เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมไปนั่งสมาธิที่วัดสังฆทาน
หลวงพ่อจรัญ วัดดอยขุนวิน เชียงใหม่ ท่านแสดงธรรมเกี่ยวกับ สัมมาสมาธิ มิจฉาสมาธิ พอจะสรุปใจความได้ว่า...
การที่เราเริ่มทำสมาธิ โดยการเข้าฌาน 1-2-3-4 นั้น ยังไม่เป็นสัมมาสมาธิ ยังเป็นมิจฉาสมาธิ เพราะว่ายังไม่ครบองค์มรรค 8 ที่จะต้องเริ่มด้วยสัมมาทิฐิ
ท่านจึงแนะนำให้เราทำอริยสัมมาสมาธิ โดยให้เริ่มที่มีสัมมาทิฐิ
โดยวิธีการ พิจารณากายไปเลย (พิจารณาลมก็ไม่ได้ เพราะจิตหลุดง่าย) ควบคุมไม่ให้จิตเข้าฌาน (ท่านว่าจะเกิดความเนิ่นช้า เสียเวลา) ถ้าเกิดว่าจิตอ่อนเพลีย ก็ให้หยุดนิ่งไว้โดยที่ให้ภาพกายนั้นยังคาอยู่ จากนั้นจึงพิจารณากาย ให้เห็นร่างกายเป็นซากศพตลอดเวลา (ไม่ใช่นิมิตด้วย) ท่านว่าอย่างนี้เรียกว่าเห็นแจ้ง เป็นสัมมาสมาธิ จากนั้นเราจะเบื่อหน่ายกายนี้เอง
ผมฟังแล้วก็ไม่ยอมรับและไม่คัดค้านซะทีเดียว ท่านอธิบายได้เป็นเหตุเป็นผลพอสมควร
แต่จากการที่เราฝึกสติปัฎฐานสี่ กับอาจารย์ท่านอื่นๆ มา อาจารย์ท่านก็ไม่ได้เน้นให้พิจารณาร่างกายอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีพิจารณาลมบ้าง พิจารณาจิตบ้าง เป็นต้น
ท่านทั้งหลายเห็นว่าอย่างไรครับ
กราบขออภัยท่านอาจารย์ด้วยที่มาถามความเห็นในห้องนี้
ขอบคุณครับ
คำสอนหลวงพ่อจรัญ วัดดอยขุนวิน เชียงใหม่
หลวงพ่อจรัญ วัดดอยขุนวิน เชียงใหม่ ท่านแสดงธรรมเกี่ยวกับ สัมมาสมาธิ มิจฉาสมาธิ พอจะสรุปใจความได้ว่า...
การที่เราเริ่มทำสมาธิ โดยการเข้าฌาน 1-2-3-4 นั้น ยังไม่เป็นสัมมาสมาธิ ยังเป็นมิจฉาสมาธิ เพราะว่ายังไม่ครบองค์มรรค 8 ที่จะต้องเริ่มด้วยสัมมาทิฐิ
ท่านจึงแนะนำให้เราทำอริยสัมมาสมาธิ โดยให้เริ่มที่มีสัมมาทิฐิ
โดยวิธีการ พิจารณากายไปเลย (พิจารณาลมก็ไม่ได้ เพราะจิตหลุดง่าย) ควบคุมไม่ให้จิตเข้าฌาน (ท่านว่าจะเกิดความเนิ่นช้า เสียเวลา) ถ้าเกิดว่าจิตอ่อนเพลีย ก็ให้หยุดนิ่งไว้โดยที่ให้ภาพกายนั้นยังคาอยู่ จากนั้นจึงพิจารณากาย ให้เห็นร่างกายเป็นซากศพตลอดเวลา (ไม่ใช่นิมิตด้วย) ท่านว่าอย่างนี้เรียกว่าเห็นแจ้ง เป็นสัมมาสมาธิ จากนั้นเราจะเบื่อหน่ายกายนี้เอง
ผมฟังแล้วก็ไม่ยอมรับและไม่คัดค้านซะทีเดียว ท่านอธิบายได้เป็นเหตุเป็นผลพอสมควร
แต่จากการที่เราฝึกสติปัฎฐานสี่ กับอาจารย์ท่านอื่นๆ มา อาจารย์ท่านก็ไม่ได้เน้นให้พิจารณาร่างกายอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีพิจารณาลมบ้าง พิจารณาจิตบ้าง เป็นต้น
ท่านทั้งหลายเห็นว่าอย่างไรครับ
กราบขออภัยท่านอาจารย์ด้วยที่มาถามความเห็นในห้องนี้
ขอบคุณครับ