แดดร้อนตอนบ่ายแยงตา จนผมต้องหยีตามอง หมู่หมาที่บ้าน ล้อมเห่ากันเกรียวกราว ทันทีที่เห็นรถเก๋งสัญชาติยุโรปเลี้ยวผ่านประตูไม้เก่าๆ เข้ามา จากนั้นร่างสูงโปร่งของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง ก็เดินผ่านเปลวแดด ตรงมาที่แคร่ไม้ใต้ต้นขนุน ที่ผมเอนหลังอยู่
เขาหิ้ว ตะกร้าผลไม้เมืองหนาวขนาดใหญ่ และบุหรี่เกล็ดทอง 1 ห่อ ทรุดตัวนั่งข้างแคร่ ยื่นของให้ผม และพนมมือกราบที่ตักผมช้าๆ
กล่าวสวัสดีปีใหม่ ผมลูบศรีษะที่บัดนี้ ปกคลุมด้วยผมหยักศกดำขลับของเขา เราต่างไต่ถามสารทุกข์ สุกดิบระหว่างกันและกัน ไล่เรียงกันว่า
เราไม่พบปะหน้าค่าตา กันมานานสักเท่าใด เวลา 10 ปี ทำเอาความทรงจำหลายส่วนของคนแก่อย่างผมพล่าเบลอ แต่เรื่องราวของอดีตเณรหนุ่มผู้นี้ กลับแจ่มชัด ไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำของผมเลย
ซอนเป็นเด็กชาวเขา มาจาก จังหวัดทางภาคเหนือ พ่อเป็นคนไทยพื้นราบ แม่เป็นชาวเขา ฐานะยากจน พ่อแม่ พามาเข้าโครงการบวชเณร ตั้งแต่เล็กๆ เพราะไม่มีเงินให้ลูกเรียนหนังสือ พระพี่เลี้ยงบอกกับแม่ของซอน วันที่ไปรับเด็กๆมาบวชว่า
"ไม่ต้องห่วง โยม ให้บวชเสีย มีเพื่อน มีที่อยู่ที่กิน มีที่เรียน"
ความที่ ซอน ผิวคล้ำกว่าเพื่อนๆ ชาวเขาที่มาเป็นเณรในรุ่นราวคราวเดียวกัน ประกอบกับรูปหน้าคมเข้ม สันจมูกตรง ปากเป็นกระจับได้รูป ซอนจึงดูเป็นเณรหนุ่มน้อยหน้าตาดี ที่ยิ่งเติบโต ยิ่งแตกต่างและ เตะตาผู้ตนที่อยู่รายรอบวัด รวมถึง พระ เณร ที่มาเรียนนักธรรมที่ กรุงเทพฯ ด้วยกันเป็นอย่างมาก
ผมมีอาชีพขับรถกระบะ รับจ้างทั่วไป ขนผัก ปลา ขนสินค้า หรือ รับจ้างย้ายของ ย้ายบ้าน ที่จอดรถประจำวันที่นอนรอลูกค้า ก็คือ ริมคลองหลังวัด สมัยนั้น ตอนเช้า ผม รับแม่ค้ากับขนของมาจากชานเมือง แถวๆบ้าน เข้ามาส่ง ย่านท่องเที่ยว จากนั้นผมก็มาจอดรอผู้ใช้บริการตรงนี้ทุกวัน
สายๆ วันหนึ่ง ข้างวัด เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน มีคนมาเวียนๆ ข้างรถ จนมาเกาะลูกกรงข้างรถผม ผมมีแววจะได้งาน
“ลุง ไปบางแสน กี่บาท”
ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็เห็นหน้าเจ้าของเสียง เณรซอนจ้องเขม็งอยู่
“300” ผมตอบสั้นๆ แบบเล่นตัวไม่อยากรับงานต่างจังหวัด"
“รอรับกลับด้วย ไป กัน 7 คน 300 บาทเหรอ” เณรซอนหัวโจก เริ่มให้รายละเอียดมากขึ้น แสดงว่า ราคา ไม่เป็นปัญหาแล้ว
“400”
ผมเขยิบราคาหนี แล้วทำทีเป็นไม่สนใจ ทั้งที่ราคา 300 บาท ผมก็คุ้มแล้ว แม้จะเสียเวลา วันหนึ่งเต็มๆ และพอเป็นข้ออ้างได้ว่าได้ราคาดีถ้าเมียที่บ้านจะมาด่าผมตอนหลัง
“ตกลงศุกร์นี้ นะครับลุง”.
