เวลานี้ใครๆ ก็อ้างกันแต่เรื่องประชาธิปไตย แล้วก็กล่าวหาคนที่มีความเห็นไม่ตรงกับตัวว่าไม่เป็นประชาธิปไตย แม้กระทั่งนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็พูดถึงเรื่องประชาธิปไตยบ่อยขึ้นและมากขึ้น ผิดจากแต่ก่อนมาที่ทำหน้าตาเจี๋ยมเจี้ยมประหนึ่งไม่ประสีประสาทางการเมือง
เวลานี้ นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ประกาศตนต่อเวทีนานาชาติแล้วว่าเป็นผู้ยืนข้างประชาธิปไตย และกล่าวหาใครต่อใครที่ไม่เห็นด้วยกับตนว่าเป็นพวกปฏิกิริยาหรือเป็นฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตย
จึงเกิดเรื่องฮือฮาและกลายเป็นว่าขณะนี้นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ละทิ้งจุดแข็งแต่ก่อนมาที่แสดงออกในลักษณะอ่อนหวาน อ่อนโยน ยิ้มแย้ม แจ่มใสและไร้เดียงสาทางการเมืองมาเป็นการแสดงออกในลักษณะแข็งกร้าว เด็ดขาด ในสิ่งที่พิทักษ์และปกป้องพี่ชายและผู้คนในครอบครัวของตนเอง
ความจริงในเรื่องประชาธิปไตยนั้น ก็โต้เถียงกันแบบนี้มานานแล้ว เมื่อครั้ง ฮิตเลอร์ ครองอำนาจในเยอรมนี มุสโสลินี ครองอำนาจในอิตาลี และนายพลโตโจครองอำนาจในญี่ปุ่นก็ล้วนอ้างการเลือกตั้ง ล้วนแต่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย ทั้งที่จริงๆ แล้วแม้จะมาจากการเลือกตั้ง แต่ก็คือ เผด็จการทรราชสามานย์
เป็นเผด็จการทรราชสามานย์ที่ให้ประเทศเยอรมนีอิตาลี และญี่ปุ่นต้องพินาศ

วายวอดยับเยินยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ในประวัติศาสตร์ จึงทำให้ชนรุ่นหลังกล่าวขานประชาธิปไตยดังกล่าวนั้นว่าเป็นประชาธิปไตยแบบฟาสซิสต์
ประชาธิปไตยแบบฟาสซิสต์ที่ว่านั้นก็คือ การกุมกำลังอำนาจในรัฐสภาและในรัฐบาลไม่เห็นหัวศาลสถิตยุติธรรมที่จะประสิทธิ์ประสาทความเป็นธรรมและรักษาขื่อแปของบ้านเมือง แม้ภายนอกจะอ้างว่า อำนาจอธิปไตยทั้งสามคืออำนาจนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบอบประชาธิปไตย แต่เมื่อเหยียบหรือทิ้งอำนาจตุลาการไปแล้ว เหลือแต่อำนาจบริหารและนิติบัญญัติจนกลายเป็นระบบฟาสซิสต์ไปแล้วก็ยังเพ้อเจ้ออ้างว่าเป็นประชาธิปไตย
ในวันนี้นักการเมืองกุมเสียงข้างมากในรัฐสภาจนกระทั่งอาณาประชาราษฎร์ประณามหยามเหยียดว่าเสียงข้างมากในรัฐสภานั้นไม่ใช่เสียงของประชาชน เป็นแค่เสียงของผีโม่แป้งที่อยู่ในอำนาจบงการสั่งการของรัฐบาล และรัฐบาลนั้นก็เป็นแค่ผีโม่แป้งเหมือนกัน
เพราะไม่ใช่เป็นรัฐบาลของประชาชน แต่เป็น รัฐบาลของนักโทษซึ่งกำลังหนีคดีและหนีหมายจับของศาลหลายคดี ต้องร่อนเร่เป็นสัมภเวสีอยู่ในโลกขณะนี้เหตุนี้ปัญหาทั้งหลายของประเทศชาติจึงนอกจากไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไขแล้ว กลับทรุดหนักลงในทุกด้านความเดือดร้อนทุกข์เข็ญแผ่กระจายไปในทุกหย่อมหญ้า
