“พระเอกคนเดียว ผู้ร้ายเป็นพัน ปืนกระบอกเดียว ใส่กระสุนนับตัน ต่อยหมัดเดียว ผู้ร้ายสลบครึ่งวัน อากาศร้อนจริงเชียว ให้ใส่แจ๊กเก๊ตทั้งวัน
ขับรถจิ๊บโฉบฉี่ยว ผมก็ยังตั้ง เพราะโจตัน
ระเบิดเขา เผากระท่อม รอดเดี่ยวๆได้ซะงั้น ใครๆ ก็หลงรัก มีผู้ชายคนเดียว รึไงกัน
แค่ใส่แว่นตาดำ คนก็จำกันไม่ได้
หลังปราบเหล่าร้าย เปิดเผยตัวทุกที”
ผมโยนพล๊อตหนังที่มีชื่อว่า ล้วงคองูเขียว ลงบนโต๊ะหลังจากอ่านจนจบ พลันนึกไปถึงบทสนทนาระหว่างผมกับชนะ หนุ่มน้อยนักเพาะกาย จากสุโขทัย ที่มาขอพบผมที่บริษัทบ่ายวันนี้
“เสี่ยคิดว่าไงครับ” ชนะถามผมทันทีที่ เขาเล่าเรื่องราวย่อๆ จบ และผมพลิกสตอรี่บอร์ดจากภาพลายเส้นขาวดำของเขาไปจนถึงแผ่นสุดท้าย
“เฮียว่า มันไม่ขาย เจ๊งอย่างเดียว” ผมตอบไปตรงๆ
ชนะยิ้มตาเป็นประกาย ไม่ได้หน้าถอดสีหรือซีดเผือดเหมือนคนอื่นๆที่ร้อยทั้งร้อยมักผิดหวังเมื่อได้คำตอบแบบนี้
“ผมคิดแล้ว่าเสี่ยต้องไม่ชอบ”
ผมดันพล๊อตและสตอรี่บอร์ดคืนเขาไป เป็นการปิดการสนทนา ผมเห็นเขาแอบกลืนก้อนสะอึกนิดหนึ่ง
“ผมไม่รบกวนเสี่ยแล้วล่ะครับ พล็อตกับสตอรี่ผมขอฝากไว้กับเสี่ย สวัสดีครับ”
ผมรับไหว้
“วาดรูปสวยดีนะ” ผมเอ่ยชม เมื่อร่างกำยำ เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขายืนขึ้น ชนะคำนับให้ผม พร้อมรอยยิ้มเล็กๆ
รอยยิ้มเล็กๆ นั่น หรือ เพราะลายเส้นภาพฝีมือของชนะกันแน่นะ ที่ผมต้องหยิบเอาพล๊อต เรื่อง ล้วงคองูเขียวมาอ่านต่อที่บ้านจนจบ พลันให้นึกถึงก้าวย่างระหว่างทางในวงการของผมจนมามีวันนี้
“ตี๋ เปลี่ยนชุด ฉากหน้า 5 คน พวกเอ็งวิ่งตามพร้อมกัน พอแอฟเฟ็กระเบิด พวกเอ็งทิ้งตัวทีละคน ตามที่ซ้อม”
คำสั่งของผู้ช่วยผู้กำกับจะมาถ่ายทอดกับพวกผมประมาณแบบนี้ ยุคสมัยที่หนังบู๊ครองตลาดในต่างจังหวัด ตัวประกอบโป้งแอ่ะ อย่างพวกผมซึ่งไม่มีบทพูด ยืนเดิน ทำท่ากวนๆ ถือปืน วิ่งและโดนยิงตายวันล่ะหลายครั้งในหนังเรื่องหนึ่ง ซึ่งผู้ชมไม่มีวันรู้ว่าพวกเราเป็นใคร
ตัวประกอบหนังบู๊ ไว้หนวดเคราครึ้ม แข็งแรงและต้องอดทน ต่อการเจ็บตัวในคิวบู๊ และอุบัติเหตุของแอฟเฟ็ก สารพัดชนิด วันไหนไม่มีงาน เพื่อนๆ ในกลุ่มผมจะรวมตัวกันไปนั่งหล่อ แถวๆ ศาลาเฉลิมกรุง บางคนเติบโตไปเป็นดาวร้ายมีชื่อ
