Iphone 5 VS Galaxy note II

Review เปรียบเทียบในครั้งนี้เป็นการเปรียบเทียบการใช้งานเป็นหลักจากประสบการณ์อย่างเดียวนะคะ คงจะพูดถึงรายละเอียดเชิงลึกไม่ได้(ความรู้ไม่ถึงพอ)

แรกเริ่มเกร่ินก่อนว่า เราเริ่มรู้จักบริษัท Apple ตั้งแต่เมื่อ 10 กว่าปีก่อนจำได้ว่า ตอนนั้น Apple ออกเครื่องคอมพิวเตอร์ Mac รุ่นสีลูกกวาด กลมๆ ป่องๆ เห็นครั้งแรกแล้วประทับใจมาก (แต่ไม่มีตังค์ซื้อ) ต่อมาราคาผลิตภัณฑ์ของบริษัทนี้เริ่มอยู่ในราคาที่จับต้องได้ จึงได้ Macbook เครื่องแรก สีดำมาใช้ ใช้มา 5 ปี ไม่เคยงอแง จนกระทั้งเปลี่ยนมาใช้ Macbook air ขายเครื่องเก่าทิ้งได้ราคา 10,000 บาท (เชื่อเค้าเลยยังขายได้ มีสาวกแมคซื้อไป) ระหว่างนั้นก็ใช้ Iphone 3gs, 4s จนล่าสุดมาถึง Iphone 5 รวมถึง Ipad 1, 3, และจบที่ Ipad mini  ถึงตรงนี้เราคงเรียกตัวเองว่าเป็นหนึ่งในสาวก Apple ได้เลยทีเดียว 555 ณ จุดๆนี้การเขียนเปรียบเทียบการใช้งานระหว่างสองค่าย อาจทำให้บางครั้งเรามีความโอนเอียงเข้าข้าง iphone ได้ เนื่องจากเคยชินกับการใช้งานมานาน :p
    เอาเป็นว่าเข้าเรื่องเลยดีกว่า ถามว่าเป็นสาวก Apple อย่างเรา(น่าจะเข้าข่ายได้นะ) เหตุฉนัยจึงได้เปลี่ยนใจไปใช้ Samsung ได้ ต้องบอกเลยว่าเบื่อคะ คือของมันก็ใช้มานานก็ต้องมีเบื่อเป็นกาลเวลา รวมไปถึงกระแส Samsung ก็แรงจริงๆ ออกมือถือมาต้องบอกว่า feature ใหม่ๆเพียบ ในขณะที่ Iphone ถามว่าพัฒนาไหม ก็ต้องบอกว่าพัฒนา เพราะเทียบกับรุ่นแรกๆของ Iphone หน้าจอดีขึ้น เร็วขึ้น แต่ถ้าพูดถึง Feature การใช้งานแล้วไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมมาก Siri ที่มาใน Iphone 4s ตอนแรกตื่นเต้นมาก โอ้ยเท่ห์จริงๆ แต่เอาเข้าจริง สำเนียงไม่ผ่านคะ พูดแล้วมันไม่เข้าใจ จะให้พูดซ้ำก็อายคนรอบข้าง มีดีตรงเอามาไว้เล่นสนุกๆคนเดียวมากกว่า รู้ซึ้งเลยคะว่าไม่ว่าจะซื้อสิ้นค้าอะไร การสั่งงานด้วยเสียงนี่เป็น function ที่ตัดทิ้งได้เลยเพราะไม่ค่อยได้ใช้งาน พอมาถึงรุ่น Iphone 5 ถามว่าประทับใจไหม ก็ประทับใจนะคะ ไม่งั้นไม่ขายเครื่องเก่า (iphone4s) มาซื้อใหม่  แต่ก็แอบผิดหวังเล็กๆ ว่าทำไมยืดหน้าจอยาวขึ้นมาหน่อยเดียวเอง ในขณะที่ trend ของ smart phone สมัยนี้เค้าต้องหน้าจอใหญ่ๆกันทั้งน้าน นั่นจึงเป็นที่มาทำให้เกิดกิเลส และนำไปสู่การเสียเงิน ซื้อ Galaxy note 2 smart phone รุ่นท๊อปของค่าย Samsung มาใช้คู่กันกับ Iphone 5 เป็นมือถือเครื่องที่สองซะเลย
    แรกเริ่มที่ใช้  ต้องเรียกว่าเรียนรู้ใหม่เลยคะ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยนอกใจ Apple เลย 555 แต่ก็รู้สึกไม่ยากเท่าไหร พอมีพื้นฐานอยู่บ้างเพราะชอบด้านนี้อยู่แล้ว เครื่องที่ใช้เป็นเครื่องที่ไม่ได้ผ่านการ Root ซื้อจากศูนย์ไทย  แรกซื้อตั้งใจว่าคงจะไม่ Root เครื่อง ไม่ได้กลัวประกงประกันอะไรหรอกคะ คือ ขี้เกียจคะ Iphone ตอนแรกๆ ก็ Jailbreak ตลอด ทำเองตั้งแต่สมัย 3gs เรื่อยมาจนตอนหลังขี้เกียจตามข่าว อยากอัพเดทโปรแกรมให้ใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา อีกทั้ง installus นับวันก็ยิ่งโหลดยากขึ้นเรื่อย (ล่าสุดได้ข่าวว่าปิดตัวไปแล้ว)  พอเอาเข้าจริงเราก็ใช้อยู่ไม่กี่โปรแกรม และ ราคาก็พอรับได้เท่าๆ กับข้าวหนึ่งจานยังแพงกว่า (แต่บาง app นี่ก็แพงจนเข่าอ่อนจริงๆ เกือบสองร้อยเหรียญ แต่พอคิดว่ามันเป็นประโยชน์ต่อการทำงานก็ยอมนะคะ อดข้าวไปหลายมื้อ 555) มาเข้าเรื่องต่อ เนื่องจากใช้ทั้ง iphone5 และ Note 2 ไปพร้อมๆกัน เป็นระยะเวลา 2 เดือน เราจึงจะเขียนสรุปการใช้งานเปรียบเทียบกันนะคะ แต่คงไม่พูดถึง spec เครื่อง เพราะ iphone 5 ด้อยกว่าตั้งแต่ขนาดจอและขนาด แบตตอรี่แล้วคะ แต่จะพูดถึงความรู้สึกของการใช้งานตลอดระยะเวลา 2 เดือน เพื่อจะเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจซื้อหรือทดลองใช้ก่อน


