Suwayya Arabian Airlines [06 - บาลาด]

กระทู้สนทนา
ในที่สุดก็ได้รับแจกชุดอาบาย่า จากทางสายการบิน ซูเวย่า อาราเบี้ยน แอร์ไลน์ พร้อมทั้งผ้าคลุมฮิญาบ เป็นสีดำทะมึนมืดมนไปทั้งตัว

“วันนี้เป็นเสาร์เอากระเป๋าไปใส่กระปุก” ฉันฮัมเพลงสมัยอนุบาล แล้วหยิบกระดาษตารางเวลารถบัสที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดู

วันนี้วันเสาร์ที่ 27 เดือน 4 ปี 2013 รถบัสมีสองรอบ รอบแรกไป อาย่า มอลล์ Aya Mall 02:00pm – 04:00pm ส่วนรอบสอง และรอบสามไป บาลาด มาร์เก็ต Balad Market 4:30 pm – 10:00 pm

เขาบอกว่า บาลาด เป็นแหล่งชอปปิ้งที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในเจดดาห์ มีของหลายอย่างที่ฉันกำลังอยากได้ ตอนนี้สิ่งแรกที่รับไม่ได้อย่างแรงคือ ชุดอาบาย่ากับผ้าคลุมที่ได้รับแจกมา มันเป็นชุดคลุมดำทึบตัวใหญ่หลวมโพรก  เป็นไซส์ S ของที่นี่แต่ XLของบ้านเรา แบบเรียบสนิทไม่มีประดับตกแต่งอะไรเลยสักอย่าง แขนก็ยาวคลุมไม้คลุมมือ มันทำให้ฉันดูเหมือนนกเพนกวิ้นเดินได้ไม่มีผิด ฉันอยากได้อาบาย่าที่มีดีไซน์สวยๆ เข้ารูปเข้าทรงกว่านี้อีกนิด กับลูกเล่นวิบวับอีกหน่อย ฉันบอกกับตัวเองว่าต้องตามหาอาบาย่า ในอุดมคติมาครอบครองให้ได้ เพราะทนอยู่ในสภาพนี้ต่อไปได้อีกไม่เกินครึ่งวัน

ฉันชวนลีน่าไปบาลาดด้วยกัน แต่หล่อนบ่นว่าเพลีย ขี้เกียจออกข้างนอกอยากนอนพัก ดูเหมือนว่ามีเพียงฉันเท่านั้น ที่กระตืนรือร้นอยากไปนู่ไปนี่ โดยไม่มีทีท่าจะเหน็ดเหนื่อยง่ายๆ ต่างจากคนอื่นที่เพิ่งมาถึง ยังคงมีอาการ Jet lag (คืออาการเหนื่อยเพลียอ่อนล้า จากการเดินทางข้ามโซนเวลา ทำให้ปรับตัวไม่ทัน)

เมื่อลีน่าไม่ไป ฉันก็พร้อมที่จะฉายเดี่ยว เพราะเดาว่าประเดี๋ยวก็ต้องเจอคนอื่นๆบนรถ ไม่โดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาแน่นอน แต่ปรากฏว่าเมื่อไปถึงบริเวณที่รถบัสจอดรอ มีลูกเรือชุดดำมากมายพรูขึ้นไปบนรถ รวดเร็วราวกับถูกหลุมดำสูบเข้าไปข้างใน ก้นใครก้นมัน ยึดครองที่นั่งด้วยความว่องไว เบียดเสียดกันแน่นขนัดล้นคัน จนไม่มีที่ว่างเหลือให้ฉันนั่งลงได้ ฉันกับลูกเรือที่เหลือตกหล่น อีกประมาณสิบกว่าคน เป็นชาย หญิง จำนวนเท่าๆกัน เราทั้งหมดเลยตัดสินใจไปเรียก taxi ตรงถนนใหญ่ด้านหน้า

พวกเราเดินออกมาจากคอมปาวด์ เลยด่านตรวจที่มีทหารยืนถือปืนเรียงอยู่ ฉันรู้สึกว่าตัวหดเล็กลง เวลาเดินผ่านทหารเหล่านี้ แต่พวกเขาดูเหมือนจะถูกฝึกมาดี ทุกคนเป็นชายฉกรรจ์ รูปร่างสันทัด กำยำล่ำสัน ใบหน้าตึงเครียด เหมือนท้องผูก ไม่มีใครแสดงท่าทีสนใจลูกเรือสาวๆ ที่เดินเกาะกลุ่มผ่านหน้าผ่านตาไป ราวกับพวกเราเป็นมนุษย์ล่องหน

แต่เมื่อพวกเราเดินเกาะกลุ่มรวมกัน ออกมาจนสุดถนน ชายที่ดูหน้าตาเคร่งศาสนาคนหนึ่งก็จอดรถ ตะโกนโวยออกมา ทำมือแหวกให้พวกเราแยกกลุ่มกัน ชายหญิงก็รีบแยกออกจากกันเป็นสองฝั่ง ไปยืนเกาะกลุ่มเป็นชายล้วน หญิงล้วนคนละฟาก ปากก็บ่นอุบอิบทั้งที่ฝ่ายชายก็ไม่มีชายแท้เลยสักคน จะอะไรกันนักกันหนานะประเทศนี้

รถ taxi คันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็วสูง แล้วจอด เอี๊ยด หยุดอยู่ตรงหน้ากลุ่มเรา บานหน้าต่างเลื่อนลงมา ได้ยินเพลงแขกเปิดดังสนั่นจากในรถ คนขับค่อยๆหรี่เสียงให้เบาลง แล้วก็ชะโงกหน้าออกมายิ้มกรุ้มกริ่ม ประหนึ่งเลียนแบบรอยยิ้มของ โอมาร์ บอร์คาน

