ผู้พนมมือถือดาบ (๔)

กระทู้สนทนา
สามก๊กฉบับลายคราม

ผู้พนมมือถือดาบ

ตอนที่ ๔ ทูตผู้อ่อนเชิง

เล่าเซี่ยงชุน

ขณะที่ เล่าปี่ ญาติผู้พเนจรของ เล่าเปียว พาครอบครัว และราษฎรผู้จงรักภักดีอพยพหลบภัยจากกองทัพของ โจโฉ กระเซอะกระเซิงไปนั้น เป็นฤดูหนาวที่มี อากาศหนาวจัด ได้รับความลำบากมาก เมื่อออกจากเมืองซงหยงแล้ว ก็บ่ายหน้าไปทางเมืองกังแฮ ซึ่ง เล่ากี๋บุตรชายคนโตของเล่าเปียวเป็นเจ้าเมืองอยู่ แต่พอพาขบวนซึ่งมีประชาชนพลเมืองลูกเด็กเล็กแดงประมาณห้าหมื่นคน มาถึงเขาเกงสันแดนเมืองตงหยง กองทัพของโจโฉก็ตามมาทัน เมื่อเวลาประมาณยามสาม ก็มิได้รอช้าบุกเข้าตีขบวนอพยพจากทางด้านทิศเหนือ เสียงอื้ออึงดังหนึ่งแผ่นดินจะถล่มทลาย เล่าปี่ก็ขับม้าคุมทหารที่มีอยู่เพียงสองสามพันคน เข้าสู้รบเป็นสามารถ

จนกระทั่งรุ่งสว่าง ก็เหลือทหารที่ติดตามอยู่ประมาณร้อยเศษ ตัวนายทหารเอกก็เหลือแต่ เตียวหุย เพราะ กวนอู กับ ขงเบ้ง นั้น ก็ได้ใช้ให้ล่วงหน้าไปบอก เล่ากี๋ที่เมืองกังแฮ ให้ยกทหารมาช่วย จูล่ง ก็หายหน้าไปไหนไม่รู้จนเตียวหุยชักแคลงใจ ว่าจะเอาใจออกห่างทิ้งกันในยามคับขัน จึงพาทหารประมาณยี่สิบม้า หวนกลับไปดักอยู่ที่สะพานเตียงปันเกี้ยวคอยระวังหลัง ให้ทหารตัดกิ่งไม้ผูกหางม้าวิ่งวนจนฝุ่นตระหลบ ลวงข้าศึกว่ามีทหารมาก ส่วนตนเองถือทวนเล่มยาวขี่ม้าคอยสกัดอยู่ที่เชิงสะพาน กะว่าจะยอมตายถวายชีวิตอยู่ตรงนี้

แต่จูล่งซึ่งหายไปนั้น ก็เพราะหวนกลับไปในเมือง พร้อมกับลิ่วล้อคู่ใจอีกประมาณสามสิบม้า เพื่อค้นหาครอบครัวของเล่าปี่ ที่เดินทางปะปนอยู่กับราษฎร แล้วหนีกระเจิดกระเจิงหายไปขณะที่ทหารของโจโฉเข้าโจมตีเมื่อคืนนี้ พอรู้ว่า นางกำฮูหยิน ภรรยาใหญ่ อาเต๊า บุตรชายที่ยังเป็นทารก และ นางบีฮูหยิน ภรรยารองของเล่าปี่ ได้ แยกลงไปทางทิศใต้ จูล่งก็ทิ้งทหารควบม้าติดตามไปแต่ผู้เดียวตลอดคืนตลอดวัน จึงพบตัว นางกำฮูหยินพาออกมาส่งให้เตียวหุยก่อน แล้วย้อนกลับไปค้นหานางบีฮูหยิน ซึ่งเป็นผู้ที่เลี้ยงดูอาเต๊าอีกครั้ง

นางบีฮูหยินนั้นถูกแทงที่ขากลัวจะเป็นภาระของจูล่ง จึงโดดบ่อน้ำตายไป จูล่งก็เอาอาเต๊าห่อยัดใส่ไว้ใต้เกราะที่หน้าอก พาแหวกทหารของโจโฉออกมาจนได้ ในระหว่างทางนั้นจูล่งแต่ผู้เดียว ได้รบฝ่าทหารของโจโฉหลายหมื่นคนอยู่ตลอดทั้งวันและสามารถฆ่านายกองใหญ่ของโจโฉได้สองนาย ทหารเอกห้าสิบคน และทหารรอง กับพลทหารเลวอีกมากมายก่ายกอง จนโลหิตติดเกราะและข้างม้าดุจราดด้วยน้ำครั่ง

