ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวานนี้ (7พ.ค) ได้หารือ ร่วมกันเกี่ยวกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนค่าบาท โดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุม ว่าได้รายงานต่อที่ประชุม ครม.ถึงสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนที่สถานการณ์การแข็งค่าของเงินบาทเริ่มมีการคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น และอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพพอสมควร รวมถึงได้ส่งช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมากระทรวงการคลังทำหนังสือสอบถามไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยชี้แจง ใน 3 ประเด็น และที่ประชุมได้หารือถึง 4 มาตรการ ที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้เสนอให้กับกระทรวงการคลังพิจารณาประกอบด้วย
1.เมื่อธปท.ออกพันธบัตรอาจห้ามนักลงทุนต่างประเทศซื้อพันธบัตรหรือจำกัดการซื้อ
2. เมื่อกระทรวงการคลังออกพันธบัตรจะกำหนดระยะเวลาการถือครอง เข่น 3 เดือน หรือ 6 เดือน เพื่อเป็นการป้องกันการเก็งกำไรของนักลงทุนโดย 2 มาตรการแรก ธปท.สามารถดำเนินการได้เอง
3. ควรเก็บค่าภาษีและค่าธรรมเนียมการลงทุนในตลาดตราสารหนี้เมื่อได้รับผลตอบแทนในเชิงบวกจากเดิมที่เก็บแค่นักลงทุนไทยแต่จะเริ่มเก็บในส่วนของนักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทย
4. กรณีนักลงทุนต่างประเทศนำเงินทุนเข้ามาในตลาดทุนไทยต้องทำประกันเพื่อป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อบังคับไม่ให้ได้รับผลตอบแทนในเชิงบวกและได้รับความเสี่ยงในเชิงลบถือเป็นมาตรการขั้นรุนแรงที่ทั่วโลกไม่เคยมีการนำมาใช้
หากนำมาตรการข้อ 3 และ 4 มาใช้จำเป็นต้องมีการแก้ไขข้อกฎหมายของกระทรวงการคลังเนื่องจากนักลงทุนที่นำเงินเข้ามาต้องมีมาตรการสำรองเงินไว้ส่วนหนึ่ง ซึ่งอดีตผู้ว่าการ ธปท. ที่ปฏิบัติหน้าที่เมื่อปี 2549 ได้นำมาใช้จนกระทบตลาดหุ้นร่วงอย่างรุนแรง ครม.จึงไม่อยากให้มีการบังคับ ใช้ในมาตรการดังกล่าวโดยให้ ธปท.และกระทรวงการคลังกลับไปหารือร่วมกันถึงผลดีผลเสียและมีหน่วยงานใดรับผิดชอบส่วนใดบ้าง
กิตติรัตน์ กล่าวว่า ทั้ง 4มาตรการที่ธนาคารแห่งประเศไทยเสนอมานั้น มีทั้งมาตรการที่ ธปท.สามารถตัดสินใจดำเนินการได้ตามเวลาที่เหมาะสม และมาตรการโดยกระทรวงการคลังแก้ไขกฎระเบียบเพื่อประกาศใช้ โดยได้ย้ำกลับไปว่ามาตรการที่ ธปท.พร้อมนำออกมาบังคับใช้ขอให้พิจารณาอย่างรอบคอบ “ 4 มาตรการที่ธปท.เสนอมาถือว่าเพียงพอ แต่ก็ต้องดูความเหมาะสมเพราะมาตรการทางเศรษฐกิจก็มีเรื่องที่ดีและเสียควบคู่กันไปต้องชั่งน้ำหนักให้ดี” กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ทั้งนี้ กนง.ระบุว่าทั้ง 4 มาตรการต้องเสนอข้อดีข้อเสียให้ กนง.ก่อนจะตัดสินใจ
สำหรับ 3ประเด็นที่กระทรวงคลังส่งหนังสือสอบถามไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยชี้แจง ใน 3 ประเด็น ประกอบด้วย สถานะทางการเงินของธปท. แนวทางการดำเนินนโยบายดอกเบี้ย มาตรการควบคุมดูแลเงินทุนไหลเข้่าอย่างเหมาะสม
ซึ่ง ธปท.ได้ตอบมาในหนังสือลงวันที่ 29 เม.ย.ใน 2 ประเด็นแรกว่า เป็นที่ทราบว่าในงบการเงินของ ธปท. ณ สิ้น 2555 ติดลบอยู่ 530,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลกระทบมาจาก 2 ส่วนคือผลกระทบจากดอกเบี้ยที่สูง และส่วนที่สองมาจากการตีมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชี ซึ่งหากค่าเงินบาทมีมูลค่าที่แข็งขึ้นการคำนวณทางบัญชีก็จะส่งผลขาดทุน
ในส่วนที่ 2 แนวทางเรื่องดอกเบี้ย ธปท.ได้ชี้แจงในหนังสือว่า การลดอัตราดอกเบี้ยแม้อาจจะชะลอเงินทุนไหลเข้าได้ แต่ ธปท.ก็แสดงความเห็นว่าส่วนต่างของดอกเบี้ยน่าจะเป็นปัจจัยรอง เนื่องจากผู้ที่ลงทุนหวังที่จะได้รับผลตอบแทนอื่นๆเช่นในตลาดหุ้น
