
ทศวรรษหลังยุคมิลเลเนียมที่ผ่านมา อาจจะเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของหนังซูเปอร์ฮีโร่ก็ว่าได้ หลังจากหลายสิบปีก่อนหน้านี้ ซูเปปอร์ฮีโร่บนจอภาพยนตร์จะประสบความสำเร็จอยู่แค่ Superman และ Batman (จากกค่าย DC) เพียงแค่สองคน หลังจากที่ Marvel ปล่อยเรื่องราวของ X-Men ให้ไปโลดแล่นบนจอภาพยนตร์จนประสบความสำเร็จมากมาย ตามมาด้วย Spider-Man ที่โด่งดังไม่แพ้กัน Marvel จึงหันมาสร้างหนังเองจากฮีโร่ของตัวเองและ Iron Man คือหัวหอกสำคัญของพวกเขา
Iron Man เมื่อครั้งยังเป็นคอมมิคส์ใน Marvel มีสถานะเป็นแค่มือสองเพราะมีชื่อเสียงในวงกว้างน้อยกว่า Spider-Man และ Fantastic Four แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ชื่อเสียงเสียทีเดียว Iron Man มีชื่อเสียงระดับหนึ่งและมีแฟนประจำอยู่ไม่น้อย รวมทั้งเป็นซูเปอร์ฮีโร่ของ Marvel จึงไม่แปลกที่จะถูกเลือกให้มาบุกตลาดใหม่ของ Marvel และก็ไม่ทำให้ใครผิดหวัง แถมยังนำไปสู่การสร้างซูเปอร์ฮีโร่คนอื่นบนจอภาพยนตร์ ก่อนที่จะประสบความสำเร็จสูงสุดกับ The Avengers
หลังจากร่วมทีมกับ The Avengers แล้ว Iron man กลับมามีเรื่อราวส่วนตัวและหนังของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง นัยว่านื่คือการปิดไตรภาคหนังชุด Iron Man ซึ่งเป็นการปิดไตรภาคที่สวยงามและสมบูรณ์ จนต้องจับตาดูว่าถ้า Iron Man หากจะต้องไปร่วมงานกับ The Avengers 2 แล้วล่ะก็ จะมีเงื่อนไขหรือใช้วิธีการใดในการปลุกฮีโร่คนนี้ขึ้นมา
จากหนังที่ดูจริงจังแฝงอารมณ์ขันเล็กน้อยในสองภาคแรก Iron Man 3 กลับสนุกสนานกับการใช้อารมณ์ขันให้มากขึ้น พร้อมกับเปลือยชีวิตของ โทนี่ สตาร์ค ที่มีความเป็นปุถุชนให้เด่นชัดยิ่งขึ้น โทนี่ สตาร์ค ในภาคนี้ จึงปรากฏโฉมแบบนอกเสื้อเกราะมากกว่าจะอยู่ภายใต้ชุดเกราะของ Iron Man บางครั้งเราจึงได้เห็นเขาต่อสู้ด้วยปืนและหมัดในแบบฉบับของ โทนี่ สตาร์ค เลยทีเดียว
บทสมทบของ เป๊ปเปอร์ พอร์ท ที่มีบทบาทไม่มากนักในภาคแรกก่อนที่จะเพิ่มบทบาทของเธอขึ้นมาในภาคสอง ในภาคนี้ เป๊ปเปอร์มีบทมากขึ้นเช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของเธอที่โทนี่ สตาร์ค ที่เพิ่มขึ้นตามลำดับเช่นกัน บทบาทของเธอยังมีส่วนผลักดันให้บทสรุปของเรื่องได้ปิดฉากไตรภาคนี้ ส่วน ผู้การเจมส์ โรดส์ นั้นก็ยังคงเติมแต้มสีสันของหนังในระดับที่พอดี เช่นเดียวกับสองภาคแรก
เกือบตลอดทั้งเรื่องของหนังเล่นอยู่กับภาวะจิตตกของ โทนี่ สตาร์ค ที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ใน The Avengers เขาสูญเสียความเชื่อมั่นหลังพบว่าจักรวาลนี้ไม่ได้มีเพียงเขาเท่านั้น แต่โทนี่ สตาร์ค ก็ยังเป็น โทนี่ สตาร์ค ที่ความมุทะลุและความหยิ่งผยองนำเขาไปสู่วิบากกรรม สิ่งที่สตาร์คต้องสู้นอกจากเหล่าร้ายก็คือจิตใจของตัวเองที่นอกจากกอบกู้ตัวเองจากภาวะจิตตกแล้วยังรวมถึง การลดทิฐิของตัวเองลง ทว่าความบ้าดีเดือดของเขากลับมีส่วนช่วยให้เขายืนหยัดสู้กับเหล่าร้ายที่ดูเหมือนจะไม่มีวันตายลงได้
ด้วยเหตุนี้ Iron Man 3 จึงไม่ใช่แค่หนังซูเปอร์ฮีโร่เท่านั้น แต่ยังเป็นการตรวจสอบสภาวะจิตใจของฮีโร่ที่ต้องเอาชนะตัวเองเหนือการเอาชนะคู่ต่อสู้ แม้จะไม่หม่นหมองเหมือน Batman ก็ตามที แต่ Iron Man หรือ โทนี่ สตาร์ค ก็มีบุคลิกของตัวเองให้คนได้จดจำ การต่อสู้ของเขาแม้อาจจะเป็นแค่เศรษฐีเพลย์บอยกลับใจ แต่สุดท้ายการเอาชนะตัวเองย่อมสำคัญเสมอ
หนังจบยังคงมีท้ายเครคิตให้ได้ชมกันเสมอ และครั้งนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ สำหรับคนที่คิดถึง มาร์ค รัฟฟาโล่ กับฉากสุดฮา