สิ้นเสียง เณรซอน ก็วางซองเงิน 400 บาทให้ผม แล้วเดินจีวรปลิวกลับเข้ากุฏิไป
ผมจำได้วันศุกร์นั้น ที่บางแสนคนไม่พลุกพล่านเลย ผมไปจอดรถหลบต้นไม้ไต้ร่มมะพร้าว ได้ยินเสียงเด็กผู้ชายตัวน้อยๆ พากันตื่นเต้นกับภาพสองข้างทางที่ผ่านมาไม่ขาด
เณรผลัดผ้าเหลือง เปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้น ลงเล่นน้ำทะเล กันอย่างสนุกสนาน นั่งเตียงผ้าใบเพื่อมากินส้มตำ กุ้ง หอย ปู ปลา สลับกับเตะบอลชายหาด และลงเล่นน้ำสลับกันอยู่แบบนี้ ตั้งแต่ สายยันเย็น ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
สังคมอาจค่อนขอดว่า ผมนี่ช่างเลวเสียจริง พาเณรวัย 11-12 ขวบ ออกมาทำผิดศีล ผมไม่รู้จะเถียงสู้ไปได้กะไร เพราะเขาเหล่านั้น เป็นลูกค้า เป็นนายจ้างของผม และ ผมก็ มีภาระในการต้องหาเงิน เลี้ยงปาก เลี้ยงท้องตัวเอง เมีย 1 ลูกกำลังใช้เงิน อีก 2 คน ที่สำคัญพวกเหล่านั้น ยังเป็นเด็กชาย กำลังซน เหมือนลูกหลานคนทั่วไป
ตอนขากลับ ซอนบอกกับผมว่า
“ลุง ทะเลกว้างใหญ่มากเลย ผมชอบทะเล รู้สึกอิสระ รู้สึกมีเสรีภาพ จริงๆ นับแต่เกิดมา”
ผมไม่ตอบอะไร หันไปมองแล้วยิ้มๆ นึกขันว่า ความคิดของเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ มันจะไปรู้เรื่อง อิสระ เสรีภาพ ได้อย่างไรกัน ผมห่วง ว่าห่อหมกที่ซื้อมาฝากเมียจะบูดก่อนถึงบ้านซะมากกว่า
ผมผูกแปลนอนอยู่ท้ายรถ ถ้าเณรซอนไม่มีเรียน รึ ไม่ไปช่วยสอน บ่ายๆ ก็จะมานั่งคุยกับผมเสมอๆ อาทิตย์ก่อน มีเณรสอบเทียบชั้น ม.6 และสอบนักธรรมเอกได้หลายคน เณรซอนเป็น 1 ในนั้น ซอนหน้าตาไม่ดี สมกับที่สอบได้เอาเสียเลย เณรรูปงามวัย 18 ปี มานั่งตรงกระบะท้ายแล้ว ถามผมว่า
“หลวงน้า จะหาทุนให้เรียนต่อจนจบปริญญา ลุงว่าดีไหม”
ผมลุกจากเปลมาจุดบุหรี่สูบ รอให้ควันนรกมันแน่นเต็มปอด แล้วจึง ถามกลับไปบ้าง
“เอ็ง อยากเรียนไม่ใช่เหรอ แล้วไหนว่าอยากได้ บัตรประชาชน แทนบัตรสี ไงล่ะ ไม่อยากได้แล้วเรอะ”
“หลวงน้า บอกต้องอยู่ที่วัดนี้ ห้ามย้ายไปไหน และห้ามสึก จึงจะจัดการเรื่องนั้นให้”
“หลวงน้ามีบุญคุณ ผมไม่อยากเนรคุณ”
ผมได้ยินแล้วสังเวชหัวใจ ด้วยเหตุการณ์แบบนี้ใช่ไม่เคยเกิดขึ้น
