"เสี่ยปู่"..สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล บอกว่า




ปัจจุบันพอร์ตลงทุนมีหุ้นอยู่ทั้งหมดประมาณ 12 ตัว มูลค่า "หลักพันล้านบาท" มีกำไรเกือบทุกตัว
ลักษณะการลงทุนจะเล่นหุ้นคนเดียว เพราะมีรูปแบบการเล่นหุ้นไม่เหมือนใคร
สมัยก่อนจะลงทุนแบบนักเก็งกำไร
แต่เมื่อพอร์ตลงทุนใหญ่ขึ้นและมีโอกาสได้อ่านหนังสือของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เมื่อหลายปีก่อนก็ทำให้รูปแบบการลงทุนเปลี่ยนไป
"ผมอ่านหนังสือของวอร์เรน บัฟเฟตต์ไม่ต่ำกว่า 10 รอบ และเริ่มเปลี่ยนสไตล์มาเป็นแวลูอินเวสเตอร์ เดี๋ยวนี้รู้สึกดีที่พักหลังๆ เริ่มมีคนฟังคำแนะนำของผมมากขึ้น มีคนถามมากว่าอะไรทำให้เปลี่ยนมาลงทุนแนวนี้ ผมมักตอบเสมอว่าเป็นเพราะหนังสือของวอร์เรน บัฟเฟตต์"
เสี่ยปู่ เล่าที่มาที่ไป
สำหรับเคล็ดลับพิชิตหุ้นสูตรแวลูอินเวสเตอร์รายนี้ มีหลักการพิจารณา 3 ข้อหลักๆ คือ
1.ดูปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่จะลงทุนอย่างละเอียด โดยจะเน้นเป็นพิเศษ
คือ "งบการเงิน" บริษัทที่มีฐานะทางการเงินดีจะเป็นตัวบ่งบอกทิศทางราคาหุ้นได้ค่อนข้างชัดเจน
"ผมจะย้อนดูว่าบริษัทนี้มีกำไรเติบโตต่อเนื่องหรือไม่ และมองต่อไปว่าบริษัทนี้ผลการดำเนินงานมีโอกาสเติบโตได้ในระดับ 20% หรือไม่"
2. ดูบริษัทที่หุ้นมีราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี (ราคาต่ำกว่าส่วนของเจ้าของ) ถ้าผลการดำเนินงานของบริษัทนั้นมีทิศทางการเติบโตที่ดีแต่ราคาหุ้นยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี หุ้นตัวนั้นก็ยิ่งน่าสนใจ (แวลูอินเวสเตอร์จะบอกว่าหุ้นนั้นมี Margin of Safety)
3. จะดูลักษณะกิจการและดูรายรับต้องมากกว่ารายจ่าย (ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสด หรือ EBITDA) เพราะจะเป็นตัวชี้ว่าถึงสิ้นปีบริษัทนี้จะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในระดับเท่าใด
"ผมเชื่อว่าหลักการเพียงเท่านี้ก็ทำกำไรได้แล้ว ผมจะแฮปปี้มากถ้าหุ้นที่ลงทุนให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลได้ประมาณ 10% ถ้าได้ขนาดนี้จะถือยาวไม่ยอมปล่อย"
ประสบการณ์สอนให้เสี่ยปู่ฟังคนอื่นแต่เชื่อตัวเองมากกว่าเชื่อทุกคน เนื่องจากลงทุนครั้งละมากๆ
วิธีการหาข้อมูลเชิงลึกเขาจะขอเข้าไป "คอมพานี วิสิท" ซักไซร้ผู้บริหารเหมือนที่กองทุนใหญ่ๆทำกัน
และประเมินว่าที่ผู้บริหารบอก "ขี้โม้" หรือ "ทำได้จริง"
เสี่ยปู่บอกว่า บางครั้งก็ฟังมาร์เก็ตติ้งและฟังนักวิเคราะห์ แต่เวลาตัดสินใจลงทุนส่วนใหญ่จะคิดเอง
