ไปอ่านข่าวเก่าๆ อ่านไปเจอย่อหน้านี้เลยอยากเอามาให้อ่านกันครับ
'ในอนาคตราคาตั๋วชมภาพยนตร์อาจจะถูกลง หรืออาจจะมีตั๋วเฉพาะกลุ่มออกมาขายก็ได้ เช่น ตั๋วสำหรับนักเรียน นักศึกษา เพราะการควบรวมกิจการจะทำให้ต้นทุนการดำเนินงานลดลงได้ ขอยืนยันว่า การรวมกันในครั้งนี้มีเหตุผลหลัก ก็คือ เพื่อประโยชน์สูงสุดในธุรกิจ และขนาดของบริษัทจะใหญ่มากขึ้นเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างประเทศ' นายวิชา กล่าว
------------------------------------------------------------------------------------------------
สรุปว่าทำให้ตั๋วถูกไม่ได้ใช่ไหมครับ เห็นเพิ่มเอาๆ ^^
--------------------------------------------------------
ข่าวเต็ม
ตระกูล'พูลวรลักษณ์' สงบศึกธุรกิจ คาด 6 เดือนรวมกิจการสำเร็จ คุมส่วนแบ่งตลาดโรงภาพยนตร์ 70% มูลค่าหุ้นเพิ่ม 1.4 หมื่นล้าน
ก้องเกียรติชี้เจรจาสัปดาห์เดียว
'เมเจอร์' ฮุบ 'อีจีวี' ผูกขาดความเป็นเจ้าตลาดโรงภาพยนตร์ชั้น 1 ในไทย พร้อมเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน ยึดหลักบริหารต้นทุนให้เกิดประสิทธิภาพ ปูทางเจาะตลาดต่างประเทศโดยใช้เวียดนามเป็นเวทีนำร่อง ขณะที่ปริมาณธุรกิจหลังควบรวมมีมาร์เก็ตแชร์ครอบคลุมกว่า 70% และมูลค่าราคาตลาดพุ่งสู่ 1.4 หมื่นล้านบาท 'วิชา พูลวรลักษณ์' ยันไม่ใช้นโยบายธุรกิจแบบผูกขาด แต่ราคาตั๋วหนังอาจถูกลง
บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประกาศแผนควบรวมกิจการกับบริษัท อีจีวี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ท่ามกลางนายจำเริญ พูลวรลักษณ์ บิดาของนายวิชา และนายเจริญ พูลวรลักษณ์ บิดาของนายวิชัย ซึ่งเป็นพี่ชายของนายจำเริญ มาร่วมให้กำลังใจ ในการร่วมแถลงข่าวอย่างเป็นทางการวานนี้ (10) ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์เอเชีย พลัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินได้วางขั้นตอนของการรวมกิจการในครั้งนี้ คิดเป็นมูลค่าหุ้นมากกว่า 1.8 พันล้านบาท
โดยเมเจอร์จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของอีจีวี ด้วยการชำระเป็นหุ้นใหม่ของเมเจอร์ ในอัตรา 1 หุ้นเมเจอร์ ต่อ 2.274 หุ้นอีจีวี และ 1 หุ้นเมเจอร์ ต่อ 11.449 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนท์) ของอีจีวี โดยเมเจอร์จะทำการออกหุ้นใหม่ 120 ล้านหุ้น เพื่อแลกซื้อกับหุ้นอีจีวีจำนวน 260 ล้านหุ้น และใบสำคัญแสดงสิทธิทั้งหมด 65 ล้านหน่วย โดยภายหลังจากที่ควบรวมกิจการ หุ้นอีจีวีก็ต้องถูกเพิกถอนจากตลาดหลักทรัพย์เหลือเพียงหุ้นเมเจอร์ที่ซื้อขายอยู่ในตลาด