แต่สำหรับผมหลังจากโป้งแอ่ะมาหลายสิบเรื่อง ในเวลา 7 ปี ก็ไม่มีบทพูดกับเค้าสักที จึงผันตัวเองไปทำระเบิด แอฟเฟ็กต่างๆ จัดหาอุปกรณ์ประกอบฉาก และตัวประกอบ เป็นรายได้เสริม ด้วยความคุ้นเคยกับผู้ใหญ่ในวงการ ที่เป็นนักเลงจริง ทั้งในและนอกจอภาพยนตร์ ทีม ตี๋ โป้งแอ่ะ จึงเป็นที่รู้จักและได้รับใช้ค่ายหนังเกือบทุกค่ายในเวลานั้น ความรู้น้อยและความอยากรู้อยากเห็น จึงพยายามเสาะหาความรู้ ทีมงานจึงสอนงานเกี่ยวกับวงการหนังในแง่มุมหลากหลาย ทุกขั้นตอน อย่างที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน ว่าหลังกล้องถ่ายจนจบแล้ว ทำอะไรอีกบ้าง
จนวันหนึ่ง ผมได้พบกับ ผู้กำกับหนุ่มชื่อดังมากท่านหนึ่ง มาตามหาผมที่ศาลาเฉลิมกรุง ฝากเบอร์โทรศัพท์ไว้กับลูกน้องผมและนัดหมายให้ผมไปพบที่บริษัททำหนังใหญ่ค่ายหนึ่งในวันเสาร์ที่จะถึง
วันเสาร์ผมโทรไปยืนยันนัดหมายกับผู้ช่วยของผู้กำกับชื่อดังเรียบร้อย ผมก็เดินทางไปพบเมือผมผลักประตูเข้าไป แอร์เย็นทะลุผ่านเสื้อยีนส์หนาจนรู้สึกได้
“เฮีย ตี๋ โป้งแอ่ะ สวัสดีค่ะ” ผู้กำกับชื่อดัง โน้มตัวตารวะผมอย่างนอบน้อม
ท่าทางสุภาพ เรียบร้อย เกินชาย ผมสรุปทันที
“สวัสดีครับ เรียก ตี๋ เฉยๆ ก็ได้ครับ” นอกจากลูกน้องไม่มีใครเรียกผมเฮีย นี่ระดับผู้กำกับชื่อดัง เรียกผมคงคงต้องเรียบร้อย นอบน้อมต่อเธอ ถึงจะถูก
“หนู อยากทำหนังบู๊” หนุ่มหน้าใสเปิดประเด็น หลังผมดื่นน้ำส้มคั้นแก้วเล็กๆ ไปหมดแก้วแล้ว
“ครับ แนวไหน แล้วนายจะให้ผมช่วยเป็นธุระรับใช้ด้านไหนครับ” ผมไม่สงวนท่าทีเลย ถ้าเป็นเรื่องงาน แม้ภายในใจจะมีความสงสัยอยู่บางอย่าง
ผู้กำกับหนุ่มจ้องหน้าผมนิ่ง
“แต่ ผมเกรงว่าจะไม่ขาย ครับนาย”
นายที่ผมเรียก ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างดังทันทีที่ผมบอก
“หนู ถึงเรียกเฮียมาปรึกษาไงล่ะ”
“หนังบู๊ไทยๆ เป็นไงคะ”
“พระเอกคนเดียว เก่งเหลือเชื่อ ผู้ร้ายเป็นกองทัพ ทำอะไรไม่ได้
ปืนกระบอกเดียว กระสุนไม่มีหมด หมัดหนัก ตีนหนัก แต่ะต่อยที ผู้ร้ายสลบ