Iron Man 3 (2013) กับ โทนี่ สตาร์ค
ทศวรรษหลังยุคมิลเลเนียมที่ผ่านมา อาจจะเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของหนังซูเปอร์ฮีโร่ก็ว่าได้ หลังจากหลายสิบปีก่อนหน้านี้ ซูเปปอร์ฮีโร่บนจอภาพยนตร์จะประสบความสำเร็จอยู่แค่ Superman และ Batman (จากกค่าย DC) เพียงแค่สองคน หลังจากที่ Marvel ปล่อยเรื่องราวของ X-Men ให้ไปโลดแล่นบนจอภาพยนตร์จนประสบความสำเร็จมากมาย ตามมาด้วย Spider-Man ที่โด่งดังไม่แพ้กัน Marvel จึงหันมาสร้างหนังเองจากฮีโร่ของตัวเองและ Iron Man คือหัวหอกสำคัญของพวกเขา
Iron Man เมื่อครั้งยังเป็นคอมมิคส์ใน Marvel มีสถานะเป็นแค่มือสองเพราะมีชื่อเสียงในวงกว้างน้อยกว่า Spider-Man และ Fantastic Four แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ชื่อเสียงเสียทีเดียว Iron Man มีชื่อเสียงระดับหนึ่งและมีแฟนประจำอยู่ไม่น้อย รวมทั้งเป็นซูเปอร์ฮีโร่ของ Marvel จึงไม่แปลกที่จะถูกเลือกให้มาบุกตลาดใหม่ของ Marvel และก็ไม่ทำให้ใครผิดหวัง แถมยังนำไปสู่การสร้างซูเปอร์ฮีโร่คนอื่นบนจอภาพยนตร์ ก่อนที่จะประสบความสำเร็จสูงสุดกับ The Avengers
หลังจากร่วมทีมกับ The Avengers แล้ว Iron man กลับมามีเรื่อราวส่วนตัวและหนังของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง นัยว่านื่คือการปิดไตรภาคหนังชุด Iron Man ซึ่งเป็นการปิดไตรภาคที่สวยงามและสมบูรณ์ จนต้องจับตาดูว่าถ้า Iron Man หากจะต้องไปร่วมงานกับ The Avengers 2 แล้วล่ะก็ จะมีเงื่อนไขหรือใช้วิธีการใดในการปลุกฮีโร่คนนี้ขึ้นมา
จากหนังที่ดูจริงจังแฝงอารมณ์ขันเล็กน้อยในสองภาคแรก Iron Man 3 กลับสนุกสนานกับการใช้อารมณ์ขันให้มากขึ้น พร้อมกับเปลือยชีวิตของ โทนี่ สตาร์ค ที่มีความเป็นปุถุชนให้เด่นชัดยิ่งขึ้น โทนี่ สตาร์ค ในภาคนี้ จึงปรากฏโฉมแบบนอกเสื้อเกราะมากกว่าจะอยู่ภายใต้ชุดเกราะของ Iron Man บางครั้งเราจึงได้เห็นเขาต่อสู้ด้วยปืนและหมัดในแบบฉบับของ โทนี่ สตาร์ค เลยทีเดียว
บทสมทบของ เป๊ปเปอร์ พอร์ท ที่มีบทบาทไม่มากนักในภาคแรกก่อนที่จะเพิ่มบทบาทของเธอขึ้นมาในภาคสอง ในภาคนี้ เป๊ปเปอร์มีบทมากขึ้นเช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของเธอที่โทนี่ สตาร์ค ที่เพิ่มขึ้นตามลำดับเช่นกัน บทบาทของเธอยังมีส่วนผลักดันให้บทสรุปของเรื่องได้ปิดฉากไตรภาคนี้ ส่วน ผู้การเจมส์ โรดส์ นั้นก็ยังคงเติมแต้มสีสันของหนังในระดับที่พอดี เช่นเดียวกับสองภาคแรก
เกือบตลอดทั้งเรื่องของหนังเล่นอยู่กับภาวะจิตตกของ โทนี่ สตาร์ค ที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ใน The Avengers เขาสูญเสียความเชื่อมั่นหลังพบว่าจักรวาลนี้ไม่ได้มีเพียงเขาเท่านั้น แต่โทนี่ สตาร์ค ก็ยังเป็น โทนี่ สตาร์ค ที่ความมุทะลุและความหยิ่งผยองนำเขาไปสู่วิบากกรรม สิ่งที่สตาร์คต้องสู้นอกจากเหล่าร้ายก็คือจิตใจของตัวเองที่นอกจากกอบกู้ตัวเองจากภาวะจิตตกแล้วยังรวมถึง การลดทิฐิของตัวเองลง ทว่าความบ้าดีเดือดของเขากลับมีส่วนช่วยให้เขายืนหยัดสู้กับเหล่าร้ายที่ดูเหมือนจะไม่มีวันตายลงได้
ด้วยเหตุนี้ Iron Man 3 จึงไม่ใช่แค่หนังซูเปอร์ฮีโร่เท่านั้น แต่ยังเป็นการตรวจสอบสภาวะจิตใจของฮีโร่ที่ต้องเอาชนะตัวเองเหนือการเอาชนะคู่ต่อสู้ แม้จะไม่หม่นหมองเหมือน Batman ก็ตามที แต่ Iron Man หรือ โทนี่ สตาร์ค ก็มีบุคลิกของตัวเองให้คนได้จดจำ การต่อสู้ของเขาแม้อาจจะเป็นแค่เศรษฐีเพลย์บอยกลับใจ แต่สุดท้ายการเอาชนะตัวเองย่อมสำคัญเสมอ
หนังจบยังคงมีท้ายเครคิตให้ได้ชมกันเสมอ และครั้งนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้