บริการ taxi ที่นี่ไม่ได้คิดค่าโดยสารตามระยะทางเหมือนบ้านเรา แต่จะเป็นการเหมาจ่ายในแต่ละเที่ยว จะให้ไปส่งที่ไหนราคาเท่าไหร่ ก็ว่ากันไปตามตกลง ถูกอัถยาศัยหน่อย ก็ลดหลั่นกันไปตามเรื่อง

เพื่อนที่คล่องแคล่วที่สุด ต่อรองราคาว่า  “ฟิฟทีน ริยาล ทู บัลลาด…”

คนขับชูสองนิ้วแกว่งไปมา แล้วพูดสำเนียงแปลกๆว่า “ตเว้นตรี้ โอเคร้”

หล่อนหันมา ถามทุกคนว่า “ไปบัลลาด 20 ริยาล โอเคมั้ย?”

“โอเค” มีฉันคนเดียวที่ตอบ ไม่มีใครเสียเวลามาแย่งกันตอบ แต่ทุกคนแย่งกันขึ้นไปบนรถทันที ส่วนฉันถูกทิ้งให้ยืนอยู่คนเดียวอย่างอึ้งกิมกี่ แล้ว taxi ก็แล่นจากไปทิ้งฝุ่นควันตลบไว้เบื้องหลัง

“ทุกคนทิ้งช้าน ใจร้ายที่สุด” ฉันร่ำร้องสะอื้นต่อความไม่เป็นธรรมอยู่ข้างถนนเพียงลำพัง แต่แล้วพระอัลเลาะห์ก็ทรงโปรดเมตตาสงสาร บันดาลให้มีเสียงของนางฟ้า พร้อมกวักมือไหวๆเหมือนนางกวัก เรียกให้ฉันขึ้นมาบนรถ

“พวกเรากำลังจะไปบัลลาด จะมากับพวกเราก็ได้นะ”

ฉันไม่ตอบแต่รีบขึ้นไปบนรถคันนั้นด้วยความว่องไวทันที ราวกับว่ากลัวผีที่ไหนจะมาแย่งที่นั่ง ประตูรถปิดไม่ทันสนิทดี รถ taxi สุดเซี้ยวก็แล่นเร็วปรื๋อออกตัวเหมือนจะวิ่งแซงรถแข่ง  ฉันเคยคิดว่าประเทศไทย ขับรถไร้กฏระเบียบจราจรที่สุดแล้ว ก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ เมื่อพบว่าที่ประเทศซาอุฯ ขับรถได้ย่ำแย่ยิ่งกว่าบ้านเราอีกหลายเท่า ฉันเกร็งหน้าท้อง มือเกาะเบาะจิกนิ้ว ท่องพุทธโธๆในใจ กลัวจะไปไม่ถึงบาลาด แต่ไปโผล่บนสวรรค์แทน ได้ยินว่าที่นี่อุบัติเหตุทางรถยนต์ เป็นเรื่องปรกติธรรมดา ที่นี่ขับรถกันได้น่าหวาดเสียวเสียจริงๆ ใครจะขับรถยังไงก็ดูจะไม่ผิดกฏหมาย ไม่มีตำรวจจารจรปรากฏตัวให้เห็นตามท้องถนน นอกจากตำรวจศาสนาที่คอยเคร่งครัด ตรวจตราความประพฤติ ของชายหญิงที่ยังไม่ได้สมรสกัน

เมื่อรถไปติดอยู่ตรงหัวมุมสุดถนน ฉันก็ปลดมือออกจากเบาะ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วหันมาผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ที่นั่งอยู่ข้างๆสองคนทันที ทั้งสองเป็นลูกเรือสายการบิน Garuda คนแรกชื่อ แอนนา เธอมีตากลมโต ปากอิ่ม หน้ากลมเล็ก ฮิญาบสีขาวคล้องคออยู่เผย ให้เห็นผมม้าสั้นบ๊อบดำขลับของหล่อน ทำให้หน้าดูอ่อนเยาว์น่ารักดี ส่วนอีกคนชื่อ ตารี หล่อนสวมฮิญาบอยู่เลยไม่รู้ว่าทรงผมอะไร แต่หน้าเธอยาว ดวงตาก็ยาวรี ฉันเลยจำชื่อของเธอได้ เพราะตาของเธอยาวรี เหมือนกับเมล็ดอัลมอน ทั้งสองเป็นลูกเรือชาวอินโดนีเซีย ดูเป็นมิตรน่ารักทั้งคู่

ฉันสังเกตว่าตารีมีผ้าคาดผมแบบยืดสีดำ ประดับเพชรสามเม็ดเรียงแถวแนวตั้ง เก็บปอยผมไว้เรียบร้อย ใต้กรอบหน้าผากโค้งเป็นรูปสามเหลี่ยม คลุมทับด้วยฮิญาบ ฉันถามหล่อนว่าซื้อที่ไหน จะได้ไปหามาครอบครองบ้าง ตารีบอกว่าหล่อนซื้อมาจากอินโดนีเซีย แต่มีอีกอันที่ห้องจะเอามาให้ ฉันรีบปฏิเสธด้วยความเกรงอกเกรงใจ บอกไปว่าไม่เป็นไร แต่ดูเหมือนเธอจะเข้าใจตรงข้าม หลังจากวันนั้น ตารีก็มาเคาะประตูห้องฉัน พร้อมกับยัดเยียดที่คาดผมสีดำประดับเพชร แบบเดียวกับที่เธอสวมในวันนั้นให้ฉันรับไว้ ฉันรู้สึกเกรงใจเธอเหลือเกิน แต่ก็รับไว้ด้วยความซาบซึ้ง ประทับจิตในน้ำใจของเธอ

v
แก้ไขข้อความเมื่อ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่