วิชาที่มองไม่เห็น

กระทู้สนทนา
วันนี้คุยกับน้องๆ หลายคน ก็เกิดความรู้สึกว่าอยากพูดเรื่องวิชา  เพราะน้องๆ ในสังกัดหลายคน อยากได้วิชา 555

ภาวนาก็นานแล้ว อะไรๆ ที่ควรได้ควรมีก็บังเกิดขึ้นมาให้เห็นแล้ว น่าจะได้วิชชาสักกะที ทำไมยังไม่ได้อีก..


เราก็ไม่รู้จะบอกยังไงว่า..

วิชาที่น้องมองหา มันกลับมีหน้าตา เป็นสิ่งที่น้องๆ ไม่อยากได้ ไม่อยากพบ ไม่อยากสัมผัส  น้องบอกอยากได้วิชา
พี่ก็ว่าที่น้องเจออยู่นี่แหละวิชา !

น้องก็ว่าไม่ใช่  อันนี้มันไม่ใช่วิชา  ที่น้องอยากได้มันตรงข้ามกับอันนี้นะ

พี่ก็ไม่รู้ทำไง สิ่งที่น้องมองหา เป็นวิชาที่มองไม่เห็น คือเห็น แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นวิชา

ส่วนสิ่งที่น้องมองเห็น  แล้วเห็นว่ามันเป็นวิชา  มันก็ไม่ใช่วิชาที่แท้จริง




วิชาที่น้องๆ มองไม่เห็น เป็นวิชาที่สร้างความแตกต่างให้กับพุทธศาสนา

วิชานี้เป็นวิชาที่พระพุทธเจ้าสอน  เป็นวิชาเอกเลย คือ วิชา "รู้ทุกข์"

แต่ว่าเป็นวิชาที่คนส่วนใหญ่ไม่ยอมลงทะเบียนเรียน  ขนาดว่าเขาบังคับให้เรียนตั้งแต่เกิด ถ้าจำความได้ ก็หาทางหนีเรียนกันร่ำไป

ตัวเราเองก็เป็นคนที่หนีเรียนวิชานี้อยู่ตลอดตลอด.. แม้ว่าเขาจะบังคับให้เรียนตั้งแต่เกิด แต่เราก็ไม่ชอบเรียน 555

มิใยที่เมื่อจำความได้ โตขึ้นมา มีสติปัญญาอะไร ก็เอามาหาทางหนีเรียนวิชานี้ หนีทุกข์ไปวันๆ  เรียนศาสตร์ทางตะวันตก
ซึ่งว่าด้วยการหนีทุกข์ล้วนๆ ทำทุกอย่างเพื่อให้เราสุขกายสบายใจ แต่ไม่สามารถขจัดทุกข์ได้จริงเลย
เพราะศาสตร์ที่เราเรียน เขามุ่งสอนให้แก้ทุกข์ภายนอก มุ่งแก้ที่กลไก สภาพแวดล้อม แต่สิ่งที่เขาไม่ค่อยพูดถึง คือ "แก้ที่ภายใน"
ดังนั้น วิชาที่เราเรียนมาในโลกทั้งหมด ทำได้แค่ "ย้ายที่ทุกข์" แต่ไม่สามารถกำจัดทุกข์ได้อย่างแท้จริง
เป็นวิชาที่บันดาลความสุขมาให้  แต่ก็ไม่สามารถเอาความทุกข์ออกไปได้หมด

ตัวเราเองก็เป็นคนโชคดีกระไร มีดวงตา มองเห็นแต่ความทุกข์ ขนาดว่ากอดความสุขอยู่ ยังหลอนได้ว่าเดี๋ยวจะเจอทุกข์อะไรอีก

ภาษาทางโลก เรียกว่ามองโลกในแง่ร้าย แต่เราวิจัยมาครึ่งชีวิต เราก็ว่าเรามองโลกในแง่ดี แต่ทำไหมมันมองเห็นแต่แง่ร้ายฟระ..
มารู้ทีหลังว่า เราถูกออกแบบมาให้ "รู้ทุกข์" คือล็อกเสปคมาแล้ว ชะตาฟ้าลิขิต 555

เกิดมาเป็นคน perfectionist โดยไม่รู้ตัว คือถึงไม่เรียกร้องกับคนอื่น ก็เรียกร้องกับตัวเอง เมื่อไหร่มันจะเพอร์เฟ็คล่ะ (ตอนนั้นยังไม่รู้ว่า
อันที่จริงแล้วโลกนี้ imperfect)

เราก็เลยเป็นคนที่มีทุกข์สม่ำเสมอมากๆ จำได้ว่าตั้งแต่เกิดจนมาเจอครูอาจารย์ ไม่เคยไม่มีทุกข์เลย
ขนาดว่าทุกข์ของตัวเองไม่มี ยังอุตส่าห์ไปเอาทุกข์ของคนอื่นมาแบกไว้ 555