ถ้าสนใจหุ้นตัวไหนเป็นพิเศษก็จะให้ บล.กิมเอ็ง โบรกเกอร์หลักที่ซื้อขายผ่าน 60-70% ของพอร์ต เป็นคนติดต่อขอไปฟังวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร องค์ประกอบของบริษัทที่ดีในเชิงคุณภาพ เสี่ยปู่เน้นว่าทีมผู้บริหารจะต้องมีความเป็นมืออาชีพสูงและเชี่ยวชาญในธุรกิจที่ทำ และตัวชี้วัดหนึ่งก็คือ ความสามารถในการบริหารหนิ้สินให้ "สมดุล" กับขนาดสินทรัพย์ บริษัทที่ดีจะต้องไม่มีหนี้สินที่มากเกินความจำเป็น
ส่วนหุ้นที่จะโฟกัสเป็นพิเศษโดยเฉพาะการลงทุนหลังวิกฤติยังคงนโยบายเดิมคือ ต้องลงทุนหุ้น "เทิร์นอะราวด์"
(ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นขนาดกลาง)
อย่างตอนนี้เล็งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เอาไว้ ที่สนใจคือ CCET และ SVI สองตัวนี้ธุรกิจค่อนข้างน่าสนใจและราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี อย่างตัว CCET บุ๊คอยู่ 3.93 บาท ราคาปัจจุบัน 3.36 บาท
ส่วนหุ้น SVI แนวโน้มผลประกอบการน่าจะเติบโตได้ต่อเนื่อง บริษัทนี้ทีมผู้บริหารเขาเก่ง ปัจจุบันก็ได้ทยอยเก็บสะสมหุ้นไปบ้างแล้ว โดยได้ซื้อหุ้น CCET ที่ราคา 2.50 บาท ถือเป็นต้นทุนที่ไม่สูงและไม่ต่ำเกินไป เพราะเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเคยลงไป 1 บาท แต่ตอนนั้นเข้าไปซื้อไม่ทัน ส่วนหุ้น SVI มีต้นทุนแถวๆ 2 บาท
นอกจากนี้ยังสนใจหุ้น QH มองว่ากำไรสุทธิยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่หุ้นตัวนี้ยอมรับตรงๆว่า "พลาดบ่อย" ขายถูกทุกที ประเมินไม่ออกและหุ้นผันผวนสูง อีกตัวที่ชอบคือหุ้น PS ตัวนี้ผลประกอบการเพิ่มขึ้นทุกปี
ส่วนหุ้นดาวเด่นในพอร์ตเสี่ยปู่เจ้าตัวไม่ปิดบัง "อันดับหนึ่ง" ต้องยกนิ้วให้หุ้น LPN ปัจจุบันถืออยู่ 34.48 ล้านหุ้น สัดส่วน 2.34% หุ้นที่ถืออยู่ในพอร์ตในปี 2552 เชื่อว่าจะได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลมากกว่า 10% ตราบใดที่บริษัทยังสามารถสร้างผลกำไรได้มากขึ้น อีกไม่นานราคาหุ้นก็จะวิ่งขึ้นมาเอง
"ผมชอบหุ้น LPN มากถึงขนาดมีความคิดว่า ถ้าราคาหุ้นตกต่ำกว่า 5 บาท จะทยอยขายหุ้น PRIN ที่ถืออยู่ 11.26% มาซื้อหุ้น LPN เพิ่ม เพราะถ้าเทียบประสิทธิภาพการทำกำไรจะพบว่า LPN มีภาษีเหนือกว่า ที่ผ่านมาการลงทุนในหุ้น PRIN และ RPC ผมถือเป็นความผิดพลาดครั้งสำคัญ เพราะเคยคิดว่าจะได้กำไรแต่สุดท้ายก็ขาดทุน แต่ไม่มากเท่าไรยังพอรับได้"