     1. หน้าจอ รูปร่างภายนอก :
    - หน้าตาภายนอกของ Note 2 สวยนะคะ สะอาดสะอ้าน เราซื้อสีขาวมา เหมือน iphone5 เรื่องใครสวยกว่ากันอันนี้ขึ้นกับความชอบส่วนบุคคลจริงๆ เราชอบอะไรที่มันเหลี่ยมๆจึงรู้สึกชอบรูปร่างแบบ iphone มากกว่า
    -  ส่วนขนาดจอสัมผัสแรก ชอบ Note 2 มาก หน้าจอของเธอนั้นช่างใหญ่ได้ใจจริงๆ เทียบกับ iphone 5 เธอชนะขาดลอย ภาพสีสันหน้าจอก็คมชัด สีสันจัดจ้าน คนละสไตล์กับ Iphone เลย เพราะ iphone 5 retinal display คมชัดจริงแต่โทนสีจะไม่จัดจ้านเท่า ออกสีนุ่มนวลกว่า จุดนี้ก็นานาจิตตัง แล้วแต่คนชอบเหมือนกันดีทั้งคู่
    - touch screen สองค่ายนี้ก็ให้อารมณ์ไม่เหมือนกันคะ คือกดดีกดติด แม่นยำและลื่นไหลทั้งคู่ แต่ Note 2 เวลากดจะให้อารมณ์เหมือนกดลงบนกระจกแข็งมากกว่า ในขณะที่ iphone แต่ละครั้งที่กดจะบุ๋มลงไปเล็กน้อย เหมือนการกดปุ่ม ส่วนตัวชอบแบบหลังมากกว่าคะ มันให้อารมณ์มี reaction กลับมาในการกดแต่ละครั้งทำให้รู้สึกว่าได้กดแล้วเหมือน keyboard คอมพิวเตอร์
    - สรุป หลังจากใช้ไปไม่นาน เรารู้สึกว่าหน้าจอใหญ่ไม่ได้ดีเสมอไป ขึ้นกับการใช้งานของแต่ละคนด้วย โดยส่วนตัวคิดว่า note2 ใหญ่เกินไปที่จะเป็นมือถือ จับไม่ถนัด อาจเป็นเพราะเราเป็นผู้หญิง iphone 5 จับถนัดมือกว่า และย่ิงเบาลงกว่า ​iphone 4,4s ยิ่งทำให้เวลาใส่เคสแล้วรู้สึกพอดี (ถ้าไม่ได้ใส่เคสเลยก็เบาเกินไปหน่อย) ย่ิงเวลาคุยโทรศัพท์นานๆจะรู้สึกเมื่อยมากเวลาใช้ Note 2  แต่ถ้าเป็นผู้ชายอาจคิดว่าจุดนี้ไม่เป็นปัญหา ยิ่งพวกฝรั่งมือใหญ่ด้วยแล้วคงจะเหมาะกับขนาด Note 2 มากกว่า


