การมีชีวิตอยู่ มันกัดกร่อนบางสิ่งในตัวเราลงไปเรื่อย เมื่อก่อนตอนวัยรุ่น ทุกคนต่างมีฝัน มีชีวิตโดยไม่คิดถึงเรื่องเงินเรื่องทอง
เมื่อก่อนผมเคยอยู่กับความคิดนึง ความคิดที่ว่า คนเราเกิดมาควรได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ มีความฝัน มีเป้าหมาย ไปให้ถึงจุดนั้น
ถ้าให้นึกย้อนถึงช่วงเวลาตอนนั้น ในช่วงอายุไม่มาก มันรู้สึกถึงไฟ ความกล้า แรงบันดาลใจบางอย่าง นั่นคือเท่าที่ผมจำได้
บังเอิญที่ฝันของผมไม่ใหญ่ และแล้ววันหนึ่งก็ได้ทำตามความฝัน แน่นอนว่ามันรู้สึกดี มีความสุข ความภาคภูมิใจ และมีอีโก้
แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านพ้นไป ผมได้ทบทวนบางสิ่ง ในที่สุดผมได้เห็นว่าตนเองยังอ่อนหัดแม้จะได้ทำตามฝัน และลึกลงไปกว่านั้นผมค้นพบว่ามันเป็นเสมือนเรื่องสมมติ ยิ่งพออายุมากขึ้นก็เริ่มค้นหาบางสิ่งบางอย่าง สิ่งที่คนเรียกกันว่าความหมายของชีวิต ค้นหาแม้กระทั่งความฝันที่ตัวเองทำอยู่ และกลับเป็นผมเองที่ติดกับดักของความว่างเปล่าในจิตใจ ผมรู้สึกว่าความฝันเป็นแค่อีโก้ที่เราสร้างมันขึ้นมา
พอถึงตรงนี้ผมอยากจะบอกว่า แนวคิดเรื่องความฝันกับชีวิตที่เคยมีมาไม่ใช่เรื่องผิด ผมแค่อยากมองมันอีกด้านหนึ่ง อยากมองให้ลึกลงไปว่าตัวตนที่แท้จริงจองมันเป็นอย่างไร คือคนที่มีฝันอยากทำตามฝันก็ทำได้เลย มันอาจจะดีอย่างที่หลายคนว่าไว้ การได้บรรลุบางสิ่งที่ตั้งเป้าไว้มันเป็นสิ่งดี ผมก็เห็นด้วย
คราวนี้มุมมองต่อการมีชีวิตของผมเริ่มเปลี่ยนไปในที่สุด ผมมองว่าำการที่ผมมีความฝันหรือบรรลุความต้องการไม่ใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่อะไร ยิ่งพอคาดหวังเมื่อตัวเองอายุมากขึ้น กลับเป็นเรื่องปากท้องเรื่องการเอาตัวรอดที่ผุดขึ้นมาแทนที่เรื่องเดิมๆที่เคยคิดไว้ ยิ่งพอเรารู้ว่าตนเองไม่ใช่สิ่งพิเศษหรือสิ่งที่ยิ่งใหญ่แล้ว เรากลับรู้สึกถึงการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่ง รู้สึกถึงการหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ดิน น้ำ อากาศ แสงแดด การเกิด การหมุนเวียน การดับสูญ และการทำลายล้างอีโก้ รวมถึงการมองข้ามความฝัน
ผมเริ่มใช้เวลากับธรรมชาติมากขึ้น เริ่มหาที่มาของอาหาร ปลูกผักกินเอง ใช้จอบขุดดินและมองพระอาทิตย์ ขณะที่อีกด้านก็ยังหาเลี้ยงชีพเพื่อประทังชีวิตอยู่ โดยไม่ได้มองเรื่องความฝันเป็นเรื่องใหญ่อีกแล้ว ผมเคยproundมากที่ตัวเองได้ทำตามฝัน จนกระทั่งวันหนึ่งตอนผมเข้าส้วม ผมก็เก็ตไอเดียว่าจริงๆแล้วตนเองก็คือมนุษย์ที่นั่งยองๆถ่ายอยู่ ไม่ต่างจากสรรพสิ่งรอบตัว ผมรู้สึกอยากทำลายอีโก้ ผมรู้สึกว่าการยึดความฝันที่ผ่านมาเป็นเรื่องอีโก้ ซึ่งถึงที่สุดแล้วมันไม่มีอะไร แต่บางครั้งผมก็รู้สึกอยากทำตามฝันอีก เพราะแค่รู้สึกว่าเสียดายโอกาส เหมือนกับว่าโอกาสที่คนทั่วไปจะได้เข้าถึงสิ่งนี้มันยาก แต่ก็ยังคิดไม่ออกเสียที
ในที่สุดผมก็รู้สึกหลงทางนิดๆและสับสนหน่อยๆ ยิ่งเวลาได้พบปะผู้คน ได้พูดคุยกันถึงเรื่องชีวิต อนาคต และความต้องการ บางครั้งผมรู้สึกแทนพวกเขา คิดแทนพวกเขา คิดว่าทำไมเขาถึงหมกมุ่นกับเรื่องเปล่าเปลือง เรื่องวัตถุ เรื่องหน้าตา เรื่องความคาดหวังของสังคม ผมจะมองเห็นตัวเองในที่ที่ผมขุดแปลงปลูกผัก ผมอยากจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไร หรือทั้งหมดที่ว่ามามันอาจจะเป็นอีโก้ของผมเอง
การมีความฝัน การมีเป้าหมายในชีวิตคือกับดัก (?)