ตัวโจโฉขึ้นม้ายืนอยู่บนเขาเกงสัน แลเห็นความองอาจกล้าหาญของ จูล่ง ก็นิยมฝีมือว่าทหารคนนี้มีอำนาจประดุจเสือ จึงห้ามมิให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ เป็นเหตุให้จูล่งรอดข้ามทุ่งเตียงปันโบ๋ มาจนถึงสะพานเตียงปันเกี้ยว นำอาเต๊ามาให้เล่าปี่ได้โดยปลอดภัย จากนั้นก็เดินทางต่อไปจนพบกับกวนอูเล่ากี๋และขงเบ้ง ซึ่งต่างก็คุมทหารเรือมาคอยรับ แล้วก็พากันกลับไปตั้งหลัก ที่เมืองกังแฮต่อไป

ฝ่ายโจโฉซึ่งยกกองทัพเข้ายึดครองเมืองเกงจิ๋วได้โดยสะดวก เพราะไม่มีใครจะต่อกรด้วยแล้ว ก็คิดการจะกำจัดเล่าปี่ให้สิ้นซาก โดยมีหนังสือไปถึง ซุนกวน เจ้าเมืองกังตั๋ง ชักชวนให้เป็นพันธมิตรร่วมมือกันกำจัดเล่าปี่ แต่เล่าปี่ก็ใช้ให้ขงเบ้งเป็นทูตไปเจรจากับซุนกวน จน โลซก ที่ปรึกษาและ จิวยี่ แม่ทัพใหญ่ของซุนกวน หลงคารมยอมร่วมเป็นพวกเล่าปี่ ทำสงครามกับโจโฉเป็นศึกใหญ่ จนกระทั่งโจโฉต้องแตกพ่าย ทั้งกองทัพเรือและกองทัพบก เสียทหารไปร่วมแปดสิบหมื่น ในการยุทธสะเทินน้ำสะเทินบกซึ่งโด่งดังที่สุดในสามก๊ก ณ ตำบลเซ็กเพ็ก โดยเล่าปี่ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากจัดทหารคอยติดตามดักตีโจโฉในตอนถอยเท่านั้น

เมื่อโจโฉแตกทัพกลับไปเมืองฮูโต๋แล้วนั้น ได้ทิ้งให้ทหารเอกสองพี่น้องซึ่งเป็นญาติคือ โจหยิน โจหอง คอยระวังหลังที่เมืองลำกุ๋นเมืองซงหยงและเมืองเกงจิ๋ว จิวยี่ก็ติดตามโจโฉไปตีเมืองลำกุ๋น รบพุ่งกันจนโจหยินถอยหนี พอจะเข้ายึดเมืองก็ปรากฏว่าจูล่งคุมทหารแอบไปยึดไว้ก่อนแล้ว จิวยี่จึงรีบแยกกองทัพออกเป็นสองกอง ไปตีเมืองซงหยงกับเมืองเกงจิ๋ว ก็พบว่ากวนอูได้ยึดเมืองซงหยง และเตียวหุยยึดเมืองเกงจิ๋วไว้เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน

จิวยี่เสียใจจนถึงกับป่วยลง เพราะได้ออกเรี่ยวแรงเสียรี้พลและอาวุธ ยุทโธปกรณ์ไปมากมาย กว่าโจโฉจะแตกพ่าย กลับไม่ได้พื้นที่ของข้าศึกเลย แม้แต่เมืองเดียว ส่วนเล่าปี่นั้นนั่งอยู่เฉย ๆ ขงเบ้งก็วางอุบายฮุบเอาเมืองใหญ่น้อยไปถึงสามเมือง แต่จิวยี่ก็ยังมีมานะที่จะรบเอาคืนให้ได้ ส่วนโลซกนั้นเกรงว่าเล่าปี่จะหันไปเข้ากับโจโฉ แล้วยกทัพมารุมเล่นงานเมืองกังตั๋ง ก็จะเป็นศึกหนัก จึงขออาสาไปเจรจากับเล่าปี่ดูก่อน