บรรยากาศการแถลงข่าวดำเนินไปอย่างคึกคัก เนื่องจากเป็นดีลที่สื่อมวลชนให้ความสนใจ เพราะนอกจากทั้งสองบริษัทจะเป็นผู้ประกอบธุรกิจบันเทิงด้านโรงภาพยนตร์รายใหญ่ที่สุดในประเทศแล้ว ก่อนหน้านี้ ก็มีข่าวคราวความขัดแย้งระหว่างเจ้าของและผู้บริหารของทั้งสองบริษัทออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ในที่สุดท้ายธุรกิจทั้งสองก็ยอมที่จะจับมือควบรวมกิจการกัน
ยอมรับรวมเพิ่มอำนาจต่อรอง
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป กล่าวว่า การควบรวมธุรกิจจะเป็นผลให้เรามีอำนาจการต่อรองในอุตสาหกรรม แต่ก็ไม่ได้ทำให้ระบบเสียหาย และยืนยันว่า ไม่ได้มีเป้าหมายในการผูกขาดตลาด ในแง่การเพิ่มราคาตั๋วภาพยนตร์แต่ต้องการบริหารโปรแกรมภาพยนตร์ให้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
'ในอนาคตราคาตั๋วชมภาพยนตร์อาจจะถูกลง หรืออาจจะมีตั๋วเฉพาะกลุ่มออกมาขายก็ได้ เช่น ตั๋วสำหรับนักเรียน นักศึกษา เพราะการควบรวมกิจการจะทำให้ต้นทุนการดำเนินงานลดลงได้ ขอยืนยันว่า การรวมกันในครั้งนี้มีเหตุผลหลัก ก็คือ เพื่อประโยชน์สูงสุดในธุรกิจ และขนาดของบริษัทจะใหญ่มากขึ้นเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างประเทศ' นายวิชา กล่าว
นายวิชา กล่าวอีกว่า 'เราจะมีมาร์เก็ตแชร์ 70% หลังจากควบรวมกิจการ ทำให้มีการมองว่าทางกลุ่มผูกขาดธุรกิจบันเทิงโรงภาพยนตร์ ในขณะที่เป้าหมายหลักของเราต้องการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและเพื่อเตรียมความพร้อมในการขยายตลาดต่างประเทศ'
ทางด้านฐานะการเงินก็จะมีความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยปัจจุบันเมเจอร์มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนเพียง 0.02 เท่า ขณะที่อีจีวีมีหนี้สินต่อทุน 2.4 เท่า และหลังควบรวมกิจการจะทำให้หนี้สินต่อทุนลดลงเหลือเพียง 0.7 เท่า ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการเงินลดลง และคาดว่า ในไตรมาสแรกของปี 2548 จะสามารถรวมงบการเงินของทั้งสองบริษัทเข้ามาได้
ควบรวมเมเจอร์-อีจีวีนำร่อง
ทางด้าน นายวิชัย พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการ บริษัท อีจีวี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ร่วมกล่าวแถลงข่าวว่า การควบรวมกิจการในครั้งนี้เป็นแผนงานเบื้องต้น ภายหลังควบรวมกิจการทั้งเมเจอร์ และอีจีวี จะยังคงให้บริการโรงภาพยนตร์ภายใต้ชื่อ MAJOR & EGV ต่อไป และคาดว่า จะใช้เวลา 4-6 เดือน สำหรับการปรับโครงสร้างทางธุรกิจในกลุ่ม
เนื่องจากบางธุรกิจมีความทับซ้อนกัน เช่น โบว์ลิง และการบริหาร่างกายแบบฟิตเนส ทำให้แต่ละฝ่ายจะต้องไปเจรจาหารือร่วมกับพันธมิตรของตัวเอง ว่าจะทำอย่างไรก็ต่อไป หรืออาจจะนำมาควบรวมกันเหมือนกับบริษัทแม่ ซึ่งการควบรวมของเมเจอร์ และอีจีวี ถือว่าเป็นการนำร่องไปก่อน