    2. Battery อันนี้บอกเลย note 2 ทำได้ดีกว่ามากเพราะ ความจุนั้นมากกว่า iphone เกือบ 3 เท่า ถ้าใครใช้ note 2 ก็คงไม่ต้องหา Battery สำรองมาคอยเติมระหว่างวัน แต่สำหรับ iphone นั้น External battery นั้นจำเป็นที่สุด ยิ่งถ้าเปิด 3g ไม่ต้องพูดถึงคะยังกับเครื่องยนต์รถใหญ่ 2.5 สูบเชื้อเพลิงดีเหลือเกินลดกันฮวบฮาบ

    3. External storage : iphone ไม่เคยมีและคิดว่าคงไม่คิดจะมีด้วย แบบเดียวกับ Battery ที่ไม่เคยให้ถอดฝาหลังเองได้ เราซื้อ 32 Gb microSD มาใส่ใน Note 2 ถามว่าพอไหม เกินจะพอคะ เพราะเอาเข้าจริงเราก็ไม่ค่อยได้ใช้ ข้อดีของการเสริมความจุได้คงจะเหมาะกับคนที่ต้องการเก็บข้อมูลเยอะๆ เพราะลำพัง iphone 32 Gb เราก็ใช้ไม่เคยเต็ม (แต่ไม่แนะนำ iphone 16 Gb นะคะมันจะไม่ค่อยพอพอใช้ไปนานๆ) แต่การมี Ext. storage บางครั้งก็ทำให้เรารู้สึกงงคะ ว่าเรา save รูปไว้ในเครื่องหรือ microSD กันแน่ บางครั้งก็หาไม่เจอเหมือนกันว่าเอา file ใส่ไว้ตรงไหนกันแน่ แต่โดยรวมสำหรับ note 2 ก็ดีคะเพราะตัวเครื่องก็มีแค่ 16 Gb อย่างเดียวไม่มีตัวเลือกอื่น อีกทั้งปัจจุบันพวก microSD ราคาถูกลงมากการซื้อมาเติมแล้วให้ความจุที่มากกว่า iphone ในราคาที่ถูกกว่าก็คุ้มค่าอยู่