ใส่เสื้อผ้าชุดเดียว ใส่แจ๊กเก๊ตตัวเดิม กระเป๋าเยอะๆ
ขับรถจิ๊บ ล่ำสัน ผมอยู่ทรง หัวไม่ล้าน เท่ห์ มีเสน่ห์กับสาวๆ เป็นวีรบุรุษ
มีดาวโป๊ ดาวยั่ว นางเอกต้องอ่อนแอ ถูกรังแก บ่อยๆ
มีฉากระเบิดเขา เผากระท่อม
ผมพล่ามไปเป็นฉากๆ หันไปมองนาย เห็นเธอก้มหน้าจดตามที่บอกแทบทุกคำ
“หนูชอบฮีโร่ ความดีต้องชนะความชั่ว เฮียมาช่วยหนูกำกับนะ” เธอสรุปเสียงดังฟังชัด
จากนั้น 1 เดือน บทหนังก็ถูกส่งมาให้ผม ด้วยพล๊อตที่ผมระเบิดออกไป
วันแรกเปิดกล้อง นายนั่งบนเก้าอี้ผู้กำกับ 1 วัน จากนั้น เก้าอี้นั้นก็เป็นของผม นายทำให้ ตัวตนในหนังมีความเป็นคนแบบหนังสมัยใหม่ บทพูดก็เข้ายุคเข้าสมัย ทีมงานก็มากมายกว่าที่ผมเคยทำงานด้วย
โปรเจคนี้เราทำงานกันราว 6 เดือนก็ปิดกล้อง ผมกำกับทุกฉากตามบทที่นายเขียน
หนังทำเงินมหาศาล ดารานำชายหญิงได้รางวัล และปีนั้น สมบัติ ดาวร้ายของเรา คว้ารางวัลตัวประกอบชายยอดเยี่ยม จากบทบาทดาวร้ายที่ชั่วช้าแบบจับต้องได้ เป็นครั้งแรกที่ ดาวร้ายในหนังบู๊ขึ้นเวทีคว้ารางวัลบนเวทีนี้
หลังจากนั้น หนังบู๊เสื่อมความนิยมลงไป นายได้รางวัลเป็นคนรัก ซึ่งก็คือคือ สมบัติดาวร้ายยอดเยี่ยมหนุ่มผู้นั้นไปครอบครองอย่างถาวร นายวางมือไปมีความสุขกับคนรัก ผลักดันให้ผมทำค่ายหนังเองจนสำเร็จ แต่ผม ก็ไม่เคยทำหนังบู๊อีกเลยเนื่องจาก ไม่ขายอีกแล้ว หันมาทำหนังผีตลก ที่มีสาวประเภทสองและดาราตลกเป็นตัวชูโรง ทำเงินเลี้ยงบริษัทจนเติบโตและเป็นการตอบแทนนาย และทีมงานนายไปด้วยตลอดมา
นาฬิกาบนผนังบอกเวลา ห้าทุ่มกว่าใกล้จะเที่ยงคืน วันใหม่กำลังจะมาถึง
ผมมองแผ่นสตอรี่บอร์ด ที่กองอยู่ตรงหน้า ยิ้มอย่างมีความสุข มันเป็นชัยชนะเกือบจะหมดจดของหนุ่มกล้ามใหญ่จากสุโขทัยเลยเชียว
“ล้วงคองูเขียว คนชั่วไม่ได้น่ากลัว เรากลัวความชั่ว กันเกินจริง” ผมชอบประโยคนี้
ผมเอาปากกาเมจิกสีแดงขีดถูกลงในแผ่นแรกของสตอรี่บอร์ด
“แล้ววีรบุรุษ ก็สิ้นลมหายใจในอ้อมกอดของคนรักของเขา”
ผมขีดกากบาทลงในสตอรี่บอร์ดแผ่นสุดท้าย ในใจคิดไปว่าไม่ต้องดราม่า เขียนแก้ไปว่า