นายวิชัย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ เราก็มีแผนที่จะควบรวมกิจการกัน แต่ติดปัญหาตรงที่อีจีวีมีพันธมิตรต่างชาติเข้ามาถือหุ้นด้วยจึงทำให้แนวคิดเป็นไปได้ยาก แต่เมื่อผู้ถือหุ้นต่างชาติถอนตัวไป ก็ทำให้แผนการควบรวมกิจการทำได้ง่ายขึ้น เพราะหากอีจีวีจะขยายธุรกิจด้วยตัวเองคงต้องใช้เวลานาน แต่หากควบรวมกิจการก็จะช่วยร่นระยะเวลาในการขยายตัวให้เร็วขึ้น ซึ่งเป้าหมายต่อไปไม่ใช่ตลาดในประเทศเท่านั้น แต่มีเป้าหมายร่วมกันในการรุกตลาดต่างประเทศ โดยจะเริ่มต้นที่ประเทศเวียดนาม เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตได้ดี
'ในอนาคตอาจจะเห็นภาพของธุรกิจอื่นในกลุ่มควบรวมกัน เป็นเรื่องที่ต้องหารือร่วมกับพันธมิตรธุรกิจอีกครั้ง เช่น ธุรกิจฟิตเนส ที่เป็นส่วนของแคลิฟอร์เนียและเยส ซึ่งต้องเวลาในการจัดการภายใน 4-6 เดือน และยืนยันว่า การควบรวมกิจการในครั้งนี้อีจีวีไม่ได้มีปัญหา แต่ต้องการขยายธุรกิจมากกว่า' นายวิชัย เปิดใจกล่าว
ภายหลังจากควบรวมกิจการกันแล้ว อีจีวียังมีโอกาสขยายธุรกิจได้มากขึ้น แม้จะถอนตัวจากการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยเหลือเพียงเมเจอร์ให้เป็นบริษัทจดทะเบียนต่อไป โดยที่มาร์เก็ตแชร์ภายหลังรวมบริษัทกันแล้วจะใหญ่ขึ้นถึง 70%
ขณะที่มูลค่าตลาดรวมของหุ้นหลังควบรวม หรือมาร์เก็ตแคป จะอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท โดยมีโรงภาพยนตร์ในเครือ 250 แห่ง และหากนำแผนงานขยายโรงภาพยนตร์ของทั้งสองบริษัทมารวมกันในปี 2548 จะเพิ่มโรงภาพยนตร์เป็น 350 แห่ง สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นหลังควบรวม กลุ่มเมเจอร์จะถือหุ้น 70% และอีจีวี 30%
ก้องเกียรติชี้เจรจาสัปดาห์เดียว
ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้ เริ่มจากความตั้งใจ และเห็นพ้องต้องกันของผู้บริหารทั้งสองฝ่าย ที่ต้องการเพิ่มศักยภาพในการประกอบธุรกิจโรงภาพยนตร์ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในธุรกิจไทยที่มีความแข็งแกร่ง และมีความสามารถในการแข่งขันกับต่างชาติได้ และยังเป็นการตอกย้ำจุดแข็งของอุตสาหกรรมนี้
แต่เมื่อถูกถามว่า ผู้บริหารของทั้ง 2 บริษัทเคยมีความขัดแย้งกัน แต่สุดท้ายทำไมมีการควบรวมกิจการกันได้
ดร.ก้องเกียรติ กล่าวว่า ทั้ง 2 กลุ่มเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่ามีความขัดแย้งในตระผมลกันมานาน 'แต่ในการเจรจาแผนการควบรวมนี้ใช้เวลาในการเจรจาไม่ถึงสัปดาห์
โดยประเด็นที่ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายยินยอมควบรวมกันได้ เหตุผลก็คือธุรกิจและสภาพการแข่งขันกันเองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับทั้ง 2 ฝ่ายอย่างเต็มที่ ซึ่งการทำธุรกิจปัจจุบันการเสริมศักยภาพเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น และเชื่อว่าหลายอุตสาหกรรมก็ต้องควบรวมอีกในอนาคต'