    4. ปากกา stylus : ตอนเราใช้ไอโฟนรุ่นแรกๆ ก็พยายามขวนขวายหา  stylus แบบต่างๆมาใช้ แต่สุดท้ายก็ใช้งานน้อยมาก แม้กระทั่งการใช้กับ ipad ก็ตาม หนึ่งคือ iphone หน้าจอเล็กอยู่แล้วไม่เหมาะกับ stylus สอง เราไม่ได้วาดรูปเป็นประจำจึงรู้สึกไม่ค่อยมีประโยชน์  ส่วน note2 เหตุผลหนึ่งที่เราซื้อมาเพราะเห็นว่าเจ๋งจัง คุยโทรศัพท์ไปด้วย จดบันทึกไปด้วย ไม่ต้องควานหาปากกาดินสองมาจดข้อความระหว่างคุยโทรศัพท์ แต่เอาเข้าจริง feature นี้ก็ไม่ค่อยได้ใช้อีีกตามเคย 555 เพราะโอกาสจะได้จดอะไรตอนคุยนั้นน้อยมาก (่ส่วนใหญ่ก็มีแต่เรื่องไรสาระ จดไปก็เท่านั้น ) เวลาจดก็ต้องเปิดเป็น speaker ก่อนจึงจะจดได้ สุดท้ายความเคยชินก็กลับมาแบบเดิมคือ หยิบปากจดใส่เศษกระดาษแล้วถ่ายรูปเก็บไว้ใน camera roll กันเศษกระดาษปลิวหายไป ข้อดีของ Stylus สำหรับเราว่า feature air view  นั่นดีและใช้ประโยชน์ได้จริง เช่น เวลาดูหนังที่โหลดเก็บไว้ในเครื่องเราก็สามารถลากไปจอเห็นตัวอย่างได้ก่อนกดเลื่อนไปดู , การใช้ Stylus crop ภาพก็ดีนะ แต่ว่าเราว่าส่วนใหญ่เราชอบถ่ายเป็น screen shot มากกว่า เหมือน iphone ที่กดปุ่ม home พร้อม power แล้วจะถ่ายออกมาเป็นภาพหน้าจอขณะนั้น มันสะดวกกว่าเมื่อต้องการ save อะไรที่อ่านเจอใน web อีกอย่างหนึ่งคือหากใคร เอา keyboard bluetooth มาใช้ร่วมกับ Note 2 มันจะไม่ค่อยลื่นไหลเท่าไหรนัก มีการขึ้นหน้าจอแป้นพิมพ์ในบางครั้ง รำคาญมาก คือเหมือนเครื่องจะไม่ได้ตัดการพิมพ์ผ่านหน้าจอทิ้งทั้งหมดในระหว่างที่ต่อ keyboard bluetooth (แต่เราไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเราใช้ keyboard bluetooth ของ apple รึเปล่าถึงเป็นแบบนี้) แต่ถ้าเป็น iphone, ipad หากเชื่อมต่อใช้ keyboard bluetooth เข้าให้แล้วจะไม่มีการเด้งหน้าจอพิมพ์ขึ้นมาขัดจังหวะเลย ถ้าจะพิมพ์อะไรได้ผ่าน keyboard bluetooth เท่านั้น หน้าจอจะไม่มีแป้นพิมพ์ให้
    
    5. Phone : เป็นเรื่องที่ต้องพูดถึงเลยคะ ก็ซื้อ smart phone มาก็ต้องเอามาโทรเป็นหลักอยู่แล้วไม่งั้นก็คงจะซื้อ tablet ใช้ซะดีกว่า เรื่องโทรศัพท์อันนี้เป็นปัญหาสำหรับเราเลยทีเดียว ไม่ทราบว่ามีคนเคยมีปัญหาแบบนี้รึป่าว คือเรื่องเสียงเวลาพูด
        - Note 2 เวลาคุยจะรู้สึกว่าเสียงฝังตรงข้ามเบามาก เมื่อเทียบกับ iphone ทั้งที่เปิดเสียงดังสุดทั้งคู่ เราทดสอบโดยโทรคุยกับแม่เวลาใกล้เคียงกัน เห็นชัดมากว่าด้อยกว่า iphone ความรู้สึกคือ ไอโฟนเหมือนมีการออกแบบการตัดเสียงรบกวน เวลาคุยเหมือนนั่งคุยกันใกล้ๆ ในขณะที่ note 2 เวลาพูดจะเหมือนคนที่เราคุยด้วยอยู่ไกล เสียงก้อง
        - Note 2 เวลาวางหูโทรศัพท์ note 2  จะประมวนผลคำสั่งการกดวางหูโทรศัพท์ช้ามาก จนแทพบคิดว่าเครื่องแฮงค์ไปแล้วเร๊อะ !!!  เหมือนเครื่องแฮงค์ไปประมาณ 3 วินาที ซึ่งงงมาก ไม่อยากจะเชื่อในตอนแรก เพราะ note 2 ถือเป็นรุ่นท๊อปสุดของ Samsung กะอีแค่วางหูโทรศัพท์ทำไมประมวนผลนานจัง
        - ส่วนเรื่องที่ชอบคือ ชอบเวลา search เบอร์ samsung  จะมีการโชว์ชื่อตามเลขหมายปลายทางที่เรากำลังกด ในขณะที่ iphone ไม่มี ทั้งๆที่เป็น function ที่ Nokia, samsung เครื่องไม่กี่พันยังมีเลย update iOS แต่ละครั้งก็ไม่เคยมี function นี้หลุดออกมาซะที เฮ้อ...