“และแล้ว ผู้กองเผด็จ และ ลำเจียก ก็ครองรักกันอย่างมีความสุข ......... ตี๋ โป้งแอ่ะ”
ล้วงคองูเขียว
ขับรถจิ๊บโฉบฉี่ยว ผมก็ยังตั้ง เพราะโจตัน
ระเบิดเขา เผากระท่อม รอดเดี่ยวๆได้ซะงั้น ใครๆ ก็หลงรัก มีผู้ชายคนเดียว รึไงกัน
แค่ใส่แว่นตาดำ คนก็จำกันไม่ได้
หลังปราบเหล่าร้าย เปิดเผยตัวทุกที”
ผมโยนพล๊อตหนังที่มีชื่อว่า ล้วงคองูเขียว ลงบนโต๊ะหลังจากอ่านจนจบ พลันนึกไปถึงบทสนทนาระหว่างผมกับชนะ หนุ่มน้อยนักเพาะกาย จากสุโขทัย ที่มาขอพบผมที่บริษัทบ่ายวันนี้
“เสี่ยคิดว่าไงครับ” ชนะถามผมทันทีที่ เขาเล่าเรื่องราวย่อๆ จบ และผมพลิกสตอรี่บอร์ดจากภาพลายเส้นขาวดำของเขาไปจนถึงแผ่นสุดท้าย
“เฮียว่า มันไม่ขาย เจ๊งอย่างเดียว” ผมตอบไปตรงๆ
ชนะยิ้มตาเป็นประกาย ไม่ได้หน้าถอดสีหรือซีดเผือดเหมือนคนอื่นๆที่ร้อยทั้งร้อยมักผิดหวังเมื่อได้คำตอบแบบนี้
“ผมคิดแล้ว่าเสี่ยต้องไม่ชอบ”
ผมดันพล๊อตและสตอรี่บอร์ดคืนเขาไป เป็นการปิดการสนทนา ผมเห็นเขาแอบกลืนก้อนสะอึกนิดหนึ่ง
“ผมไม่รบกวนเสี่ยแล้วล่ะครับ พล็อตกับสตอรี่ผมขอฝากไว้กับเสี่ย สวัสดีครับ”
ผมรับไหว้
“วาดรูปสวยดีนะ” ผมเอ่ยชม เมื่อร่างกำยำ เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขายืนขึ้น ชนะคำนับให้ผม พร้อมรอยยิ้มเล็กๆ
รอยยิ้มเล็กๆ นั่น หรือ เพราะลายเส้นภาพฝีมือของชนะกันแน่นะ ที่ผมต้องหยิบเอาพล๊อต เรื่อง ล้วงคองูเขียวมาอ่านต่อที่บ้านจนจบ พลันให้นึกถึงก้าวย่างระหว่างทางในวงการของผมจนมามีวันนี้
“ตี๋ เปลี่ยนชุด ฉากหน้า 5 คน พวกเอ็งวิ่งตามพร้อมกัน พอแอฟเฟ็กระเบิด พวกเอ็งทิ้งตัวทีละคน ตามที่ซ้อม”
คำสั่งของผู้ช่วยผู้กำกับจะมาถ่ายทอดกับพวกผมประมาณแบบนี้ ยุคสมัยที่หนังบู๊ครองตลาดในต่างจังหวัด ตัวประกอบโป้งแอ่ะ อย่างพวกผมซึ่งไม่มีบทพูด ยืนเดิน ทำท่ากวนๆ ถือปืน วิ่งและโดนยิงตายวันล่ะหลายครั้งในหนังเรื่องหนึ่ง ซึ่งผู้ชมไม่มีวันรู้ว่าพวกเราเป็นใคร
ตัวประกอบหนังบู๊ ไว้หนวดเคราครึ้ม แข็งแรงและต้องอดทน ต่อการเจ็บตัวในคิวบู๊ และอุบัติเหตุของแอฟเฟ็ก สารพัดชนิด วันไหนไม่มีงาน เพื่อนๆ ในกลุ่มผมจะรวมตัวกันไปนั่งหล่อ แถวๆ ศาลาเฉลิมกรุง บางคนเติบโตไปเป็นดาวร้ายมีชื่อ