คำให้สัมภาษณ์ของ คุณวิชา พูลวรลักษณ์ นสพ. กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 11 มิ.ย. 2547
'ในอนาคตราคาตั๋วชมภาพยนตร์อาจจะถูกลง หรืออาจจะมีตั๋วเฉพาะกลุ่มออกมาขายก็ได้ เช่น ตั๋วสำหรับนักเรียน นักศึกษา เพราะการควบรวมกิจการจะทำให้ต้นทุนการดำเนินงานลดลงได้ ขอยืนยันว่า การรวมกันในครั้งนี้มีเหตุผลหลัก ก็คือ เพื่อประโยชน์สูงสุดในธุรกิจ และขนาดของบริษัทจะใหญ่มากขึ้นเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างประเทศ' นายวิชา กล่าว
------------------------------------------------------------------------------------------------
สรุปว่าทำให้ตั๋วถูกไม่ได้ใช่ไหมครับ เห็นเพิ่มเอาๆ ^^
--------------------------------------------------------
ข่าวเต็ม
ตระกูล'พูลวรลักษณ์' สงบศึกธุรกิจ คาด 6 เดือนรวมกิจการสำเร็จ คุมส่วนแบ่งตลาดโรงภาพยนตร์ 70% มูลค่าหุ้นเพิ่ม 1.4 หมื่นล้าน
ก้องเกียรติชี้เจรจาสัปดาห์เดียว
'เมเจอร์' ฮุบ 'อีจีวี' ผูกขาดความเป็นเจ้าตลาดโรงภาพยนตร์ชั้น 1 ในไทย พร้อมเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน ยึดหลักบริหารต้นทุนให้เกิดประสิทธิภาพ ปูทางเจาะตลาดต่างประเทศโดยใช้เวียดนามเป็นเวทีนำร่อง ขณะที่ปริมาณธุรกิจหลังควบรวมมีมาร์เก็ตแชร์ครอบคลุมกว่า 70% และมูลค่าราคาตลาดพุ่งสู่ 1.4 หมื่นล้านบาท 'วิชา พูลวรลักษณ์' ยันไม่ใช้นโยบายธุรกิจแบบผูกขาด แต่ราคาตั๋วหนังอาจถูกลง
บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประกาศแผนควบรวมกิจการกับบริษัท อีจีวี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ท่ามกลางนายจำเริญ พูลวรลักษณ์ บิดาของนายวิชา และนายเจริญ พูลวรลักษณ์ บิดาของนายวิชัย ซึ่งเป็นพี่ชายของนายจำเริญ มาร่วมให้กำลังใจ ในการร่วมแถลงข่าวอย่างเป็นทางการวานนี้ (10) ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์เอเชีย พลัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินได้วางขั้นตอนของการรวมกิจการในครั้งนี้ คิดเป็นมูลค่าหุ้นมากกว่า 1.8 พันล้านบาท
โดยเมเจอร์จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของอีจีวี ด้วยการชำระเป็นหุ้นใหม่ของเมเจอร์ ในอัตรา 1 หุ้นเมเจอร์ ต่อ 2.274 หุ้นอีจีวี และ 1 หุ้นเมเจอร์ ต่อ 11.449 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนท์) ของอีจีวี โดยเมเจอร์จะทำการออกหุ้นใหม่ 120 ล้านหุ้น เพื่อแลกซื้อกับหุ้นอีจีวีจำนวน 260 ล้านหุ้น และใบสำคัญแสดงสิทธิทั้งหมด 65 ล้านหน่วย โดยภายหลังจากที่ควบรวมกิจการ หุ้นอีจีวีก็ต้องถูกเพิกถอนจากตลาดหลักทรัพย์เหลือเพียงหุ้นเมเจอร์ที่ซื้อขายอยู่ในตลาด