เมื่อก่อนผมเคยอยู่กับความคิดนึง ความคิดที่ว่า คนเราเกิดมาควรได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ มีความฝัน มีเป้าหมาย ไปให้ถึงจุดนั้น
ถ้าให้นึกย้อนถึงช่วงเวลาตอนนั้น ในช่วงอายุไม่มาก มันรู้สึกถึงไฟ ความกล้า แรงบันดาลใจบางอย่าง นั่นคือเท่าที่ผมจำได้
บังเอิญที่ฝันของผมไม่ใหญ่ และแล้ววันหนึ่งก็ได้ทำตามความฝัน แน่นอนว่ามันรู้สึกดี มีความสุข ความภาคภูมิใจ และมีอีโก้
แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านพ้นไป ผมได้ทบทวนบางสิ่ง ในที่สุดผมได้เห็นว่าตนเองยังอ่อนหัดแม้จะได้ทำตามฝัน และลึกลงไปกว่านั้นผมค้นพบว่ามันเป็นเสมือนเรื่องสมมติ ยิ่งพออายุมากขึ้นก็เริ่มค้นหาบางสิ่งบางอย่าง สิ่งที่คนเรียกกันว่าความหมายของชีวิต ค้นหาแม้กระทั่งความฝันที่ตัวเองทำอยู่ และกลับเป็นผมเองที่ติดกับดักของความว่างเปล่าในจิตใจ ผมรู้สึกว่าความฝันเป็นแค่อีโก้ที่เราสร้างมันขึ้นมา
พอถึงตรงนี้ผมอยากจะบอกว่า แนวคิดเรื่องความฝันกับชีวิตที่เคยมีมาไม่ใช่เรื่องผิด ผมแค่อยากมองมันอีกด้านหนึ่ง อยากมองให้ลึกลงไปว่าตัวตนที่แท้จริงจองมันเป็นอย่างไร คือคนที่มีฝันอยากทำตามฝันก็ทำได้เลย มันอาจจะดีอย่างที่หลายคนว่าไว้ การได้บรรลุบางสิ่งที่ตั้งเป้าไว้มันเป็นสิ่งดี ผมก็เห็นด้วย
คราวนี้มุมมองต่อการมีชีวิตของผมเริ่มเปลี่ยนไปในที่สุด ผมมองว่าำการที่ผมมีความฝันหรือบรรลุความต้องการไม่ใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่อะไร ยิ่งพอคาดหวังเมื่อตัวเองอายุมากขึ้น กลับเป็นเรื่องปากท้องเรื่องการเอาตัวรอดที่ผุดขึ้นมาแทนที่เรื่องเดิมๆที่เคยคิดไว้ ยิ่งพอเรารู้ว่าตนเองไม่ใช่สิ่งพิเศษหรือสิ่งที่ยิ่งใหญ่แล้ว เรากลับรู้สึกถึงการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่ง รู้สึกถึงการหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ดิน น้ำ อากาศ แสงแดด การเกิด การหมุนเวียน การดับสูญ และการทำลายล้างอีโก้ รวมถึงการมองข้ามความฝัน
ผมเริ่มใช้เวลากับธรรมชาติมากขึ้น เริ่มหาที่มาของอาหาร ปลูกผักกินเอง ใช้จอบขุดดินและมองพระอาทิตย์ ขณะที่อีกด้านก็ยังหาเลี้ยงชีพเพื่อประทังชีวิตอยู่ โดยไม่ได้มองเรื่องความฝันเป็นเรื่องใหญ่อีกแล้ว ผมเคยproundมากที่ตัวเองได้ทำตามฝัน จนกระทั่งวันหนึ่งตอนผมเข้าส้วม ผมก็เก็ตไอเดียว่าจริงๆแล้วตนเองก็คือมนุษย์ที่นั่งยองๆถ่ายอยู่ ไม่ต่างจากสรรพสิ่งรอบตัว ผมรู้สึกอยากทำลายอีโก้ ผมรู้สึกว่าการยึดความฝันที่ผ่านมาเป็นเรื่องอีโก้ ซึ่งถึงที่สุดแล้วมันไม่มีอะไร แต่บางครั้งผมก็รู้สึกอยากทำตามฝันอีก เพราะแค่รู้สึกว่าเสียดายโอกาส เหมือนกับว่าโอกาสที่คนทั่วไปจะได้เข้าถึงสิ่งนี้มันยาก แต่ก็ยังคิดไม่ออกเสียที
ในที่สุดผมก็รู้สึกหลงทางนิดๆและสับสนหน่อยๆ ยิ่งเวลาได้พบปะผู้คน ได้พูดคุยกันถึงเรื่องชีวิต อนาคต และความต้องการ บางครั้งผมรู้สึกแทนพวกเขา คิดแทนพวกเขา คิดว่าทำไมเขาถึงหมกมุ่นกับเรื่องเปล่าเปลือง เรื่องวัตถุ เรื่องหน้าตา เรื่องความคาดหวังของสังคม ผมจะมองเห็นตัวเองในที่ที่ผมขุดแปลงปลูกผัก ผมอยากจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไร หรือทั้งหมดที่ว่ามามันอาจจะเป็นอีโก้ของผมเอง