ขณะที่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. ได้มอบหมายให้ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เชิญภาคเอกชน อาทิ สภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) และ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย มาหารือ กับ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เพื่อชี้แจงถึงความเสียหายที่ได้รับจากการแข็งค่าของเงินบาท รวมทั้งให้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ(สภาพัฒน์) รวบรวมความเสียหายและผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า แล้วนำกลับมารายงานต่อครม.ต่อไป
" ที่ประชุมครม.มอบให้รมว.คลัง ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และรวบรวมมาตรการทั้งที่แก้ไขแล้ว และมาตรการที่จะต้องเร่งช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากค่าบาท" ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
เมื่อถามว่า รัฐบาลพอใจการทำงานของนายประสารหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า “ขออนุญาตไม่วิพากษ์วิจารณ์ เพราะไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้...ธปท.มีข้อกฎหมายที่ให้อิสระ แต่ยืนยันว่ารัฐบาลได้ทำงานเต็มที่แล้วเพื่อแก้ปัญหา”
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลได้ทำงานเต็มที่แล้ว เพื่อแก้ปัญหา ดังกล่าว ขณะที่ ธปท.มีข้อกฎหมายที่ให้อิสระและอำนาจกับธปท.ในเรื่องการ พิจารณาและวิธีการ ซึ่งรมว.คลังทำได้เพียงมอบนโบายในการแก้ปัญหาค่าบาท รวมถึงต้องอยู่ที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)จะพิจารณาด้วย เพราะ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ต้องแก้แบบองค์รวม รัฐบาลทำได้แค่คุยอย่างเดียว แต่ในเชิงข้อกฎหมาย เราไม่สามารถลงไปทำงานได้
ขณะเดียวกันวานนี้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ก็ได้ประชุมเกี่ยวกับสถานการ์ค่าเงินบาท
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ภาคเอกชนเห็นว่าการที่หน่วยงานรัฐร่วมกันทำงานจะแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าได้ แต่“ขอให้รัฐติดตามสถานการณ์แบบวันต่อวัน แม้ว่าขณะนี้ค่าเงินบาทอ่อนแล้ว แต่ยังไม่ชัดเจนในระยะสั้น”
ค่าเงินบาทลงมาอยู่ที่ 29.9 บาท แต่ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นอย่างไรต่อในระยะสั้นจึงเห็นว่ากระทรวงการคลังและ ธปท.ควรมีมาตรการดูแลจากหนักไปหาเบาเพื่อให้ค่าเงินบาทสอดคล้องกับภูมิภาค และการที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าในอนาคตทำให้ผู้ประกอบการต้องเตรียมตัวเพื่อสร้างความพร้อมในการแข่งขัน
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มีกำหนดเข้าพบผ็ว่าแบงก์ชาติ ในวันที่ 16 พ.ค. 2556 โดยต้องการหารือกับผู้ว่า ธปท.ว่ามองการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนในระยะสั้น กลางและยาวอย่างไร เพื่อให้สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยนำข้อมูลไปสื่อสารกับสมาชิก รวมทั้งหารือกับ ธปท.เกี่ยวกับการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่จะสนับสนุนเอสเอ็มอีที่มีปัญหาให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้น
ทั้งนี้จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ( กนง.) ครั้งผ่านมามีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.75% เป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกัน โดย กนง.จะประชุมครั้งถัดไป ในวันที่ 29 พ.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้เรียกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและ นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังหารือเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจในภาพรวมโดยเฉพาะการหาทางออกของมาตรการดูแลค่าเงินบาทที่เหมาะสมสำหรับทุกฝ่ายซึ่งนายกิตติรัตน์ ยอมรับว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้ประสานให้นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ร่วมรับประทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง โดยไม่ได้เปิดเผยสถานที่