ตัวที่สองที่ชอบคือหุ้น MINT ปัจจุบันถืออยู่ 20.19 ล้านหุ้น สัดส่วน 0.62% เสี่ยปู่ให้เหตุผลว่าหุ้นตัวนี้มีสภาพคล่องดี ถึงผู้บริหารจะประกาศว่าในปี 2552 กำไรสุทธิมีแนวโน้มเติบโตต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี เพราะธุรกิจโรงแรมเป็นตัวฉุดกำไร แต่ราคาหุ้น MINT ก็ยังขึ้นได้จาก 8 บาท ไปที่ 12 บาท
"ผมตั้งใจจะถือหุ้น MINT อีก 1-2 ปีหากเศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจนและการเมืองเริ่มนิ่ง เชื่อว่าราคาหุ้นมีโอกาสทำ “จุดสูงสุด” ครั้งใหม่ได้ หุ้นตัวนี้ผมถือต้นทุนต่ำมาก 2.50 บาท"
อันดับสามที่ชอบคือหุ้น SIS ปัจจุบันถืออยู่ 10.20 ล้านหุ้น สัดส่วน 5.02% ถ้าตรวจสอบประวัติการจ่ายเงินปันผลตั้งแต่ปี 2548 -2551 บริษัทนี้จ่ายสูงขึ้นต่อเนื่อง ในปี 2548 จ่าย 0.07 บาทต่อหุ้น ปี 2549 จ่าย 0.14 บาท ปี 2550 จ่าย 0.25 บาท และปี 2551 จ่าย 0.35 บาท
"ในปี 2552 หุ้น SIS มีแนวโน้มจะจ่ายเงินปันผลประมาณ 0.45 บาท ต้นทุนเฉลี่ยของผมอยู่ที่ 2.70 บาท แต่ราคาหุ้นซื้อขาย 6.50 บาท"
ส่วนอันดับ 4 ต้องยกให้หุ้น MFEC เสี่ยปู่บอกว่า หุ้นตัวนี้จ่ายเงินปันผลสูงมาตลอด ยกเว้นปี 2551 ที่จ่าย 0.45 บาท โดยในปี 2546 จ่าย 0.33 บาท ปี 2547 จ่าย 0.50 บาท ปี 2548 จ่าย 0.33 บาท ปี 2549 จ่าย 0.35 บาท และปี 2550 จ่าย 0.50 บาท คาดว่าในปี 2552 จะปันผล 0.45-0.50 บาท ขณะเดียวกันบริษัทยังใช้เงินลงทุนต่อปีต่ำมาก ต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4 บาท
"อันดับ 5 คือหุ้น AEONTS ถืออยู่ 1.24% ผมถือว่าหุ้นตัวนี้น่าสนใจมากเพราะกำไรขยายตัวต่อเนื่อง แต่หุ้นมีสภาพคล่องต่ำมากทำให้ไม่สามารถหาซื้อหุ้นในกระดานได้ แต่มีคนขายออกมาแล้วราคาหุ้นไม่สูงเกินไป ผมก็สนใจจะเข้าไปเก็บเพิ่ม"
หุ้นอีกตัวที่เสี่ยปู่พูดถึงคือหุ้น CPF ลงทุนไม่นานแต่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ เจ้าตัวเล่าว่า ซื้อเก็บไว้แล้ว 30 ล้านหุ้น ต้นทุนเฉลี่ย 3 บาทกว่า ปัจจุบันขึ้นไป 7 บาทแล้ว ในปีนี้กำไรสุทธิมีโอกาสขยายตัวประมาณ 20% หลังจากบริษัทหันมาเน้นธุรกิจอาหารพร้อมรับประทานเพราะมีมาร์จินดีกว่าธุรกิจอาหารสด ตรงนี้คือ "จุดหักเห" ของหุ้น เสี่ยปู่ประเมินว่าหุ้น CPF มีโอกาสขึ้นไป 8-9 บาท
เสี่ยปู่ให้ข้อคิดปิดท้ายว่า ทุกวิกฤติย่อมมาพร้อมกับโอกาสเสมอ อยู่ที่ว่าใครจะจับจังหวะถูกและกล้าเข้าไปซื้อหรือไม่ คนที่จะพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ต้องทำการบ้านสม่ำเสมอและแม่นในข้อมูล
ขอบพระคุณจ้าเสี่ยปู่
น้องมีวันนี้เพราะพี่ ขออวยพรให้พี่แข็งและแรงๆๆ รวยๆๆด้วยจร้ะ....บ่องตง พี่ปีางจุงเบย....เสี่ยปู่