เรียกว่า ดวงชะตา ดวงนี้ ถูกล็อกเสปค ว่ายังไงเมิงต้องเจอทุกข์ ไม่มีข้อแม้ เมิงเก่งแค่ไหน เมิงก็ต้องเจอทุกข์ จะมีความสุขไปไม่ได้

เราเรียนในสายที่น่าจะบันเทิงสุดๆ แต่ดั๊นนน ไปเห็นสัจจะธรรมอีก เลยอยู่กับพวกบันเทิงจอมปลอมไม่ได้
เลยมาหาวงการที่เหมาะกับเรา ก็เลยพาตัวเองมาสู่วงการที่คนมีความทุกข์กันมาก 555
เราทำงานพัฒนา แก้ไขทุกข์ตั้งแต่ระดับปัจเจก จนถึงระดับนโยบาย เรียนเยอะ ทำเยอะ มันก็ไม่หายทุกข์นะ ยิ่งทำยิ่งทุกข์ 55
เอาชนะปัญหานึงได้ ก็มีปัญหาใหม่ๆ เข้ามาแทนที่  แก้ไขเรื่องนึงได้ ก็มีเรื่องอื่นๆ อีกมากที่ยังแก้ไขไม่ได้

ตอนสาวๆ เราเองไม่ค่อยมีทุกข์ของตัวเอง เพราะมัวเพลินกับทุกข์สาธารณะ อยู่หลายปี จนกระทั่งมันถึงจุดอิ่มตัว มันเลยวกเข้าหาตัวเอง

เกิดอาการมีทุกข์ของตัวเองขึ้นมา ไอ้ที่ว่า แก้ไขทุกข์คนอื่นไม่ได้จริง นี่สุดท้ายมันรวมเป็นทุกข์ของเราด้วย
คล้ายๆ เป็นความล้มเหลวทางทฤษฏีน่ะ เป็นทุกข์ที่เป็นนามธรรม

แต่สำหรับเรา  ทุกข์ทางทฤษฏีนี่มันมีอานุภาพมากกว่าทุกข์ที่ร่างกายผลิตขึ้นอีก  คือส่วนตัว ไม่ค่อยป่วย (แต่ไม่แข็งแรง) เงินไม่ขาดมือ แต่ไม่หมดหนี้ อะไรงี้  ไม่ได้อยากอะไรมาก ถ้าอยากได้จริงก็ได้  คือทุกข์ส่วนตัวมันไม่หนัก แค่มันไม่เป็นดังใจ ไม่สมปรารถนาซักกะอย่าง แต่เราก็รู้ว่าเราหวังสูง  ดังนั้นไม่สำเร็จ ก็ไม่ล้มเหลว  

เราเลยสนุกกับการแก้ไขทุกข์สาธารณะไง เป็นต้นว่าปัญหาครอบครัวตัวเองแก้ไม่ได้ เลยไปแก้ปัญหาครอบครัวคนอื่นซะเลย.. ดันทำได้..อะไรงี้..  จนกระทั่งมันหมดปัญหาครอบครัวของตัวเองไป แล้วไม่ได้สร้างครอบครัวใหม่ ครอบครัวเก่าก็หมดปัญหา เพราะมันแก้ไม่ได้ 555 ทีนี้ปัญหาก็มีแค่เรื่องงานไง ชีวิตทั้งหมดมันมีแค่เรื่องงาน ซึ่งเราก็ทุกข์กับมันเยอะมาก ในส่วนที่มันไม่ได้อย่างใจ แต่อาศัยสติปัญญา บุญวาสนานิดหน่อย มันก็รอดไปได้ทุกทีแหละ

พวกนักวิชาการนี่เขาจะมุ่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เชิงทฤษฏี เราก็สนุกกับมัน เพลินกับมันอยู่พักใหญ่ สิบห้าปีอัพเลยนะ 555
สมมติเราทำงานในระดับปฏิบัติการ มันก็มีข้อจำกัด ต้องขึ้นไประดับนโยบาย แล้วจะได้ตัดข้อจำกัดออก ฝันจะได้เป็นจริง
โห..วันนึงเราทำได้ในระดับนโยบายเลย นโยบายออกมา ฝันเป็นจริง ฟ้าสีทองผ่องอำไพแน่ 555

เปล่าเลย..  บนฟ้าน่ะสีทอง แต่ข้างล่าง ยังจำกัดเหมือนเดิม 555
เอ้ามาแก้ข้างล่างอีก แก้ข้างล่างได้บ้าง ข้างบนเปลี่ยนอีกแล้ว เรียกว่าแผนที่ทั้งจอนี่ กากบาทสีแดงเต็ม ไม่รู้จะวิ่งแก้ตรงไหนดี