“ ชีวิตเป็นของเอ็งนะซอน ผิดชอบชั่วดี รู้หมด ลุงว่าเองตัดสินใจได้ มีอะไรก็บอกลุง อย่าได้เกรงใจ”
ผมพูดได้แค่นี้ ก่อนที่จะปล่อยให้เณรหนุ่มน้อย นั่งร้องให้น้ำตาไหลอยู่เงียบๆ
พรุ่งนี้ก็เปลี่ยนศกแล้ว เสียงหลวงน้าเทศน์ เรื่องกาม ราคะ และการผิดศีลข้อ กาเม ในวันปีใหม่ จบลงเสียงสาธุ ของญาติโยม ในศาลาทำบุญใหญ่วันปีใหม่วันนี้ ก็ ร่ำระงม
ช่วงสิ้นปี ผมมีลูกค้ามาว่าจ้างไปส่งเวียนทำบุญเก้าวัด หลายชุด เงินสดเต็มประเป๋า รถแทบไม่ได้พัก ครึ้มใจมีความสุขเป็นพิเศษ
เย็นจวนค่ำ ขณะกำลังจะขับรถกลับบ้าน ได้ยินเสียงรถพยาบาลเปิดไซเรน ฉุกเฉิน วิ่งเข้ามาในวัด ผมเลยถอนกุญแจรถ ออกไปเกาะรั๊วดูเหตุการณ์ เณรซอน วิ่งหน้าตาตื่นมาหาผมพร้อมกับย่าม และกระเป๋าเป้อีกใบหนึ่ง
“ลุง ไปส่งผมบางแสน นะ”
ผมดูจากอากัปกริยา และน้ำเสียง ก็รู้ว่า หนุ่มน้อยหนีอะไรบางอย่างมา แต่ผมไม่รู้ว่าเป็นอะไร
มันเหมือนนกน้อยที่กำลังดิ้นรน ต่อสู้ หนีการไล่ล่าของแมวใหญ่สีส้ม ผมบอกไปแทบจะทันทีว่า
“ขึ้นรถ ไปไหนก็ได้ ฟรี”
คำว่าอย่าได้เกรงใจของผมที่เคยบอกซอนไว้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมได้ใช้มันในคืนวันที่ไปส่งซอน ที่หาดบางแสน
ระหว่างทางไปบางแสน ชั่วโมงกว่า ผมถามซอนไปคำเดียว ว่า
“ตายไหม”
ซอนส่ายหัว พร้อมตอบว่า
“ผมไม่รู้ เค้าบังคับผม ผมไม่ยอม ผมต่อยจนเค้าล้มลงไป”
ทันทีที่ซอนเดินลงจากรถ ผมอวยพรสั้นๆ ว่า โชคดีนะ ซอนยกมือไหว้ แล้ววางซองเงินให้ผม 1 พันบาท บอกว่า “ให้ลุงไปฉลองปีใหม่กับครอบครัว”
ที่หาดบางแสนคืนนั้น มีคนมาส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่กันเนืองแน่น เสียงพลุไฟ และเสียงโห่ร้องดีใจเมื่อเข็มวินาทีย่างเข้าสู่ปีใหม่กันกึกก้อง
ผมรู้สึกอิ่มบุญ ใจคอตื้นตัน เหมือนได้ปลดปล่อยนกน้อยตัวหนึ่งให้ได้โบยบินไปสู่เสรีภาพ ครั้งแรกนกน้อยตัวนี้ก็มาทะเล แล้วกลับไป
ครั้งที่สองก็มาทะเลเหมือนเดิม แต่นกน้อยคงไม่บินกลับไปกรงขัง ที่เคยเป็นทุกอย่างของชีวิตอีกแล้ว
นกขมิ้นผู้กลับมา
เขาหิ้ว ตะกร้าผลไม้เมืองหนาวขนาดใหญ่ และบุหรี่เกล็ดทอง 1 ห่อ ทรุดตัวนั่งข้างแคร่ ยื่นของให้ผม และพนมมือกราบที่ตักผมช้าๆ