บรรยากาศการแถลงข่าวดำเนินไปอย่างคึกคัก เนื่องจากเป็นดีลที่สื่อมวลชนให้ความสนใจ เพราะนอกจากทั้งสองบริษัทจะเป็นผู้ประกอบธุรกิจบันเทิงด้านโรงภาพยนตร์รายใหญ่ที่สุดในประเทศแล้ว ก่อนหน้านี้ ก็มีข่าวคราวความขัดแย้งระหว่างเจ้าของและผู้บริหารของทั้งสองบริษัทออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ในที่สุดท้ายธุรกิจทั้งสองก็ยอมที่จะจับมือควบรวมกิจการกัน
ยอมรับรวมเพิ่มอำนาจต่อรอง
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป กล่าวว่า การควบรวมธุรกิจจะเป็นผลให้เรามีอำนาจการต่อรองในอุตสาหกรรม แต่ก็ไม่ได้ทำให้ระบบเสียหาย และยืนยันว่า ไม่ได้มีเป้าหมายในการผูกขาดตลาด ในแง่การเพิ่มราคาตั๋วภาพยนตร์แต่ต้องการบริหารโปรแกรมภาพยนตร์ให้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
'ในอนาคตราคาตั๋วชมภาพยนตร์อาจจะถูกลง หรืออาจจะมีตั๋วเฉพาะกลุ่มออกมาขายก็ได้ เช่น ตั๋วสำหรับนักเรียน นักศึกษา เพราะการควบรวมกิจการจะทำให้ต้นทุนการดำเนินงานลดลงได้ ขอยืนยันว่า การรวมกันในครั้งนี้มีเหตุผลหลัก ก็คือ เพื่อประโยชน์สูงสุดในธุรกิจ และขนาดของบริษัทจะใหญ่มากขึ้นเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างประเทศ' นายวิชา กล่าว
นายวิชา กล่าวอีกว่า 'เราจะมีมาร์เก็ตแชร์ 70% หลังจากควบรวมกิจการ ทำให้มีการมองว่าทางกลุ่มผูกขาดธุรกิจบันเทิงโรงภาพยนตร์ ในขณะที่เป้าหมายหลักของเราต้องการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและเพื่อเตรียมความพร้อมในการขยายตลาดต่างประเทศ'
ทางด้านฐานะการเงินก็จะมีความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยปัจจุบันเมเจอร์มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนเพียง 0.02 เท่า ขณะที่อีจีวีมีหนี้สินต่อทุน 2.4 เท่า และหลังควบรวมกิจการจะทำให้หนี้สินต่อทุนลดลงเหลือเพียง 0.7 เท่า ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการเงินลดลง และคาดว่า ในไตรมาสแรกของปี 2548 จะสามารถรวมงบการเงินของทั้งสองบริษัทเข้ามาได้
ควบรวมเมเจอร์-อีจีวีนำร่อง
ทางด้าน นายวิชัย พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการ บริษัท อีจีวี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ร่วมกล่าวแถลงข่าวว่า การควบรวมกิจการในครั้งนี้เป็นแผนงานเบื้องต้น ภายหลังควบรวมกิจการทั้งเมเจอร์ และอีจีวี จะยังคงให้บริการโรงภาพยนตร์ภายใต้ชื่อ MAJOR & EGV ต่อไป และคาดว่า จะใช้เวลา 4-6 เดือน สำหรับการปรับโครงสร้างทางธุรกิจในกลุ่ม
เนื่องจากบางธุรกิจมีความทับซ้อนกัน เช่น โบว์ลิง และการบริหาร่างกายแบบฟิตเนส ทำให้แต่ละฝ่ายจะต้องไปเจรจาหารือร่วมกับพันธมิตรของตัวเอง ว่าจะทำอย่างไรก็ต่อไป หรืออาจจะนำมาควบรวมกันเหมือนกับบริษัทแม่ ซึ่งการควบรวมของเมเจอร์ และอีจีวี ถือว่าเป็นการนำร่องไปก่อน