เสี่ยปู่ สอนน้อง
ปัจจุบันพอร์ตลงทุนมีหุ้นอยู่ทั้งหมดประมาณ 12 ตัว มูลค่า "หลักพันล้านบาท" มีกำไรเกือบทุกตัว
ลักษณะการลงทุนจะเล่นหุ้นคนเดียว เพราะมีรูปแบบการเล่นหุ้นไม่เหมือนใคร
สมัยก่อนจะลงทุนแบบนักเก็งกำไร
แต่เมื่อพอร์ตลงทุนใหญ่ขึ้นและมีโอกาสได้อ่านหนังสือของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เมื่อหลายปีก่อนก็ทำให้รูปแบบการลงทุนเปลี่ยนไป
"ผมอ่านหนังสือของวอร์เรน บัฟเฟตต์ไม่ต่ำกว่า 10 รอบ และเริ่มเปลี่ยนสไตล์มาเป็นแวลูอินเวสเตอร์ เดี๋ยวนี้รู้สึกดีที่พักหลังๆ เริ่มมีคนฟังคำแนะนำของผมมากขึ้น มีคนถามมากว่าอะไรทำให้เปลี่ยนมาลงทุนแนวนี้ ผมมักตอบเสมอว่าเป็นเพราะหนังสือของวอร์เรน บัฟเฟตต์"
เสี่ยปู่ เล่าที่มาที่ไป
สำหรับเคล็ดลับพิชิตหุ้นสูตรแวลูอินเวสเตอร์รายนี้ มีหลักการพิจารณา 3 ข้อหลักๆ คือ
1.ดูปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่จะลงทุนอย่างละเอียด โดยจะเน้นเป็นพิเศษ
คือ "งบการเงิน" บริษัทที่มีฐานะทางการเงินดีจะเป็นตัวบ่งบอกทิศทางราคาหุ้นได้ค่อนข้างชัดเจน
"ผมจะย้อนดูว่าบริษัทนี้มีกำไรเติบโตต่อเนื่องหรือไม่ และมองต่อไปว่าบริษัทนี้ผลการดำเนินงานมีโอกาสเติบโตได้ในระดับ 20% หรือไม่"
2. ดูบริษัทที่หุ้นมีราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี (ราคาต่ำกว่าส่วนของเจ้าของ) ถ้าผลการดำเนินงานของบริษัทนั้นมีทิศทางการเติบโตที่ดีแต่ราคาหุ้นยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี หุ้นตัวนั้นก็ยิ่งน่าสนใจ (แวลูอินเวสเตอร์จะบอกว่าหุ้นนั้นมี Margin of Safety)
3. จะดูลักษณะกิจการและดูรายรับต้องมากกว่ารายจ่าย (ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสด หรือ EBITDA) เพราะจะเป็นตัวชี้ว่าถึงสิ้นปีบริษัทนี้จะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในระดับเท่าใด
"ผมเชื่อว่าหลักการเพียงเท่านี้ก็ทำกำไรได้แล้ว ผมจะแฮปปี้มากถ้าหุ้นที่ลงทุนให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลได้ประมาณ 10% ถ้าได้ขนาดนี้จะถือยาวไม่ยอมปล่อย"
ประสบการณ์สอนให้เสี่ยปู่ฟังคนอื่นแต่เชื่อตัวเองมากกว่าเชื่อทุกคน เนื่องจากลงทุนครั้งละมากๆ
วิธีการหาข้อมูลเชิงลึกเขาจะขอเข้าไป "คอมพานี วิสิท" ซักไซร้ผู้บริหารเหมือนที่กองทุนใหญ่ๆทำกัน
และประเมินว่าที่ผู้บริหารบอก "ขี้โม้" หรือ "ทำได้จริง"
เสี่ยปู่บอกว่า บางครั้งก็ฟังมาร์เก็ตติ้งและฟังนักวิเคราะห์ แต่เวลาตัดสินใจลงทุนส่วนใหญ่จะคิดเอง