กล่าวสวัสดีปีใหม่ ผมลูบศรีษะที่บัดนี้ ปกคลุมด้วยผมหยักศกดำขลับของเขา เราต่างไต่ถามสารทุกข์ สุกดิบระหว่างกันและกัน ไล่เรียงกันว่า
เราไม่พบปะหน้าค่าตา กันมานานสักเท่าใด เวลา 10 ปี ทำเอาความทรงจำหลายส่วนของคนแก่อย่างผมพล่าเบลอ แต่เรื่องราวของอดีตเณรหนุ่มผู้นี้ กลับแจ่มชัด ไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำของผมเลย
ซอนเป็นเด็กชาวเขา มาจาก จังหวัดทางภาคเหนือ พ่อเป็นคนไทยพื้นราบ แม่เป็นชาวเขา ฐานะยากจน พ่อแม่ พามาเข้าโครงการบวชเณร ตั้งแต่เล็กๆ เพราะไม่มีเงินให้ลูกเรียนหนังสือ พระพี่เลี้ยงบอกกับแม่ของซอน วันที่ไปรับเด็กๆมาบวชว่า
"ไม่ต้องห่วง โยม ให้บวชเสีย มีเพื่อน มีที่อยู่ที่กิน มีที่เรียน"
ความที่ ซอน ผิวคล้ำกว่าเพื่อนๆ ชาวเขาที่มาเป็นเณรในรุ่นราวคราวเดียวกัน ประกอบกับรูปหน้าคมเข้ม สันจมูกตรง ปากเป็นกระจับได้รูป ซอนจึงดูเป็นเณรหนุ่มน้อยหน้าตาดี ที่ยิ่งเติบโต ยิ่งแตกต่างและ เตะตาผู้ตนที่อยู่รายรอบวัด รวมถึง พระ เณร ที่มาเรียนนักธรรมที่ กรุงเทพฯ ด้วยกันเป็นอย่างมาก
ผมมีอาชีพขับรถกระบะ รับจ้างทั่วไป ขนผัก ปลา ขนสินค้า หรือ รับจ้างย้ายของ ย้ายบ้าน ที่จอดรถประจำวันที่นอนรอลูกค้า ก็คือ ริมคลองหลังวัด สมัยนั้น ตอนเช้า ผม รับแม่ค้ากับขนของมาจากชานเมือง แถวๆบ้าน เข้ามาส่ง ย่านท่องเที่ยว จากนั้นผมก็มาจอดรอผู้ใช้บริการตรงนี้ทุกวัน
สายๆ วันหนึ่ง ข้างวัด เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน มีคนมาเวียนๆ ข้างรถ จนมาเกาะลูกกรงข้างรถผม ผมมีแววจะได้งาน
“ลุง ไปบางแสน กี่บาท”
ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็เห็นหน้าเจ้าของเสียง เณรซอนจ้องเขม็งอยู่
“300” ผมตอบสั้นๆ แบบเล่นตัวไม่อยากรับงานต่างจังหวัด"
“รอรับกลับด้วย ไป กัน 7 คน 300 บาทเหรอ” เณรซอนหัวโจก เริ่มให้รายละเอียดมากขึ้น แสดงว่า ราคา ไม่เป็นปัญหาแล้ว
“400”
ผมเขยิบราคาหนี แล้วทำทีเป็นไม่สนใจ ทั้งที่ราคา 300 บาท ผมก็คุ้มแล้ว แม้จะเสียเวลา วันหนึ่งเต็มๆ และพอเป็นข้ออ้างได้ว่าได้ราคาดีถ้าเมียที่บ้านจะมาด่าผมตอนหลัง
“ตกลงศุกร์นี้ นะครับลุง”.
