เกริ่น เขียนบันทึกนี้หลังดอร์ทมุนด์บุกไปยัน รีล มาดริด แพ้ไปแค่ 2-0 ชนะสกอร์รวม 4-3 เข้าชิง UCL แล้ว และ เขียนในนามแฟนพันธฺุ์ทางฟุตบอลเยอรมัน
ความสำเร็จล่าสุดในการเข้าชิงถ้วยหูใหญ่เจ้ายุโรปของเสือเหลือง แถมด้วยถาดแชมป์บุนเดสลีกา 2 ปี ติดต่อกันก่อนฤดูกาลนี้ ไม่ได้มาด้วยโชคช่วย แต่ทั้งหมดทั้งปวงมาจากมันสมองและการวางแผนทั้งระบบของ เจอร์เกน คลอป กุนซือของทีม
- ดอร์ทมุนด์ได้แชมป์บุนเดสลีกาครั้งล่าสุดก่อนยุคปัจจุบัน(สองสมัยติด) ในปี 2002 กุนซือคือ เจ้าชายผมแดง สุดยอดลิเบโร่ แห่งยุโรป แมตเทียส ซามเมอร์ ในยุคนั้นดอร์ทมุนด์ใช้เงินซื้อความสำเร็จ นักเตะอย่าง เยนส์ เลมันด์, โธมัส โรซิคกี้, แยน โคเลอร์, มาโช่ อโมโรโซ่ ถูกนำเข้ามาสู่การเป็นแชมป์
- หลังได้แชมป์ทีมขาดความกระหาย ทำให้ผลงานตกลง ไม่ได้ไป UCL ทีมมีปัญหาการเงิน ต้องปล่อยดาวดังค่าเหนื่อยแพงออกไป ขายชื่อสนาม จาก เวสฟาเล่น สเตเดียม เป็น ซิกนัล อีดูนาพาร์ค ซามเมอร์ลาออก คนมาแทนคือ เจอเกน โรเบอร์, โธมัส โดล ก็ไม่ดีขึ้น ทีมเน้นใช้นักเตะเกรดบีมีอายุและประสบการณ์แทนพวกเกรดเอที่จากไป
- ในปี 2008 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด การเข้ามาของกุนซือระดับทีมกลางตารางอย่าง ไมนซ์ เจอเก้น คลอป กุนซือที่มีผลงานเพียงแค่พาไมนซ์ทีมเล็กๆไปเตะยูฟ่าคัพ แต่ผู้บริหารทีมก็ให้ความไว้วางใจ
- จากนักเตะเกรดบีเปลี่ยนมาสู่ยุคของนักเตะดาวรุ่งทั้งดันขึ้นมาจากทีมเยาวชน และ ซื้อมาจากข้างนอก มาริโอ เกิตเซ่, เควิน โกรสเคาท์, นูริ ชาฮิน ถูกดันขึ้นมา ฉกเด็กที่แจ้งเกิดไม่ได้จากทีมใหญ่ แสบสุดๆก็คือ แมต ฮุมเมิล ที่ฉกมาจากทีมเยาวชนของบาเยิร์นแบบสุดถูก สองนักเตะโปแลนด์อย่าง คูบ้า ยาคุป บลาซิคอฟสกี้ กับ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ดาวรุ่งชาวเยอรมันอย่าง สเวน เบนเดอร์, มาเซล ชเมลเซอร์ พอได้แชมป์ปีแรกเสียชาฮินไป ก็ได้ อิลกาย กุนโดกันมา ปีสองพอเสียคากาวะไป ก็ได้ มาร์โค รอยส์ มา
- ปีที่ 3 ของการคุมทีม ดอร์ทมุนด์ คลอปก็คว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ ปีที่ 4 ได้แชมป์ลีก ปีที่ 5 เข้าชิง UCL เป็นการรอคอยที่ไม่นานเลยกับนักเตะดาวรุ่ง
ของแถม
**Liverpool Way**
แบรนดอน รอดเจอร์ เคยให้สัมภาษณ์ว่าทีมที่เขาดูเป็นตัวอย่างมากที่สุดคือ ดอร์ทมุนด์