ถ้าเพียงเท่านี้ก็คงเรียกประชาธิปไตยที่เป็นอยู่ในบ้านเมืองของเรานี้ว่าเป็นเผด็จการฟาสซิสต์แบบเดียวกับประชาธิปไตยของฮิตเลอร์ มุสโสลินี และนายพลโตโจ ที่ทำเอาชาติมหาอำนาจทั้งสามพินาศย่อยยับ เป็นเชลยศึกสงครามให้ปรากฏมาแล้ว
แต่นักการเมืองที่ไร้ธรรม ครั้นมีอำนาจแล้วก็ลืมประวัติศาสตร์แต่หนหลังไปหมดสิ้น ฮึกเหิมลำพองว่ามีอำนาจรัฐ มีอำนาจเงิน และมีคนเสื้อแดงเป็นลิ่วล้อบริวารแล้ว
จะทำการอะไรก็ได้ดังใจชอบ แม้กระทั่งจะทำระบอบฟาสซิสต์ให้เป็นประชาธิปไตยก็คิดว่าจะเป็นไปได้
มันไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้เลย เผด็จการฟาสซิสต์ก็ย่อมเป็นเผด็จการฟาสซิสต์วันยังค่ำ
และถ้าว่ากันให้ถึงแก่นแท้ เผด็จการฟาสซิสต์แบบฮิตเลอร์ มุสโสลินี และโตโจ ก็ยังดีกว่าเผด็จการแบบตั๋งโต๊ะ เพราะจะทำการสิ่งใดก็ยังคิดถึงชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง เป็นแต่ว่าที่คิดนั้นผิดและเป็นมิจฉาทิฐิ
ส่วนเผด็จการแบบตั๋งโต๊ะหรือจะเรียกแบบโง่ๆว่าประชาธิปไตยแบบตั๋งโต๊ะนั้น นอกจากเป็นเผด็จการฟาสซิสต์เต็มรูปแบบแล้ว ความเป็นเผด็จการฟาสซิสต์นั้น มิได้คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเลยแม้แต่น้อยหากเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตัวเองและครอบครัวตัวเอง 2-3 ครอบครัวเท่านั้น
ระบอบประชาธิปไตยแบบตั๋งโต๊ะจึงเป็นระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ที่ชั่วช้าสามานย์ ดังจะยกพฤติการณ์บางอย่างมาเป็นอุทาหรณ์
ประการแรก ระบอบของตั๋งโต๊ะไม่ได้คำนึงถึงประเทศชาติและอาณาประชาราษฎร์เป็นที่ตั้ง ทำการทั้งปวงมิได้คิดถึงประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม คิดแต่จะโกง โกง และสรรพโกง จนกลายเป็นโคตรโกงและโกงทั้งโคตรในแวดวง 2-3 ตระกูลเท่านั้น
ประการที่สอง ระบอบของตั๋งโต๊ะเป็นระบอบที่คิดคดทรยศกบฏชาติและราชบัลลังก์ ปากพล่ามว่าจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ แต่ในการกระทำเบียดเบียนข่มเหงรังแกฮ่องเต้สารพัดวิธี และคิดจะ

ทุกลมหายใจเข้าออก
ประการที่สาม ระบอบของตั๋งโต๊ะเป็นระบอบที่เอาแต่วงศาคณาญาติและลิ่วล้อข้าทาสบริวาร เห็นคนอื่นเป็นแค่ผีโม่แป้งหรือทาสในเรือนเบี้ยที่ไม่ยอมให้ใช้ความคิดและสติปัญญา ถูกสั่งสอนให้ท่องอยู่ในใจว่า ต้องทำตามที่มันคิดก็ใช้ได้แล้ว
ประการที่สี่ ระบอบของตั๋งโต๊ะปล้นชาติฉ้อราษฎร์บังหลวง ชักรายได้แผ่นดินถึง 30% เข้าโคตรวงศ์พงศาแค่ 2-3 ตระกูล
ประการที่ห้า ระบอบของตั๋งโต๊ะสร้างภาพเอื้ออาทรประชาราษฎร์หลอกลวงมาเป็นพวก แต่แท้ที่จริงโหดเหี้ยมอำมหิตต่อราษฎร ทำราษฎรให้เป็นทาส และอำมหิตถึงขนาดตัดลิ้น ตัดหัว ตัดหู และจับทอดน้ำมัน
ระบอบการปกครองใดก็ตาม ต่อให้เข้มแข็งเกรียงไกรสักเพียงไหน เมื่อกลายเป็นระบอบตั๋งโต๊ะไปแล้วก็ต้องพินาศแน่และตายแน่ด้วยน้ำมือของคนใกล้ชิดนั่นแล
ที่มา:
http://www.naewna.com/politic/columnist/6559
ปล.ผมว่ามันคล้ายกับ ประชาธิปไตยของไทยตอนนี้เลยนะครับ...เอิ๊ก ๆ ๆ
ประชาธิปไตยแบบตั๋งโต๊ะ..!