สิ้นเสียง เณรซอน ก็วางซองเงิน 400 บาทให้ผม แล้วเดินจีวรปลิวกลับเข้ากุฏิไป
ผมจำได้วันศุกร์นั้น ที่บางแสนคนไม่พลุกพล่านเลย ผมไปจอดรถหลบต้นไม้ไต้ร่มมะพร้าว ได้ยินเสียงเด็กผู้ชายตัวน้อยๆ พากันตื่นเต้นกับภาพสองข้างทางที่ผ่านมาไม่ขาด
เณรผลัดผ้าเหลือง เปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้น ลงเล่นน้ำทะเล กันอย่างสนุกสนาน นั่งเตียงผ้าใบเพื่อมากินส้มตำ กุ้ง หอย ปู ปลา สลับกับเตะบอลชายหาด และลงเล่นน้ำสลับกันอยู่แบบนี้ ตั้งแต่ สายยันเย็น ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
สังคมอาจค่อนขอดว่า ผมนี่ช่างเลวเสียจริง พาเณรวัย 11-12 ขวบ ออกมาทำผิดศีล ผมไม่รู้จะเถียงสู้ไปได้กะไร เพราะเขาเหล่านั้น เป็นลูกค้า เป็นนายจ้างของผม และ ผมก็ มีภาระในการต้องหาเงิน เลี้ยงปาก เลี้ยงท้องตัวเอง เมีย 1 ลูกกำลังใช้เงิน อีก 2 คน ที่สำคัญพวกเหล่านั้น ยังเป็นเด็กชาย กำลังซน เหมือนลูกหลานคนทั่วไป
ตอนขากลับ ซอนบอกกับผมว่า
“ลุง ทะเลกว้างใหญ่มากเลย ผมชอบทะเล รู้สึกอิสระ รู้สึกมีเสรีภาพ จริงๆ นับแต่เกิดมา”
ผมไม่ตอบอะไร หันไปมองแล้วยิ้มๆ นึกขันว่า ความคิดของเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ มันจะไปรู้เรื่อง อิสระ เสรีภาพ ได้อย่างไรกัน ผมห่วง ว่าห่อหมกที่ซื้อมาฝากเมียจะบูดก่อนถึงบ้านซะมากกว่า
ผมผูกแปลนอนอยู่ท้ายรถ ถ้าเณรซอนไม่มีเรียน รึ ไม่ไปช่วยสอน บ่ายๆ ก็จะมานั่งคุยกับผมเสมอๆ อาทิตย์ก่อน มีเณรสอบเทียบชั้น ม.6 และสอบนักธรรมเอกได้หลายคน เณรซอนเป็น 1 ในนั้น ซอนหน้าตาไม่ดี สมกับที่สอบได้เอาเสียเลย เณรรูปงามวัย 18 ปี มานั่งตรงกระบะท้ายแล้ว ถามผมว่า
“หลวงน้า จะหาทุนให้เรียนต่อจนจบปริญญา ลุงว่าดีไหม”
ผมลุกจากเปลมาจุดบุหรี่สูบ รอให้ควันนรกมันแน่นเต็มปอด แล้วจึง ถามกลับไปบ้าง
“เอ็ง อยากเรียนไม่ใช่เหรอ แล้วไหนว่าอยากได้ บัตรประชาชน แทนบัตรสี ไงล่ะ ไม่อยากได้แล้วเรอะ”
“หลวงน้า บอกต้องอยู่ที่วัดนี้ ห้ามย้ายไปไหน และห้ามสึก จึงจะจัดการเรื่องนั้นให้”
“หลวงน้ามีบุญคุณ ผมไม่อยากเนรคุณ”