แต่สำหรับผมหลังจากโป้งแอ่ะมาหลายสิบเรื่อง ในเวลา 7 ปี ก็ไม่มีบทพูดกับเค้าสักที จึงผันตัวเองไปทำระเบิด แอฟเฟ็กต่างๆ จัดหาอุปกรณ์ประกอบฉาก และตัวประกอบ เป็นรายได้เสริม ด้วยความคุ้นเคยกับผู้ใหญ่ในวงการ ที่เป็นนักเลงจริง ทั้งในและนอกจอภาพยนตร์ ทีม ตี๋ โป้งแอ่ะ จึงเป็นที่รู้จักและได้รับใช้ค่ายหนังเกือบทุกค่ายในเวลานั้น ความรู้น้อยและความอยากรู้อยากเห็น จึงพยายามเสาะหาความรู้ ทีมงานจึงสอนงานเกี่ยวกับวงการหนังในแง่มุมหลากหลาย ทุกขั้นตอน อย่างที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน ว่าหลังกล้องถ่ายจนจบแล้ว ทำอะไรอีกบ้าง
จนวันหนึ่ง ผมได้พบกับ ผู้กำกับหนุ่มชื่อดังมากท่านหนึ่ง มาตามหาผมที่ศาลาเฉลิมกรุง ฝากเบอร์โทรศัพท์ไว้กับลูกน้องผมและนัดหมายให้ผมไปพบที่บริษัททำหนังใหญ่ค่ายหนึ่งในวันเสาร์ที่จะถึง
วันเสาร์ผมโทรไปยืนยันนัดหมายกับผู้ช่วยของผู้กำกับชื่อดังเรียบร้อย ผมก็เดินทางไปพบเมือผมผลักประตูเข้าไป แอร์เย็นทะลุผ่านเสื้อยีนส์หนาจนรู้สึกได้
“เฮีย ตี๋ โป้งแอ่ะ สวัสดีค่ะ” ผู้กำกับชื่อดัง โน้มตัวตารวะผมอย่างนอบน้อม
ท่าทางสุภาพ เรียบร้อย เกินชาย ผมสรุปทันที
“สวัสดีครับ เรียก ตี๋ เฉยๆ ก็ได้ครับ” นอกจากลูกน้องไม่มีใครเรียกผมเฮีย นี่ระดับผู้กำกับชื่อดัง เรียกผมคงคงต้องเรียบร้อย นอบน้อมต่อเธอ ถึงจะถูก
“หนู อยากทำหนังบู๊” หนุ่มหน้าใสเปิดประเด็น หลังผมดื่นน้ำส้มคั้นแก้วเล็กๆ ไปหมดแก้วแล้ว
“ครับ แนวไหน แล้วนายจะให้ผมช่วยเป็นธุระรับใช้ด้านไหนครับ” ผมไม่สงวนท่าทีเลย ถ้าเป็นเรื่องงาน แม้ภายในใจจะมีความสงสัยอยู่บางอย่าง
ผู้กำกับหนุ่มจ้องหน้าผมนิ่ง
“แต่ ผมเกรงว่าจะไม่ขาย ครับนาย”
นายที่ผมเรียก ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างดังทันทีที่ผมบอก
“หนู ถึงเรียกเฮียมาปรึกษาไงล่ะ”
“หนังบู๊ไทยๆ เป็นไงคะ”
“พระเอกคนเดียว เก่งเหลือเชื่อ ผู้ร้ายเป็นกองทัพ ทำอะไรไม่ได้
ปืนกระบอกเดียว กระสุนไม่มีหมด หมัดหนัก ตีนหนัก แต่ะต่อยที ผู้ร้ายสลบ
ใส่เสื้อผ้าชุดเดียว ใส่แจ๊กเก๊ตตัวเดิม กระเป๋าเยอะๆ