วิ่งจนเหนื่อย จนปลง ก็เริ่มรู้แล้วว่า ความจริงคืออะไร.. 55 ความจริงคือเราแก้ปัญหาไม่ได้หมดหรอก เราแค่ได้ทำเท่านั้นแหละ

แต่ด้วยความที่มันเป็นคน perfectionism ไง มันก็ยังว่า มันน่าจะมีทฤษฏีที่เรายังไม่เจอ ไอ้ทฤษฏีนี้แหละ มันจะแก้ได้มากกว่าเดิม
มากกว่าที่เราเคยทำได้  เราก็ร่างแบบขึ้นมา แล้วก็หาวิธีทำ กำลังทำๆ ได้ดี ทำท่าว่าจะไปได้ดี...

พวกมาเหนือเมฆเลย คล้ายๆ เครื่องบินกำลังตั้งลำ ที่เพดานบินใกล้สูงสุด อีกนิดนึงจะสบายแล้ว เจอพายุเข้า.. เครื่องบินตกเรยยย

วันหนึ่งมันหมดแรงไปเฉยๆ  ด้วยเหตุปัจจัยที่สั่งสมมา เกิดอาการหมดแรง อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต

พอเราหมดแรง ทุกข์มันจู่โจมสิ เลยได้รู้ว่าทุกข์ใจจริงๆ มันเป็นยังไง มันปนกันมั่วหมด ไม่รู้ของใครๆ จนถึงจุดที่ว่า "มันมีแต่ทุกข์"
อย่าให้สาธยาย มันจะเปลืองเวลา เอาเป็นว่าทุกข์ทุกอย่างที่คนเราจะมีได้ มันเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน คล้ายสร้างบ้านเสร็จเจอซินามิกวาดเรียบน่ะ


แต่บทเรียนนี้ ทำให้ได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต ไม่ใช่ความรู้ ไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่เงิน ไม่ใช่อำนาจวาสนา แต่ว่ามันคือ "แรงใจ"

ซึ่งบทเรียนนี้เอง ทำให้เข้าใจว่า ทำไม "ศาสนา" จึงสำคัญที่สุด สำหรับชีวิตมนุษย์

เมื่อใดที่เราไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้อีกแล้ว เมื่อนั้นล่ะ "ศาสนาจะเป็นคำตอบให้เรา"

เมื่อเราไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา ด้วยวิชาการ ด้วยประสบการณ์ ด้วยศาสตร์ทางโลก
เมื่อนั้นล่ะ เราจะแสวงหาสิ่งที่เรียกว่า "ศรัทธา"

เพราะในภาวะอย่างนั้น "ปัญญา" ไม่ช่วยอะไรเลย แต่อาศัย "ศรัทธานิดเดียว"  รถของเราก็ไม่พุ่งลงเหวได้

ตอนที่เราตกที่นั่งลำบากที่สุด ก็ได้เห็นความดีของตัวเองที่สั่งสมมา (แล้วก็เคยคิดว่าทำดีไม่เคยได้ดีน่ะ) มันได้เห็นตอนทุกข์ยาก
มือสารพัดมือยื่นมาให้เรา พร้อมจะฉุดเราขึ้นจากปลักโคลน  

แต่เราไม่มีแรงจะยกมือตัวเองให้เขาช่วย 5555  

เราอยากจมโคลนหายไปเลย..   ได้ลองจมโคลนดูด้วย แต่ว่ามันไม่หาย  หลังจากดูท่าที หลุมโคลนมันจะใหญ่ขึ้น
แล้วจะดึงสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ที่เราได้สร้างสมมา ให้ลงมาในบ่อโคลนด้วย คล้ายๆ หลุมยุบน่ะ

เห็นท่าไม่รอดแล้ว  เลยออกหาความช่วยเหลือ  ออกจากเส้นทางที่เคยเดิน มาเจอพันทิป แล้วก็เจอกลุ่มผู้ปฏิบัติ ผู้ที่เขามุ่งแสวงบุญกันน่ะ

ด้วยอาศัยกลุ่มแสวงบุญ เลยได้รู้จักการทำบุญ ได้รู้จักศรัทธา โดยเฉพาะศรัทธาในพระพุทธศาสนา

แล้วก็เจอครูอาจารย์มากมาย จนได้เจอครูอาจารย์ที่ใช่ ที่ชอบ ก็ได้หันมาหาทางธรรม ที่ว่าจะๆ อยู่หลายปี  เลยได้เวลามาปฏิบัติธรรมจริงๆ





ถึงได้รู้ว่า..ตัวเองช่างโชคดี ที่ได้เก็บหน่วยกิตเรื่องทุกข์ๆ มาแล้วจากที่บ้าน ที่ทำงาน
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ 
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่