ผมได้ยินแล้วสังเวชหัวใจ ด้วยเหตุการณ์แบบนี้ใช่ไม่เคยเกิดขึ้น
“ ชีวิตเป็นของเอ็งนะซอน ผิดชอบชั่วดี รู้หมด ลุงว่าเองตัดสินใจได้ มีอะไรก็บอกลุง อย่าได้เกรงใจ”
ผมพูดได้แค่นี้ ก่อนที่จะปล่อยให้เณรหนุ่มน้อย นั่งร้องให้น้ำตาไหลอยู่เงียบๆ
พรุ่งนี้ก็เปลี่ยนศกแล้ว เสียงหลวงน้าเทศน์ เรื่องกาม ราคะ และการผิดศีลข้อ กาเม ในวันปีใหม่ จบลงเสียงสาธุ ของญาติโยม ในศาลาทำบุญใหญ่วันปีใหม่วันนี้ ก็ ร่ำระงม
ช่วงสิ้นปี ผมมีลูกค้ามาว่าจ้างไปส่งเวียนทำบุญเก้าวัด หลายชุด เงินสดเต็มประเป๋า รถแทบไม่ได้พัก ครึ้มใจมีความสุขเป็นพิเศษ
เย็นจวนค่ำ ขณะกำลังจะขับรถกลับบ้าน ได้ยินเสียงรถพยาบาลเปิดไซเรน ฉุกเฉิน วิ่งเข้ามาในวัด ผมเลยถอนกุญแจรถ ออกไปเกาะรั๊วดูเหตุการณ์ เณรซอน วิ่งหน้าตาตื่นมาหาผมพร้อมกับย่าม และกระเป๋าเป้อีกใบหนึ่ง
“ลุง ไปส่งผมบางแสน นะ”
ผมดูจากอากัปกริยา และน้ำเสียง ก็รู้ว่า หนุ่มน้อยหนีอะไรบางอย่างมา แต่ผมไม่รู้ว่าเป็นอะไร
มันเหมือนนกน้อยที่กำลังดิ้นรน ต่อสู้ หนีการไล่ล่าของแมวใหญ่สีส้ม ผมบอกไปแทบจะทันทีว่า
“ขึ้นรถ ไปไหนก็ได้ ฟรี”
คำว่าอย่าได้เกรงใจของผมที่เคยบอกซอนไว้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมได้ใช้มันในคืนวันที่ไปส่งซอน ที่หาดบางแสน
ระหว่างทางไปบางแสน ชั่วโมงกว่า ผมถามซอนไปคำเดียว ว่า
“ตายไหม”
ซอนส่ายหัว พร้อมตอบว่า
“ผมไม่รู้ เค้าบังคับผม ผมไม่ยอม ผมต่อยจนเค้าล้มลงไป”
ทันทีที่ซอนเดินลงจากรถ ผมอวยพรสั้นๆ ว่า โชคดีนะ ซอนยกมือไหว้ แล้ววางซองเงินให้ผม 1 พันบาท บอกว่า “ให้ลุงไปฉลองปีใหม่กับครอบครัว”
ที่หาดบางแสนคืนนั้น มีคนมาส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่กันเนืองแน่น เสียงพลุไฟ และเสียงโห่ร้องดีใจเมื่อเข็มวินาทีย่างเข้าสู่ปีใหม่กันกึกก้อง
ผมรู้สึกอิ่มบุญ ใจคอตื้นตัน เหมือนได้ปลดปล่อยนกน้อยตัวหนึ่งให้ได้โบยบินไปสู่เสรีภาพ ครั้งแรกนกน้อยตัวนี้ก็มาทะเล แล้วกลับไป
ครั้งที่สองก็มาทะเลเหมือนเดิม แต่นกน้อยคงไม่บินกลับไปกรงขัง ที่เคยเป็นทุกอย่างของชีวิตอีกแล้ว