้าง ผลแป้นๆ สีเหลือง หล่นบนพื้นอยู่สี่ห้าลูก ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ อีกหลายสิบลูกหล่นลงไปชายน้ำ เห็นปลาตะเพียน เวียนว่ายตอดกินเล่นอยู่พักๆ
ลมเย็นจากแผ่นน้ำกว้างพัดมาชื่นใจ พลันก็ ได้ยินเสียงป้าตุ๊เปิดเพลงลูกทุ่งยุคโบราณที่ผมชื่นชอบ เสมือนการเปิดตัวนางรำละครเลยเชียว เพลงขึ้นสักท่อนกว่าๆ ป้าตุ๊ก็ยกถาดอาหารเช้ามาให้ผม ในถาดนั้นมีกาแฟดำผสมวิสกี้ ไข่ลวกสองฟอง ขนมไทยๆห่อใบตองอีกสองห่อ
“ข้าวเหนียวหน้ากุ้ง ร้านขนมของทางวัดเค้า อร่อยนะ” ป้าตุ๊ ชี้แจงที่มา
“ครับป้า” ผมค้อมหน้าลงด้วยความสำนึกในน้ำใจของผู้อาวุโส
“เย็นนี้จะกินอะไร บอกลุงเขาไว้นะ”
“ป้าจะไปช่วยทางวัดขายดอกไม้ ธูปเทียน” ป้าชิงอธิบายเพิ่ม พอผมจะขยับปากจะถามเพราะ รอก้อนข้าวเหนียวหน้ากุ้งลงไปให้สุดคำ ป้าก็บอกว่า
“ป้าเปิดประตู หน้าต่างให้หายอับไว้ให้แล้ว นะ”
“นอนคนเดียวระวังผีหลอกนะ รูปหล่อ” ป้าแกล้งแหย่ผมเล่น เสร็จ ก็ หัวเราะลงลูกคอเดินกลับไป
กาแฟดำผสมวิสกี้ ทำเอาผมหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เอาเป้ไปโยนไว้ในห้อง เปิดหน้าต่างและแง้มหน้าต่างไว้ให้พอลมได้ล่อง ล็อกประตูเสร็จสรรพ เอารายการอาหารที่อยากกินเย็นนี้ไปแปะที่หน้าครัว ผมก็พร้อมเดินไปตามเสียงที่ได้ยินมาจากงานวัดใกล้ๆ
ปาหี่
แต่สำหรับผมแล้ว ไม่ใช่เลย เพราะเมื่อคืน หลังลงจากเวทีที่เล่นดนตรีเสร็จราวๆ ตีสอง หยิบโทรศัพท์มาดู ก็เห็นเมสเสจทวงต้นฉบับถี่ๆ หลายข้อความ ใจความว่าผมต้องส่งต้นฉบับภายในสามทุ่มคืนวันเสาร์ให้ได้
ผมเป็นนักดนตรีกลางคืน แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นคอลัมนิสต์ ในนิตยสารรายเดือน ฉบับหนึ่งด้วย รับจ้างเขียนงานด้านดนตรีและภาพยนต์เป็นหลัก จริงๆ แล้ว ในนามปากกาเดียวกันกับผม ยังมีพี่อีกสองคนเขียนร่วมด้วย คนหนึ่งเขียนเรื่องท่องเที่ยว กินดื่ม และอีกคนเขียนเรื่องสัพเพเหระทั่วไป แต่ที่น่าขันคือ ผมกับพี่อีกสองคนที่ว่านี้ ไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัวเลย พวกเราจะสื่อสารผ่านคนกลาง คือ ผู้ประสานงานของกองบรรณาธิการ ที่มีชื่อว่า หนูหริ่ง
เธอเป็นเจ้าของน้ำเสียงเล็กๆ สดใส งุ้งงิ้ง แสนไพเราะเมื่อตอนโทรมาบอกว่า โอนงินค่าเรื่องให้แล้ว เจ้าของเมสเสจห้วนๆ ทวงต้นฉบับ 6 ครั้ง เนื้อความเดียวกัน รวมทั้ง มิสคอลล์ อีกนับไม่ไหวที่กระหน่ำมาหาผมในคืนวันศุกร์
หนูหริ่งก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ผมไม่เคยรู้จักหน้าค่าตามาก่อนเลย แม้จะเจรจาต้าอ้วยสนิทสนมกันทั้งทางโทรศัพท์และอีเมลล์ ดูเหมือนว่าโลกสำหรับผม จะมีอะไรที่ไม่รู้จักมากมายซะเหลือเกิน
พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็ขับรถมุ่งหน้าไปหาแรงบันดาลใจในการเขียนคอลัมน์แบบขัดไม่ได้ เพราะพี่ที่เป็นคนเขียนเรื่องสัพเพเหะระป่วยเข้าโรงพยาบาล หวยมาออกที่ผมในการเขียนขัดตาทัพ ถามหนูหริ่งว่าทำไมไม่ให้พี่อีกคน ที่เขียนเรื่องท่องเที่ยวเขียนแทนล่ะ หนูหริ่งบอกง่ายๆ หมดสิทธ์หือ คือ บ.ก. สั่งมา