ถ้าสนใจหุ้นตัวไหนเป็นพิเศษก็จะให้ บล.กิมเอ็ง โบรกเกอร์หลักที่ซื้อขายผ่าน 60-70% ของพอร์ต เป็นคนติดต่อขอไปฟังวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร องค์ประกอบของบริษัทที่ดีในเชิงคุณภาพ เสี่ยปู่เน้นว่าทีมผู้บริหารจะต้องมีความเป็นมืออาชีพสูงและเชี่ยวชาญในธุรกิจที่ทำ และตัวชี้วัดหนึ่งก็คือ ความสามารถในการบริหารหนิ้สินให้ "สมดุล" กับขนาดสินทรัพย์ บริษัทที่ดีจะต้องไม่มีหนี้สินที่มากเกินความจำเป็น
ส่วนหุ้นที่จะโฟกัสเป็นพิเศษโดยเฉพาะการลงทุนหลังวิกฤติยังคงนโยบายเดิมคือ ต้องลงทุนหุ้น "เทิร์นอะราวด์"
(ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นขนาดกลาง)
อย่างตอนนี้เล็งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เอาไว้ ที่สนใจคือ CCET และ SVI สองตัวนี้ธุรกิจค่อนข้างน่าสนใจและราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี อย่างตัว CCET บุ๊คอยู่ 3.93 บาท ราคาปัจจุบัน 3.36 บาท
ส่วนหุ้น SVI แนวโน้มผลประกอบการน่าจะเติบโตได้ต่อเนื่อง บริษัทนี้ทีมผู้บริหารเขาเก่ง ปัจจุบันก็ได้ทยอยเก็บสะสมหุ้นไปบ้างแล้ว โดยได้ซื้อหุ้น CCET ที่ราคา 2.50 บาท ถือเป็นต้นทุนที่ไม่สูงและไม่ต่ำเกินไป เพราะเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเคยลงไป 1 บาท แต่ตอนนั้นเข้าไปซื้อไม่ทัน ส่วนหุ้น SVI มีต้นทุนแถวๆ 2 บาท
นอกจากนี้ยังสนใจหุ้น QH มองว่ากำไรสุทธิยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่หุ้นตัวนี้ยอมรับตรงๆว่า "พลาดบ่อย" ขายถูกทุกที ประเมินไม่ออกและหุ้นผันผวนสูง อีกตัวที่ชอบคือหุ้น PS ตัวนี้ผลประกอบการเพิ่มขึ้นทุกปี
ส่วนหุ้นดาวเด่นในพอร์ตเสี่ยปู่เจ้าตัวไม่ปิดบัง "อันดับหนึ่ง" ต้องยกนิ้วให้หุ้น LPN ปัจจุบันถืออยู่ 34.48 ล้านหุ้น สัดส่วน 2.34% หุ้นที่ถืออยู่ในพอร์ตในปี 2552 เชื่อว่าจะได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลมากกว่า 10% ตราบใดที่บริษัทยังสามารถสร้างผลกำไรได้มากขึ้น อีกไม่นานราคาหุ้นก็จะวิ่งขึ้นมาเอง
"ผมชอบหุ้น LPN มากถึงขนาดมีความคิดว่า ถ้าราคาหุ้นตกต่ำกว่า 5 บาท จะทยอยขายหุ้น PRIN ที่ถืออยู่ 11.26% มาซื้อหุ้น LPN เพิ่ม เพราะถ้าเทียบประสิทธิภาพการทำกำไรจะพบว่า LPN มีภาษีเหนือกว่า ที่ผ่านมาการลงทุนในหุ้น PRIN และ RPC ผมถือเป็นความผิดพลาดครั้งสำคัญ เพราะเคยคิดว่าจะได้กำไรแต่สุดท้ายก็ขาดทุน แต่ไม่มากเท่าไรยังพอรับได้"