ที่มา:กรุงเทพธุรกิจ
แบงก์ชาติเสนอ 4 มาตรการสกัดเงินไหลเข้า
1.เมื่อธปท.ออกพันธบัตรอาจห้ามนักลงทุนต่างประเทศซื้อพันธบัตรหรือจำกัดการซื้อ
2. เมื่อกระทรวงการคลังออกพันธบัตรจะกำหนดระยะเวลาการถือครอง เข่น 3 เดือน หรือ 6 เดือน เพื่อเป็นการป้องกันการเก็งกำไรของนักลงทุนโดย 2 มาตรการแรก ธปท.สามารถดำเนินการได้เอง
3. ควรเก็บค่าภาษีและค่าธรรมเนียมการลงทุนในตลาดตราสารหนี้เมื่อได้รับผลตอบแทนในเชิงบวกจากเดิมที่เก็บแค่นักลงทุนไทยแต่จะเริ่มเก็บในส่วนของนักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทย
4. กรณีนักลงทุนต่างประเทศนำเงินทุนเข้ามาในตลาดทุนไทยต้องทำประกันเพื่อป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อบังคับไม่ให้ได้รับผลตอบแทนในเชิงบวกและได้รับความเสี่ยงในเชิงลบถือเป็นมาตรการขั้นรุนแรงที่ทั่วโลกไม่เคยมีการนำมาใช้
หากนำมาตรการข้อ 3 และ 4 มาใช้จำเป็นต้องมีการแก้ไขข้อกฎหมายของกระทรวงการคลังเนื่องจากนักลงทุนที่นำเงินเข้ามาต้องมีมาตรการสำรองเงินไว้ส่วนหนึ่ง ซึ่งอดีตผู้ว่าการ ธปท. ที่ปฏิบัติหน้าที่เมื่อปี 2549 ได้นำมาใช้จนกระทบตลาดหุ้นร่วงอย่างรุนแรง ครม.จึงไม่อยากให้มีการบังคับ ใช้ในมาตรการดังกล่าวโดยให้ ธปท.และกระทรวงการคลังกลับไปหารือร่วมกันถึงผลดีผลเสียและมีหน่วยงานใดรับผิดชอบส่วนใดบ้าง
กิตติรัตน์ กล่าวว่า ทั้ง 4มาตรการที่ธนาคารแห่งประเศไทยเสนอมานั้น มีทั้งมาตรการที่ ธปท.สามารถตัดสินใจดำเนินการได้ตามเวลาที่เหมาะสม และมาตรการโดยกระทรวงการคลังแก้ไขกฎระเบียบเพื่อประกาศใช้ โดยได้ย้ำกลับไปว่ามาตรการที่ ธปท.พร้อมนำออกมาบังคับใช้ขอให้พิจารณาอย่างรอบคอบ “ 4 มาตรการที่ธปท.เสนอมาถือว่าเพียงพอ แต่ก็ต้องดูความเหมาะสมเพราะมาตรการทางเศรษฐกิจก็มีเรื่องที่ดีและเสียควบคู่กันไปต้องชั่งน้ำหนักให้ดี” กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ทั้งนี้ กนง.ระบุว่าทั้ง 4 มาตรการต้องเสนอข้อดีข้อเสียให้ กนง.ก่อนจะตัดสินใจ
สำหรับ 3ประเด็นที่กระทรวงคลังส่งหนังสือสอบถามไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยชี้แจง ใน 3 ประเด็น ประกอบด้วย สถานะทางการเงินของธปท. แนวทางการดำเนินนโยบายดอกเบี้ย มาตรการควบคุมดูแลเงินทุนไหลเข้่าอย่างเหมาะสม
ซึ่ง ธปท.ได้ตอบมาในหนังสือลงวันที่ 29 เม.ย.ใน 2 ประเด็นแรกว่า เป็นที่ทราบว่าในงบการเงินของ ธปท. ณ สิ้น 2555 ติดลบอยู่ 530,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลกระทบมาจาก 2 ส่วนคือผลกระทบจากดอกเบี้ยที่สูง และส่วนที่สองมาจากการตีมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชี ซึ่งหากค่าเงินบาทมีมูลค่าที่แข็งขึ้นการคำนวณทางบัญชีก็จะส่งผลขาดทุน
ในส่วนที่ 2 แนวทางเรื่องดอกเบี้ย ธปท.ได้ชี้แจงในหนังสือว่า การลดอัตราดอกเบี้ยแม้อาจจะชะลอเงินทุนไหลเข้าได้ แต่ ธปท.ก็แสดงความเห็นว่าส่วนต่างของดอกเบี้ยน่าจะเป็นปัจจัยรอง เนื่องจากผู้ที่ลงทุนหวังที่จะได้รับผลตอบแทนอื่นๆเช่นในตลาดหุ้น
ขณะที่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. ได้มอบหมายให้ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เชิญภาคเอกชน อาทิ สภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) และ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย มาหารือ กับ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เพื่อชี้แจงถึงความเสียหายที่ได้รับจากการแข็งค่าของเงินบาท รวมทั้งให้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ(สภาพัฒน์) รวบรวมความเสียหายและผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า แล้วนำกลับมารายงานต่อครม.ต่อไป