โลซกนั้นคิดว่าตนเองเป็นที่นับถือของขงเบ้งเพราะเคยสนิทสนมกันเมื่อตอนที่เป็นทูตไปเจรจาครั้งก่อน จึงเดินทางไปหาที่เมืองลำกุ๋น แต่จูล่งบอกว่าขงเบ้งกับเล่าปี่ไปอยู่ที่เมืองเกงจิ๋วแล้ว โลซกก็ตามไปที่เมืองเกงจิ๋วอีก เล่าปี่ก็หลบหน้าให้ขงเบ้งออกมาต้อนรับแต่ผู้เดียว

โลซกก็เจรจาด้วยความซื่อว่า

"...ซึ่งโจโฉคุมทหารประมาณร้อยหมื่น ยกกองทัพมานั้น ใช่จะทำอันตรายแก่เมืองกังตั๋งหามิได้ โจโฉคิดจะจับเอาแต่ตัวเล่าปี่ อันซุนกวนกับจิวยี่มีใจเอ็นดูเล่าปี่จึงปรึกษากันให้จิวยี่ยกกองทัพออกมาต้านทานโจโฉหวังจะช่วยเล่าปี่ให้พ้นความตาย ทั้งจะได้ช่วยป้องกันเมืองกังตั๋งด้วย ซึ่งซุนกวนจิวยี่ ทำการทั้งปวงนี้ ท่านก็แจ้งอยู่ว่าเสียเงินทองและเสบียงอาหารเป็นอันมาก ครั้นโจหยินโหองแตกไป ท่านกับเล่าปี่คิดอ่านกันชิงเอาเมืองเกงจิ๋วเมืองซงหยงเมืองลำกุ๋นไว้นี้ไม่ควร ข้าพเจ้าเห็นผิดประเพณี จึงมาว่ากล่าวหวังจะเตือนสติท่าน...."

ขงเบ้งก็แก้ตัวว่า

".....อันเมืองสามตำบลนี้ แม้เป็นเมืองของโจโฉ เราก็จะยกให้ซุนกวน อันเมืองทั้งสามนี้เป็นของเล่าเปียว ท่านก็แจ้งอยู่ว่า เล่าเปียวกับเล่าปี่เป็นพี่น้องกัน ถึงเล่าเปียวตายไปแล้ว เล่ากี๋ผู้บุตรก็ยังอยู่ เรากับเล่าปี่จึงชิงเอาเมืองสามตำบลนี้ไว้หวังจะให้กับเล่ากี๋ ท่านจะว่าผิดประเพณีด้วยอันใด.."

โลซกก็ว่าเล่ากี๋อยู่ที่เมืองกังแฮ เหตุใดจึงว่าจะเอาเมืองนี้ไว้ให้แก่เล่ากี๋ ขงเบ้งก็บอกว่าบัดนี้เล่ากี๋ป่วยอยู่ แล้วก็ให้คนพยุงเล่ากี๋ออกมาคำนับโลซก แล้วก็พา กลับเข้าไป โลซกก็ชักจะจนปัญญาโต้เถียงกับขงเบ้งต่อไปอีก แต่ก็ยังอุตส่าห์ถามว่า ถ้าเล่ากี๋ตายลงไปจะทำยังไง ขงเบ้งก็บ่ายเบี่ยงว่า ถ้าเล่ากี๋มีบุญอยู่ก็จะช่วยบำรุงไปถ้าหาบุญไม่แล้ว ก็ค่อยคิดอ่านกันต่อไป

โลซกกลับมารายงานจิวยี่ ตามที่ได้เจรจามา จิวยี่ก็ว่าเล่ากี๋ยังหนุ่มอยู่ เมื่อไรจะตาย โลซกก็ว่า

".....อันเล่ากี๋นั้นเป็นเด็กหนุ่ม พอใจเสพสุรามักรักสตรี ซึ่งโรคป่วยอยู่นั้น ก็เพราะเหตุสองประการนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าเล่ากี๋จะไม่ยืนไปถึงกึ่งปี..."