http://www.goal.com/th/news/4256/%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9/2013/04/13/3900380/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%B2-%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%B2
ผมดูแนวทางก็ใกล้เคียง ดูจากการซื้อ แดเนียล สเตอริดจ์ ที่ดับกับเชลซี ซื้อ ฟิลิป คูตินโย่ ที่ดับกับอินเตอร์ กองหน้าดาวรุ่งอย่าง ฟาบิโอ บอรินี่ กลางอย่าง โจ อัลเลน ให้โอกาส อังเดร วิสดอม, ซูโซ่, ราฮีม สเตอลิ่ง, จอนโจ เชฟวี่
ซื้อนักเตะแพงสุดคือ อัลเลน กับ สเตอร์ริด ประมาณ 12 ล้านปอนด์เท่าๆกัน
สิ่งที่แตกต่างคือ ลีกเยอรมันมียักษ์ใหญ่คือ บาเยิร์น มิวนิค ทีมเดียว ปีที่บาเยิร์นฟอร์มหลุดทีมไหนฟอร์มดีก็มีโอกาสเป็นแชมป์
แต่พรีเมียร์ลีก มีทีมใหญ่ที่มีโอกาสลุ้นแชมป์ถึง 4 ทีม
- แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
- แมนเชสเตอร์ ซิตี้
- เชลซี
- อาเซนอล
การเบียดเข้าไปยากกว่า หวังว่าสโมสรจะเชื่อมั่นและเดินในแนวทางนี้ต่อ ไม่ขายนักเตะเอาเงินโดยที่ยังหาตัวแทนไม่ได้ พอกฏ financial fairplay บังคับใช้อีก 2 ปีข้างหน้า ทีมใหญ่ก็จะใช้เงินมือเติบไม่ได้ เว้นจะทำนิติกรรมอำพรางขายชื่อสนามแบบแมนซิตี้ ฮา ความเท่าเทียมก็จะมากขึ้น หงส์ดาวรุ่งจะกล้าแกร่งขึ้น ดีไม่ดีอาจไม่ใช่แค่ยึดเกาะอังกฤษคืนจาก 4 ทีมข้างบน แต่จะยึดยุโรปคืนด้วยซ้ำ =]
Borussia Dortmund Way ของแถม Liverpool Way
ความสำเร็จล่าสุดในการเข้าชิงถ้วยหูใหญ่เจ้ายุโรปของเสือเหลือง แถมด้วยถาดแชมป์บุนเดสลีกา 2 ปี ติดต่อกันก่อนฤดูกาลนี้ ไม่ได้มาด้วยโชคช่วย แต่ทั้งหมดทั้งปวงมาจากมันสมองและการวางแผนทั้งระบบของ เจอร์เกน คลอป กุนซือของทีม
- ดอร์ทมุนด์ได้แชมป์บุนเดสลีกาครั้งล่าสุดก่อนยุคปัจจุบัน(สองสมัยติด) ในปี 2002 กุนซือคือ เจ้าชายผมแดง สุดยอดลิเบโร่ แห่งยุโรป แมตเทียส ซามเมอร์ ในยุคนั้นดอร์ทมุนด์ใช้เงินซื้อความสำเร็จ นักเตะอย่าง เยนส์ เลมันด์, โธมัส โรซิคกี้, แยน โคเลอร์, มาโช่ อโมโรโซ่ ถูกนำเข้ามาสู่การเป็นแชมป์
- หลังได้แชมป์ทีมขาดความกระหาย ทำให้ผลงานตกลง ไม่ได้ไป UCL ทีมมีปัญหาการเงิน ต้องปล่อยดาวดังค่าเหนื่อยแพงออกไป ขายชื่อสนาม จาก เวสฟาเล่น สเตเดียม เป็น ซิกนัล อีดูนาพาร์ค ซามเมอร์ลาออก คนมาแทนคือ เจอเกน โรเบอร์, โธมัส โดล ก็ไม่ดีขึ้น ทีมเน้นใช้นักเตะเกรดบีมีอายุและประสบการณ์แทนพวกเกรดเอที่จากไป
- ในปี 2008 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด การเข้ามาของกุนซือระดับทีมกลางตารางอย่าง ไมนซ์ เจอเก้น คลอป กุนซือที่มีผลงานเพียงแค่พาไมนซ์ทีมเล็กๆไปเตะยูฟ่าคัพ แต่ผู้บริหารทีมก็ให้ความไว้วางใจ