นายวิชัย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ เราก็มีแผนที่จะควบรวมกิจการกัน แต่ติดปัญหาตรงที่อีจีวีมีพันธมิตรต่างชาติเข้ามาถือหุ้นด้วยจึงทำให้แนวคิดเป็นไปได้ยาก แต่เมื่อผู้ถือหุ้นต่างชาติถอนตัวไป ก็ทำให้แผนการควบรวมกิจการทำได้ง่ายขึ้น เพราะหากอีจีวีจะขยายธุรกิจด้วยตัวเองคงต้องใช้เวลานาน แต่หากควบรวมกิจการก็จะช่วยร่นระยะเวลาในการขยายตัวให้เร็วขึ้น ซึ่งเป้าหมายต่อไปไม่ใช่ตลาดในประเทศเท่านั้น แต่มีเป้าหมายร่วมกันในการรุกตลาดต่างประเทศ โดยจะเริ่มต้นที่ประเทศเวียดนาม เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตได้ดี
'ในอนาคตอาจจะเห็นภาพของธุรกิจอื่นในกลุ่มควบรวมกัน เป็นเรื่องที่ต้องหารือร่วมกับพันธมิตรธุรกิจอีกครั้ง เช่น ธุรกิจฟิตเนส ที่เป็นส่วนของแคลิฟอร์เนียและเยส ซึ่งต้องเวลาในการจัดการภายใน 4-6 เดือน และยืนยันว่า การควบรวมกิจการในครั้งนี้อีจีวีไม่ได้มีปัญหา แต่ต้องการขยายธุรกิจมากกว่า' นายวิชัย เปิดใจกล่าว
ภายหลังจากควบรวมกิจการกันแล้ว อีจีวียังมีโอกาสขยายธุรกิจได้มากขึ้น แม้จะถอนตัวจากการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยเหลือเพียงเมเจอร์ให้เป็นบริษัทจดทะเบียนต่อไป โดยที่มาร์เก็ตแชร์ภายหลังรวมบริษัทกันแล้วจะใหญ่ขึ้นถึง 70%
ขณะที่มูลค่าตลาดรวมของหุ้นหลังควบรวม หรือมาร์เก็ตแคป จะอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท โดยมีโรงภาพยนตร์ในเครือ 250 แห่ง และหากนำแผนงานขยายโรงภาพยนตร์ของทั้งสองบริษัทมารวมกันในปี 2548 จะเพิ่มโรงภาพยนตร์เป็น 350 แห่ง สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นหลังควบรวม กลุ่มเมเจอร์จะถือหุ้น 70% และอีจีวี 30%
ก้องเกียรติชี้เจรจาสัปดาห์เดียว
ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้ เริ่มจากความตั้งใจ และเห็นพ้องต้องกันของผู้บริหารทั้งสองฝ่าย ที่ต้องการเพิ่มศักยภาพในการประกอบธุรกิจโรงภาพยนตร์ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในธุรกิจไทยที่มีความแข็งแกร่ง และมีความสามารถในการแข่งขันกับต่างชาติได้ และยังเป็นการตอกย้ำจุดแข็งของอุตสาหกรรมนี้
แต่เมื่อถูกถามว่า ผู้บริหารของทั้ง 2 บริษัทเคยมีความขัดแย้งกัน แต่สุดท้ายทำไมมีการควบรวมกิจการกันได้
ดร.ก้องเกียรติ กล่าวว่า ทั้ง 2 กลุ่มเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่ามีความขัดแย้งในตระผมลกันมานาน 'แต่ในการเจรจาแผนการควบรวมนี้ใช้เวลาในการเจรจาไม่ถึงสัปดาห์
โดยประเด็นที่ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายยินยอมควบรวมกันได้ เหตุผลก็คือธุรกิจและสภาพการแข่งขันกันเองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับทั้ง 2 ฝ่ายอย่างเต็มที่ ซึ่งการทำธุรกิจปัจจุบันการเสริมศักยภาพเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น และเชื่อว่าหลายอุตสาหกรรมก็ต้องควบรวมอีกในอนาคต'