จุดมุ่งหมายของผมในการไปทำงานส่งวันนี้คือโฮมสเตย์เล็กๆ ริมแม่น้ำป่าสัก ที่ผมมานอนพักบ่อยๆ ใช้เวลาขับรถราว สองชั่วโมงนิดๆ เมื่อผมยาวๆ หยักๆ ราว ครึ่งหลังของผม ต้องลมเป่าขณะขับรถเปิดกระจก ประหยัดแอร์ จนผมเผ้าได้แห้งกลับมากระเซิงเหมือนเดิม ผมก็เลี้ยวรถเข้าปากทางเล็กๆที่มีป้ายบอกชื่อป้าตุ๊โฮมเสตย์
วันนี้ ชุมชนรอบๆ ที่พักของป้าตุ๊ ดูครึกครื้นเป็นพิเศษ มีเสียงอึกทึกจากเครื่องขยายเสียง ดังมาเป็นระยะๆ พอขับผ่านซุ้มประตูหน้าวัด ก็ หายสงสัย เพราะเห็นสายไฟดวงๆ โยงเป็นแนวรูปซุ้มทางเข้าวัด ไฟทุกดวงยังคงติด วอบแว๊บกันไปมา ผมเดาว่าเจ้าหน้าที่ของทางวัดอาจจะยังนอนไม่ตื่น แม้จะล่วงเข้าไป 9 โมงเช้าแล้ว รู้สึกอิจฉาขึ้นมาตงิด ตงิด ถ้าผมกับเจ้าหน้าที่วัดคนนั้น เข้านอนตอนตีสองกว่าๆ ไล่เลี่ยกับผมเมื่อคืนนี้
หลังจากอ้อมรถไปจอดที่จอดประจำหลังบ้าน ที่ร่มคลึ้มเกือบทั้งวัน ปิดกระจก ล๊อครถเรียบร้อย ก็ เดินเข้าบ้านตัดส่วนที่ป้าตุ๊ ต่อเติมออกมาเป็นครัว ออกไปหน้าบ้าน เห็นป้าตุ๊ เจ้าบ้านกำลังเก็บโต๊ะอาหารเช้าของแขกอยู่พอดี
“มาแต่เช้าเชียว กินไรมารึยัง”
ป้าตุ๊รองทักทันทีที่เห็นร่างโย่งๆ ของผมเดินพนมมือไหว้แกมา แต่ไกล
“มาคนเดียวรึ
ถามมาติดๆ หรือเป็นประโยคติดปากของป้า ผมก็มาคนเดียวทุกที
ผมกังวลแขกสาวร่างบอบบาง ผมยาวสลวยที่ทานข้าวอยู่จะตกใจในเสียงที่แหบพร่าไม่น่าฟังของตัวผมเอง จึงยกมือ ชูนิ้วชี้ ให้แกเห็นแล้วเอามาชี้ที่พุงแห้งๆ ของตัวเองอีกที เป็นอันว่าผมตอบครบถ้วน ว่า มาคนเดียวและบัดนี้หิวจะแย่
จากนั้นก็ทำทีชี้ไม้ชี้มือบอกแกว่าผมจะไปนั่งเล่มตรงชานบ้านที่ปูด้วยระแนงไม้เป็นชานกว้าง ติดแม่น้ำมุมโปรดของผม เมื่อมองเห็นสายน้ำป่าสักใกล้เข้าไป ผมก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้อย่างผ่อนคลายที่สุด ร่มของต้นจันทน์แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงากว้าง ผลแป้นๆ สีเหลือง หล่นบนพื้นอยู่สี่ห้าลูก ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ อีกหลายสิบลูกหล่นลงไปชายน้ำ เห็นปลาตะเพียน เวียนว่ายตอดกินเล่นอยู่พักๆ
ลมเย็นจากแผ่นน้ำกว้างพัดมาชื่นใจ พลันก็ ได้ยินเสียงป้าตุ๊เปิดเพลงลูกทุ่งยุคโบราณที่ผมชื่นชอบ เสมือนการเปิดตัวนางรำละครเลยเชียว เพลงขึ้นสักท่อนกว่าๆ ป้าตุ๊ก็ยกถาดอาหารเช้ามาให้ผม ในถาดนั้นมีกาแฟดำผสมวิสกี้ ไข่ลวกสองฟอง ขนมไทยๆห่อใบตองอีกสองห่อ
“ข้าวเหนียวหน้ากุ้ง ร้านขนมของทางวัดเค้า อร่อยนะ” ป้าตุ๊ ชี้แจงที่มา
“ครับป้า” ผมค้อมหน้าลงด้วยความสำนึกในน้ำใจของผู้อาวุโส
“เย็นนี้จะกินอะไร บอกลุงเขาไว้นะ”
“ป้าจะไปช่วยทางวัดขายดอกไม้ ธูปเทียน” ป้าชิงอธิบายเพิ่ม พอผมจะขยับปากจะถามเพราะ รอก้อนข้าวเหนียวหน้ากุ้งลงไปให้สุดคำ ป้าก็บอกว่า
“ป้าเปิดประตู หน้าต่างให้หายอับไว้ให้แล้ว นะ”
“นอนคนเดียวระวังผีหลอกนะ รูปหล่อ” ป้าแกล้งแหย่ผมเล่น เสร็จ ก็ หัวเราะลงลูกคอเดินกลับไป
กาแฟดำผสมวิสกี้ ทำเอาผมหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เอาเป้ไปโยนไว้ในห้อง เปิดหน้าต่างและแง้มหน้าต่างไว้ให้พอลมได้ล่อง ล็อกประตูเสร็จสรรพ เอารายการอาหารที่อยากกินเย็นนี้ไปแปะที่หน้าครัว ผมก็พร้อมเดินไปตามเสียงที่ได้ยินมาจากงานวัดใกล้ๆ