- จากนักเตะเกรดบีเปลี่ยนมาสู่ยุคของนักเตะดาวรุ่งทั้งดันขึ้นมาจากทีมเยาวชน และ ซื้อมาจากข้างนอก มาริโอ เกิตเซ่, เควิน โกรสเคาท์, นูริ ชาฮิน ถูกดันขึ้นมา ฉกเด็กที่แจ้งเกิดไม่ได้จากทีมใหญ่ แสบสุดๆก็คือ แมต ฮุมเมิล ที่ฉกมาจากทีมเยาวชนของบาเยิร์นแบบสุดถูก สองนักเตะโปแลนด์อย่าง คูบ้า ยาคุป บลาซิคอฟสกี้ กับ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ดาวรุ่งชาวเยอรมันอย่าง สเวน เบนเดอร์, มาเซล ชเมลเซอร์ พอได้แชมป์ปีแรกเสียชาฮินไป ก็ได้ อิลกาย กุนโดกันมา ปีสองพอเสียคากาวะไป ก็ได้ มาร์โค รอยส์ มา
- ปีที่ 3 ของการคุมทีม ดอร์ทมุนด์ คลอปก็คว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ ปีที่ 4 ได้แชมป์ลีก ปีที่ 5 เข้าชิง UCL เป็นการรอคอยที่ไม่นานเลยกับนักเตะดาวรุ่ง
ของแถม
**Liverpool Way**
แบรนดอน รอดเจอร์ เคยให้สัมภาษณ์ว่าทีมที่เขาดูเป็นตัวอย่างมากที่สุดคือ ดอร์ทมุนด์
http://www.goal.com/th/news/4256/%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9/2013/04/13/3900380/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%B2-%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%B2
ผมดูแนวทางก็ใกล้เคียง ดูจากการซื้อ แดเนียล สเตอริดจ์ ที่ดับกับเชลซี ซื้อ ฟิลิป คูตินโย่ ที่ดับกับอินเตอร์ กองหน้าดาวรุ่งอย่าง ฟาบิโอ บอรินี่ กลางอย่าง โจ อัลเลน ให้โอกาส อังเดร วิสดอม, ซูโซ่, ราฮีม สเตอลิ่ง, จอนโจ เชฟวี่
ซื้อนักเตะแพงสุดคือ อัลเลน กับ สเตอร์ริด ประมาณ 12 ล้านปอนด์เท่าๆกัน
สิ่งที่แตกต่างคือ ลีกเยอรมันมียักษ์ใหญ่คือ บาเยิร์น มิวนิค ทีมเดียว ปีที่บาเยิร์นฟอร์มหลุดทีมไหนฟอร์มดีก็มีโอกาสเป็นแชมป์
แต่พรีเมียร์ลีก มีทีมใหญ่ที่มีโอกาสลุ้นแชมป์ถึง 4 ทีม
- แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
- แมนเชสเตอร์ ซิตี้
- เชลซี
- อาเซนอล
การเบียดเข้าไปยากกว่า หวังว่าสโมสรจะเชื่อมั่นและเดินในแนวทางนี้ต่อ ไม่ขายนักเตะเอาเงินโดยที่ยังหาตัวแทนไม่ได้ พอกฏ financial fairplay บังคับใช้อีก 2 ปีข้างหน้า ทีมใหญ่ก็จะใช้เงินมือเติบไม่ได้ เว้นจะทำนิติกรรมอำพรางขายชื่อสนามแบบแมนซิตี้ ฮา ความเท่าเทียมก็จะมากขึ้น หงส์ดาวรุ่งจะกล้าแกร่งขึ้น ดีไม่ดีอาจไม่ใช่แค่ยึดเกาะอังกฤษคืนจาก 4 ทีมข้างบน แต่จะยึดยุโรปคืนด้วยซ้ำ =]