ความสุขที่แท้จริงทางศาสนา(สุขแบบไม่มีเหยื่อล่อ)นั้นหาใช่ความสุขแบบเพลิดเพลินรื่นเริงบันเทิงใจแบบโลกๆ(สุขแบบมีเหยื่อล่อ)

กระทู้สนทนา
ความสุขโดยทั่วไปนั้นถ้าพูดกันตามทางโลกแล้ว       ก็คือความสุขจากการกระทำทาง   กาย  วาจา  ใจ   ใดๆก็ตามที่ทำให้ภาวะจิตใจมีความสุขโดยการเพลิดเพลินหรือรื่นเริงบันเทิงใจ           หลงไหลเพลิดเพลินไปตามอารมณ์ที่กำลังได้รับอยู่นั้นๆ     พูดง่ายๆก็เปรียบเหมือนการเสพสิ่งเสพติดใดๆก็ตามริ่มแรกผู้เสพจะได้รับความสุขเพลิดเพลิน     จากการเสพสิ่งเสพติดนั้นๆแต่ภาวะการเสพอย่างนี้อาจเรียกไ้ด้ว่าเป็นการเสพติดทางอารมณ์    เช่น     การมีความสุขจากการขับร้องเพลงด้วยความเพลิดเพลินบันเทิงใจ     ซึ่งตามหลักกการทางศาสนาต่างๆโดยทั่วๆไปนั้นก็ยังมีการเสพติดทางอารมณ์อยู๋โดยคิดว่าทำอย่างไรก็ได้ที่ไม่เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นและทำอารมณ์ของตนเองให้มีความสุขก็เพียงพอแล้ว     แต่ความสุขที่เกิดจากการเสพติดทางอารมณ์ถือเป็นความสุขอย่างหลอกๆหาใช่ความสุขที่แท้จริงไม่    เพราะความสุขชนิดนี้ถือเป็น  "อามิสสุข"   (สุขแบบมีอามิส)   หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  "สุขแบบมีเหยื่อล่อ"    ถือว่าเป็นความสุขแบบมีกิเลสเป็นเครื่องล่อนั่นเอง      ซึ่งดูแบบเผินๆเหมือนไม่มีอะไร   คือดูแล้วมีความสุขเพลิดเพลินบันเทิงใจแต่ผลเสียร้ายๆที่แอบแฝงตามมาลึกๆมันก็คือ      อุปาทาน(ความยึดติด)ในภว(ภพ)    ชาติในความเป็นมนุษย์ที่ฝังแน่นอยู่ในดวงจิต     เป็นผลเสียทำให้ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดแบบหลงลืมสติ     คืกลับมาเกิดอีกนับไม่ถ้วนในภพชาติที่หลงยึดติด          แต่ความสุขที่แท้จริงในทางศาสนาพุทธนั้นหาใช่ความสุขที่เกิดจากการเสพติดทางอารมณ์จากการหลงไหลเพลิดเพลินในอารมณ์ต่างๆ    ที่มาจากการมีความสุขจากการขับร้องเพลงด้วยความเพลิดเพลินบันเทิงใจ          แต่เป็นความสุขจากการมีดวงจิตที่แน่วแน่ในธรรมมั่นคงในสติและไม่หลงลืมเผลอเรอไปในอารมณ์ต่างๆจึงเป็นสุขที่แท้จริง    หรือ   "นิรามิสสุข"   (สุขแบบไม่มีอามิส)   คือ  "สุขแบบไม่มีเหยื่อล่อ"   ซึ่งสุขชนิดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่ิอสภาวะดวงจิตของบุคคลผู้นั้นได้เข้าถึงสภาวะแห่งนิพพานนั่นเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่