ขับรถจิ๊บ ล่ำสัน ผมอยู่ทรง หัวไม่ล้าน เท่ห์ มีเสน่ห์กับสาวๆ เป็นวีรบุรุษ
มีดาวโป๊ ดาวยั่ว นางเอกต้องอ่อนแอ ถูกรังแก บ่อยๆ
มีฉากระเบิดเขา เผากระท่อม
ผมพล่ามไปเป็นฉากๆ หันไปมองนาย เห็นเธอก้มหน้าจดตามที่บอกแทบทุกคำ
“หนูชอบฮีโร่ ความดีต้องชนะความชั่ว เฮียมาช่วยหนูกำกับนะ” เธอสรุปเสียงดังฟังชัด
จากนั้น 1 เดือน บทหนังก็ถูกส่งมาให้ผม ด้วยพล๊อตที่ผมระเบิดออกไป
วันแรกเปิดกล้อง นายนั่งบนเก้าอี้ผู้กำกับ 1 วัน จากนั้น เก้าอี้นั้นก็เป็นของผม นายทำให้ ตัวตนในหนังมีความเป็นคนแบบหนังสมัยใหม่ บทพูดก็เข้ายุคเข้าสมัย ทีมงานก็มากมายกว่าที่ผมเคยทำงานด้วย
โปรเจคนี้เราทำงานกันราว 6 เดือนก็ปิดกล้อง ผมกำกับทุกฉากตามบทที่นายเขียน
หนังทำเงินมหาศาล ดารานำชายหญิงได้รางวัล และปีนั้น สมบัติ ดาวร้ายของเรา คว้ารางวัลตัวประกอบชายยอดเยี่ยม จากบทบาทดาวร้ายที่ชั่วช้าแบบจับต้องได้ เป็นครั้งแรกที่ ดาวร้ายในหนังบู๊ขึ้นเวทีคว้ารางวัลบนเวทีนี้
หลังจากนั้น หนังบู๊เสื่อมความนิยมลงไป นายได้รางวัลเป็นคนรัก ซึ่งก็คือคือ สมบัติดาวร้ายยอดเยี่ยมหนุ่มผู้นั้นไปครอบครองอย่างถาวร นายวางมือไปมีความสุขกับคนรัก ผลักดันให้ผมทำค่ายหนังเองจนสำเร็จ แต่ผม ก็ไม่เคยทำหนังบู๊อีกเลยเนื่องจาก ไม่ขายอีกแล้ว หันมาทำหนังผีตลก ที่มีสาวประเภทสองและดาราตลกเป็นตัวชูโรง ทำเงินเลี้ยงบริษัทจนเติบโตและเป็นการตอบแทนนาย และทีมงานนายไปด้วยตลอดมา
นาฬิกาบนผนังบอกเวลา ห้าทุ่มกว่าใกล้จะเที่ยงคืน วันใหม่กำลังจะมาถึง
ผมมองแผ่นสตอรี่บอร์ด ที่กองอยู่ตรงหน้า ยิ้มอย่างมีความสุข มันเป็นชัยชนะเกือบจะหมดจดของหนุ่มกล้ามใหญ่จากสุโขทัยเลยเชียว
“ล้วงคองูเขียว คนชั่วไม่ได้น่ากลัว เรากลัวความชั่ว กันเกินจริง” ผมชอบประโยคนี้
ผมเอาปากกาเมจิกสีแดงขีดถูกลงในแผ่นแรกของสตอรี่บอร์ด
“แล้ววีรบุรุษ ก็สิ้นลมหายใจในอ้อมกอดของคนรักของเขา”
ผมขีดกากบาทลงในสตอรี่บอร์ดแผ่นสุดท้าย ในใจคิดไปว่าไม่ต้องดราม่า เขียนแก้ไปว่า
“และแล้ว ผู้กองเผด็จ และ ลำเจียก ก็ครองรักกันอย่างมีความสุข ......... ตี๋ โป้งแอ่ะ”