ฝ่ายเล่าปี่ก็ตั้งให้เล่ากี๋เป็นเจ้าเมืองเกงจิ๋ว แต่ให้ไปอยู่เมืองซงหยง เพื่อเกลี้ยกล่อมคนเก่าของเล่าเปียว มาซ่องสุมไว้เป็นกำลังให้เข้มแข็งขึ้น เพราะนับถือว่าเป็นบุตรของเล่าเปียว

แล้วเล่าปี่ก็ยกกองทัพไปตีเมืองเลงเหลง จูล่งตีเมืองฮุยเอี๋ยน เตียวหุยตีเมืองบุเหลง กวนอูตีเมืองเตียงสา ทั้งสี่หัวเมืองนี้มั่งคั่งไปด้วยเงินทอง และข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ เล่าปี่ก็มีกำลังเข้มแข็งขึ้น

ต่อมาเล่ากี๋ป่วยเป็นไข้ตายลง โลซกก็กลับมาหาขงเบ้ง เพื่อทวงสัญญา เดิมอีก ขงเบ้งก็จัดแจงแต่งโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงดูกันตามธรรมเนียม โลซกก็ถามว่า บัดนี้เล่ากี๋ก็ตายแล้วท่านจะคืนเมืองเกงจิ๋วให้เมื่อไร ขงเบ้งก็ทำเป็นโกรธตะแบงไปว่า

"....เมื่อครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจนั้น ก็มีน้ำใจโอบอ้อมกรุณาแก่ราษฎรทั้งปวง จึงได้เสวยราชสมบัติสืบพระวงศ์ต่อกันมา จนถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ทุกวันนี้แผ่นดินไม่ราบคาบ ขุนนางหัวเมืองทั้งปวง มีสติปัญญากำลังมาก ก็ไม่ปรองดองช่วยกันทำนุบำรุงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ต่างคนต่างแข็งเมืองอยู่สิ้น เล่าปี่นายเราเป็นเชื้อพระวงศ์ ติดพันมาตั้งแต่พระเจ้าเฮ้าเก๋งเต้ ได้ยี่สิบชั่วกษัตริย์ จนถึงเล่าปี่ก็เป็นอาพระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่แผ่นดินเมืองเกงจิ๋วเท่านี้ จะเอาไว้ไม่ได้หรือ......"

และแถมยังลำเลิกต่อไปอีกว่า

"...ซุนกวนนายท่านเป็นเชื้อผู้คุมเมืองจีนต๋อง บัดนี้ได้เป็นใหญ่ในเมืองกังตั๋ง มีเมืองโทหกเมืองตรีจัตวาแปดสิบเอ็ดหัวเมือง ทั้งไพร่พลทหารก็มั่งคั่งอยู่แล้ว ยังไม่อิ่มใจหรือจึงมาทวงเมืองเกงจิ๋วอีกเล่า อนึ่งเมื่อโจโฉยกทัพเรือมาตีเมืองกังตั๋งนั้น เล่าปี่ก็ได้ยกทหารไปช่วยรบพุ่งเป็นสามารถ เราก็เรียกลมให้ ซุนกวนจึงไม่เป็นอันตราย แม้เราไม่ไปช่วย ก็อย่าว่าแต่บุตรนางเกียวก๊กโล่เลย ถึงภรรยาและญาติท่าน ก็จะเป็นของ โจโฉสิ้น....."

โลซกได้ฟังดังนั้นก็มึนงงนิ่งไปนาน แล้วก็ปรารภว่า

".......จิวยี่กับ ซุนกวนก็นับถือว่าท่านกับเล่าปี่มีความสัตย์ แม้ข้าพเจ้าบอกตามคำท่านว่า ซุนกวนก็จะไม่เชื่อ จะลงโทษข้าพเจ้า ถึงตัวข้าพเจ้าจะตายก็ไม่เสียดาย แต่คิดวิตกอยู่ว่า เล่าปี่กับซุนกวนจะเป็นศัตรูกันไป.....คนทั้งปวงที่รู้ก็จะหัวเราะว่า ท่านเป็นผู้มีสติปัญญา มาเจรจากลับกลอก จึงเป็นเหตุดังนี้...."

ฟังดูเป็นคำด่าที่แสนจะสุภาพ แต่ขงเบ้งก็ยังไม่ยอมจำนน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่