    6. Android phone: Android ใช้ง่ายไหม สำหรับคนที่ใช้ iOS มาตลอด สำหรับเราใช้ง่ายคะ Function เยอะมาก แรกสุดเปิดเข้า setting  ถึงกับอึ้งเลยคะ function เธอมีให้เลือกเยอะมาก แรกๆก็งงนะคะเพราะเคยมีแต่ปุ่ม Home only พอมามี ปุ่ม back ปุ่ม menu ก็เริ่มงง พยายามจะกดหน้าจอตรงบนขวาตามสไตล์ iOS ตลอดเวลาจะกลับไปหน้าก่อน ใช้ไปนานๆก็ชอบนะคะ มันสะดวกดีไม่ต้องขยับนิ้วไปไกล
        - Interface หน้าจอ Android สวยคะ เหมือนกับ iOS ปรับแต่งได้มากกว่า iOS แต่ใช้ไปแล้วให้อารมณ์เหมือนใช้ window เลยคะเปรียบเหมือน application แต่ละตัวมี Shortcut อยู่ที่หน้า Desktop คือ Android จะเลือก App ที่ใช้บ่อยๆมาจัดเรียงที่หน้าจอได้ในขณะที่ตัว App จริงๆก็จะอยู่ใน หน้า application รวมทั้งหมดอีกทีหนึ่่ง ตอนใช้แรกรู้สึกงงมากว่าลบ app ไปแล้วไหนเลยยังอยู่ในเครื่องอีกได้ ปรากฏว่าลบแค่ Shortcut ไป ตัวจริงๆยังอยู่ต้อง uninstall แทนจึงจะหายสิ้นซาก ก็ดีนะคะ แต่มีความรู้สึกว่ามันดูซับซ้อน ยุ่งเยิง รกตาไปหน่อย โดยปกติเราจะจำตำแหน่งของ app ที่ใช้บ่อยๆว่าอยู่ขวา ซ้าย บนล่างหน้าจอตรงไหน พอเจอแบบนี้ งงคะ จำไม่ได้เพราะบางครั้งก็เข้าจากหน้าแรกของ Note 2 เลย แต่บางครั้งก็เข้าจะหน้า application รวมทั้งหมด ไปๆมาๆก็ลืมเลยว่าตำแหน่งอยู่ตรงไหนกันแน่เพราะไม่เหมือนกัน  
        - Setting :  adroid เนื่องจากมี  feature เยอะมาก แต่ส่วนใหญ่เราก็ตั้ง  แบบบ้านๆนี่แหละคะ ไม่ได้ไป Set เอียงหน้าจอเพื่อเลื่อนขึ้นลงเวลาดูเวป หรือ ปิดหน้าจอหากตรวจพบว่าละสายตาจากหน้าจออัตโนมัติ  เราว่าหลักๆ feature พวกนี้มันไม่ได้สะดวกจริงๆเวลาใช้งาน เหมือนเป็นลูกเล่นที่ทำให้แปลกใหม่มากกว่า จะมีที่เราชอบมากๆคือ  Notification center  ของ android ที่ทำออกมาดีมากกว่า iOS ซะอีก เพราะถ้า iOS ไม่ jailbreak และหามาลง ก็จะไม่สามารถมีปุ่ม เปิดปิด wifi, bluetooth, brightness, 3g, mobile data ได้สะดวกใช้เหมือน Android ใน Note 2
        - สรุป เราว่า feature ที่เยอะมากของ android หรือ Note2 นั่น สำหรับเรารู้สึกว่าไม่ค่อยได้เอามาใช้จริงในชีวิตซักเท่าไหร มีแค่ Notification ceter ที่มีประโยชน์


    7. Application : Google play VS App store
        - Google play ออกแบบ application ได้สวยพอๆและสะดวกใช้เหมือน app store เลยทีเดียว application ก็มีเยอะพอสมควร แต่รูปร่างหน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่