เวลานี้ นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ประกาศตนต่อเวทีนานาชาติแล้วว่าเป็นผู้ยืนข้างประชาธิปไตย และกล่าวหาใครต่อใครที่ไม่เห็นด้วยกับตนว่าเป็นพวกปฏิกิริยาหรือเป็นฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตย
จึงเกิดเรื่องฮือฮาและกลายเป็นว่าขณะนี้นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ละทิ้งจุดแข็งแต่ก่อนมาที่แสดงออกในลักษณะอ่อนหวาน อ่อนโยน ยิ้มแย้ม แจ่มใสและไร้เดียงสาทางการเมืองมาเป็นการแสดงออกในลักษณะแข็งกร้าว เด็ดขาด ในสิ่งที่พิทักษ์และปกป้องพี่ชายและผู้คนในครอบครัวของตนเอง
ความจริงในเรื่องประชาธิปไตยนั้น ก็โต้เถียงกันแบบนี้มานานแล้ว เมื่อครั้ง ฮิตเลอร์ ครองอำนาจในเยอรมนี มุสโสลินี ครองอำนาจในอิตาลี และนายพลโตโจครองอำนาจในญี่ปุ่นก็ล้วนอ้างการเลือกตั้ง ล้วนแต่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย ทั้งที่จริงๆ แล้วแม้จะมาจากการเลือกตั้ง แต่ก็คือ เผด็จการทรราชสามานย์
เป็นเผด็จการทรราชสามานย์ที่ให้ประเทศเยอรมนีอิตาลี และญี่ปุ่นต้องพินาศ
ประชาธิปไตยแบบฟาสซิสต์ที่ว่านั้นก็คือ การกุมกำลังอำนาจในรัฐสภาและในรัฐบาลไม่เห็นหัวศาลสถิตยุติธรรมที่จะประสิทธิ์ประสาทความเป็นธรรมและรักษาขื่อแปของบ้านเมือง แม้ภายนอกจะอ้างว่า อำนาจอธิปไตยทั้งสามคืออำนาจนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบอบประชาธิปไตย แต่เมื่อเหยียบหรือทิ้งอำนาจตุลาการไปแล้ว เหลือแต่อำนาจบริหารและนิติบัญญัติจนกลายเป็นระบบฟาสซิสต์ไปแล้วก็ยังเพ้อเจ้ออ้างว่าเป็นประชาธิปไตย
ในวันนี้นักการเมืองกุมเสียงข้างมากในรัฐสภาจนกระทั่งอาณาประชาราษฎร์ประณามหยามเหยียดว่าเสียงข้างมากในรัฐสภานั้นไม่ใช่เสียงของประชาชน เป็นแค่เสียงของผีโม่แป้งที่อยู่ในอำนาจบงการสั่งการของรัฐบาล และรัฐบาลนั้นก็เป็นแค่ผีโม่แป้งเหมือนกัน
เพราะไม่ใช่เป็นรัฐบาลของประชาชน แต่เป็น รัฐบาลของนักโทษซึ่งกำลังหนีคดีและหนีหมายจับของศาลหลายคดี ต้องร่อนเร่เป็นสัมภเวสีอยู่ในโลกขณะนี้เหตุนี้ปัญหาทั้งหลายของประเทศชาติจึงนอกจากไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไขแล้ว กลับทรุดหนักลงในทุกด้านความเดือดร้อนทุกข์เข็ญแผ่กระจายไปในทุกหย่อมหญ้า
ถ้าเพียงเท่านี้ก็คงเรียกประชาธิปไตยที่เป็นอยู่ในบ้านเมืองของเรานี้ว่าเป็นเผด็จการฟาสซิสต์แบบเดียวกับประชาธิปไตยของฮิตเลอร์ มุสโสลินี และนายพลโตโจ ที่ทำเอาชาติมหาอำนาจทั้งสามพินาศย่อยยับ เป็นเชลยศึกสงครามให้ปรากฏมาแล้ว
แต่นักการเมืองที่ไร้ธรรม ครั้นมีอำนาจแล้วก็ลืมประวัติศาสตร์แต่หนหลังไปหมดสิ้น ฮึกเหิมลำพองว่ามีอำนาจรัฐ มีอำนาจเงิน และมีคนเสื้อแดงเป็นลิ่วล้อบริวารแล้ว