" ที่ประชุมครม.มอบให้รมว.คลัง ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และรวบรวมมาตรการทั้งที่แก้ไขแล้ว และมาตรการที่จะต้องเร่งช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากค่าบาท" ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
เมื่อถามว่า รัฐบาลพอใจการทำงานของนายประสารหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า “ขออนุญาตไม่วิพากษ์วิจารณ์ เพราะไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้...ธปท.มีข้อกฎหมายที่ให้อิสระ แต่ยืนยันว่ารัฐบาลได้ทำงานเต็มที่แล้วเพื่อแก้ปัญหา”
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลได้ทำงานเต็มที่แล้ว เพื่อแก้ปัญหา ดังกล่าว ขณะที่ ธปท.มีข้อกฎหมายที่ให้อิสระและอำนาจกับธปท.ในเรื่องการ พิจารณาและวิธีการ ซึ่งรมว.คลังทำได้เพียงมอบนโบายในการแก้ปัญหาค่าบาท รวมถึงต้องอยู่ที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)จะพิจารณาด้วย เพราะ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ต้องแก้แบบองค์รวม รัฐบาลทำได้แค่คุยอย่างเดียว แต่ในเชิงข้อกฎหมาย เราไม่สามารถลงไปทำงานได้
ขณะเดียวกันวานนี้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ก็ได้ประชุมเกี่ยวกับสถานการ์ค่าเงินบาท
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ภาคเอกชนเห็นว่าการที่หน่วยงานรัฐร่วมกันทำงานจะแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าได้ แต่“ขอให้รัฐติดตามสถานการณ์แบบวันต่อวัน แม้ว่าขณะนี้ค่าเงินบาทอ่อนแล้ว แต่ยังไม่ชัดเจนในระยะสั้น”
ค่าเงินบาทลงมาอยู่ที่ 29.9 บาท แต่ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นอย่างไรต่อในระยะสั้นจึงเห็นว่ากระทรวงการคลังและ ธปท.ควรมีมาตรการดูแลจากหนักไปหาเบาเพื่อให้ค่าเงินบาทสอดคล้องกับภูมิภาค และการที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าในอนาคตทำให้ผู้ประกอบการต้องเตรียมตัวเพื่อสร้างความพร้อมในการแข่งขัน
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มีกำหนดเข้าพบผ็ว่าแบงก์ชาติ ในวันที่ 16 พ.ค. 2556 โดยต้องการหารือกับผู้ว่า ธปท.ว่ามองการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนในระยะสั้น กลางและยาวอย่างไร เพื่อให้สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยนำข้อมูลไปสื่อสารกับสมาชิก รวมทั้งหารือกับ ธปท.เกี่ยวกับการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่จะสนับสนุนเอสเอ็มอีที่มีปัญหาให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้น
ทั้งนี้จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ( กนง.) ครั้งผ่านมามีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.75% เป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกัน โดย กนง.จะประชุมครั้งถัดไป ในวันที่ 29 พ.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้เรียกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและ นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังหารือเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจในภาพรวมโดยเฉพาะการหาทางออกของมาตรการดูแลค่าเงินบาทที่เหมาะสมสำหรับทุกฝ่ายซึ่งนายกิตติรัตน์ ยอมรับว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้ประสานให้นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ร่วมรับประทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง โดยไม่ได้เปิดเผยสถานที่
ที่มา:กรุงเทพธุรกิจ