ตัวที่สองที่ชอบคือหุ้น MINT ปัจจุบันถืออยู่ 20.19 ล้านหุ้น สัดส่วน 0.62% เสี่ยปู่ให้เหตุผลว่าหุ้นตัวนี้มีสภาพคล่องดี ถึงผู้บริหารจะประกาศว่าในปี 2552 กำไรสุทธิมีแนวโน้มเติบโตต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี เพราะธุรกิจโรงแรมเป็นตัวฉุดกำไร แต่ราคาหุ้น MINT ก็ยังขึ้นได้จาก 8 บาท ไปที่ 12 บาท
"ผมตั้งใจจะถือหุ้น MINT อีก 1-2 ปีหากเศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจนและการเมืองเริ่มนิ่ง เชื่อว่าราคาหุ้นมีโอกาสทำ “จุดสูงสุด” ครั้งใหม่ได้ หุ้นตัวนี้ผมถือต้นทุนต่ำมาก 2.50 บาท"
อันดับสามที่ชอบคือหุ้น SIS ปัจจุบันถืออยู่ 10.20 ล้านหุ้น สัดส่วน 5.02% ถ้าตรวจสอบประวัติการจ่ายเงินปันผลตั้งแต่ปี 2548 -2551 บริษัทนี้จ่ายสูงขึ้นต่อเนื่อง ในปี 2548 จ่าย 0.07 บาทต่อหุ้น ปี 2549 จ่าย 0.14 บาท ปี 2550 จ่าย 0.25 บาท และปี 2551 จ่าย 0.35 บาท
"ในปี 2552 หุ้น SIS มีแนวโน้มจะจ่ายเงินปันผลประมาณ 0.45 บาท ต้นทุนเฉลี่ยของผมอยู่ที่ 2.70 บาท แต่ราคาหุ้นซื้อขาย 6.50 บาท"
ส่วนอันดับ 4 ต้องยกให้หุ้น MFEC เสี่ยปู่บอกว่า หุ้นตัวนี้จ่ายเงินปันผลสูงมาตลอด ยกเว้นปี 2551 ที่จ่าย 0.45 บาท โดยในปี 2546 จ่าย 0.33 บาท ปี 2547 จ่าย 0.50 บาท ปี 2548 จ่าย 0.33 บาท ปี 2549 จ่าย 0.35 บาท และปี 2550 จ่าย 0.50 บาท คาดว่าในปี 2552 จะปันผล 0.45-0.50 บาท ขณะเดียวกันบริษัทยังใช้เงินลงทุนต่อปีต่ำมาก ต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4 บาท
"อันดับ 5 คือหุ้น AEONTS ถืออยู่ 1.24% ผมถือว่าหุ้นตัวนี้น่าสนใจมากเพราะกำไรขยายตัวต่อเนื่อง แต่หุ้นมีสภาพคล่องต่ำมากทำให้ไม่สามารถหาซื้อหุ้นในกระดานได้ แต่มีคนขายออกมาแล้วราคาหุ้นไม่สูงเกินไป ผมก็สนใจจะเข้าไปเก็บเพิ่ม"
หุ้นอีกตัวที่เสี่ยปู่พูดถึงคือหุ้น CPF ลงทุนไม่นานแต่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ เจ้าตัวเล่าว่า ซื้อเก็บไว้แล้ว 30 ล้านหุ้น ต้นทุนเฉลี่ย 3 บาทกว่า ปัจจุบันขึ้นไป 7 บาทแล้ว ในปีนี้กำไรสุทธิมีโอกาสขยายตัวประมาณ 20% หลังจากบริษัทหันมาเน้นธุรกิจอาหารพร้อมรับประทานเพราะมีมาร์จินดีกว่าธุรกิจอาหารสด ตรงนี้คือ "จุดหักเห" ของหุ้น เสี่ยปู่ประเมินว่าหุ้น CPF มีโอกาสขึ้นไป 8-9 บาท
เสี่ยปู่ให้ข้อคิดปิดท้ายว่า ทุกวิกฤติย่อมมาพร้อมกับโอกาสเสมอ อยู่ที่ว่าใครจะจับจังหวะถูกและกล้าเข้าไปซื้อหรือไม่ คนที่จะพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ต้องทำการบ้านสม่ำเสมอและแม่นในข้อมูล
ขอบพระคุณจ้าเสี่ยปู่
น้องมีวันนี้เพราะพี่ ขออวยพรให้พี่แข็งและแรงๆๆ รวยๆๆด้วยจร้ะ....บ่องตง พี่ปีางจุงเบย....เสี่ยปู่