จะทำการอะไรก็ได้ดังใจชอบ แม้กระทั่งจะทำระบอบฟาสซิสต์ให้เป็นประชาธิปไตยก็คิดว่าจะเป็นไปได้
มันไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้เลย เผด็จการฟาสซิสต์ก็ย่อมเป็นเผด็จการฟาสซิสต์วันยังค่ำ
และถ้าว่ากันให้ถึงแก่นแท้ เผด็จการฟาสซิสต์แบบฮิตเลอร์ มุสโสลินี และโตโจ ก็ยังดีกว่าเผด็จการแบบตั๋งโต๊ะ เพราะจะทำการสิ่งใดก็ยังคิดถึงชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง เป็นแต่ว่าที่คิดนั้นผิดและเป็นมิจฉาทิฐิ
ส่วนเผด็จการแบบตั๋งโต๊ะหรือจะเรียกแบบโง่ๆว่าประชาธิปไตยแบบตั๋งโต๊ะนั้น นอกจากเป็นเผด็จการฟาสซิสต์เต็มรูปแบบแล้ว ความเป็นเผด็จการฟาสซิสต์นั้น มิได้คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเลยแม้แต่น้อยหากเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตัวเองและครอบครัวตัวเอง 2-3 ครอบครัวเท่านั้น
ระบอบประชาธิปไตยแบบตั๋งโต๊ะจึงเป็นระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ที่ชั่วช้าสามานย์ ดังจะยกพฤติการณ์บางอย่างมาเป็นอุทาหรณ์
ประการแรก ระบอบของตั๋งโต๊ะไม่ได้คำนึงถึงประเทศชาติและอาณาประชาราษฎร์เป็นที่ตั้ง ทำการทั้งปวงมิได้คิดถึงประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม คิดแต่จะโกง โกง และสรรพโกง จนกลายเป็นโคตรโกงและโกงทั้งโคตรในแวดวง 2-3 ตระกูลเท่านั้น
ประการที่สอง ระบอบของตั๋งโต๊ะเป็นระบอบที่คิดคดทรยศกบฏชาติและราชบัลลังก์ ปากพล่ามว่าจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ แต่ในการกระทำเบียดเบียนข่มเหงรังแกฮ่องเต้สารพัดวิธี และคิดจะ
ประการที่สาม ระบอบของตั๋งโต๊ะเป็นระบอบที่เอาแต่วงศาคณาญาติและลิ่วล้อข้าทาสบริวาร เห็นคนอื่นเป็นแค่ผีโม่แป้งหรือทาสในเรือนเบี้ยที่ไม่ยอมให้ใช้ความคิดและสติปัญญา ถูกสั่งสอนให้ท่องอยู่ในใจว่า ต้องทำตามที่มันคิดก็ใช้ได้แล้ว
ประการที่สี่ ระบอบของตั๋งโต๊ะปล้นชาติฉ้อราษฎร์บังหลวง ชักรายได้แผ่นดินถึง 30% เข้าโคตรวงศ์พงศาแค่ 2-3 ตระกูล
ประการที่ห้า ระบอบของตั๋งโต๊ะสร้างภาพเอื้ออาทรประชาราษฎร์หลอกลวงมาเป็นพวก แต่แท้ที่จริงโหดเหี้ยมอำมหิตต่อราษฎร ทำราษฎรให้เป็นทาส และอำมหิตถึงขนาดตัดลิ้น ตัดหัว ตัดหู และจับทอดน้ำมัน
ระบอบการปกครองใดก็ตาม ต่อให้เข้มแข็งเกรียงไกรสักเพียงไหน เมื่อกลายเป็นระบอบตั๋งโต๊ะไปแล้วก็ต้องพินาศแน่และตายแน่ด้วยน้ำมือของคนใกล้ชิดนั่นแล
ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/6559
ปล.ผมว่ามันคล้ายกับ ประชาธิปไตยของไทยตอนนี้เลยนะครับ...เอิ๊ก ๆ ๆ