"อยากมองหน้ากัน อยากหยุดวันเวลานี้ไว้ นานเท่านาน ก่อนจะต้อง...ไป"

22.30 เสียงเพลงจากหนังห้าร้อยล้านเรื่องนั้น ดังคลอระหว่างที่ผมเดินทางขึ้นบีทีเอสกลับบ้าน

12.30 ระหว่างผมนั่งกินข้าวใน Food Court ห้างดังแห่งหนึ่ง เสียงโทรศัพท์ปลายสายก็ดังขึ้นมา
เสียงปลายสาย: คุยกันเรื่องฝากตังค์งานศพเพื่อนไว้ใน fb เราจะไปวันนี้ จะฝากตังค์ หรือจะไปด้วยเลย
ผม: อยากไปด้วย แต่เป็นเพื่อนแค่ใน fb ไม่รู้จะไปในฐานะอะไร
เสียงปลายสาย: ไม่เป็นไรน่า
ผม: อืม ไปก็ไป ถ้าไปเมื่อไหร่โทรบอกละกัน

18.15 หน้าป้ายรถเมล์แห่งหนึ่ง เสียงปลายสายคนเดิมดังมาอีกครั้ง ผมรอจนกระทั่งเขามา เจ้าของเสียงปลายสายเป็นทหารวัยหนุ่ม เพื่อนที่ผมคุ้นเคยดีตั้งแต่สมัยประถม เป็นคนคนเดียวที่ผมไว้ใจที่สุด

ผม: อ่าว ไม่พาแฟนมาด้วยหรือ
"สวัสดีค่ะ" เสียงหญิงสาวดังมาจากเบาะหลัง เธอเป็นแฟนของเขาที่เพิ่งหมั้นไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งผมเป็นหนึ่งในเพื่อนไม่กี่คนที่ได้ไปร่วมงานด้วย
----
ตุลาคม 2550 ตอนนั้นผมอยู่ ปี 4 มหาลัยแห่งหนึ่ง
"หวัดดี" คำแรกที่ผมทักอีเมล์ MSN ที่ผมบังเอิญเจอในเว็บแห่งหนึ่ง
"ไงๆ" คือคำแรกที่นักเรียนเหล่า (ขออนุญาตไม่บอกเหล่านะครับ) ทักมาหาผม
เราสองคนเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยประถม จนผมม.4 จึงได้เจอกับเขาอีกครั้ง ก่อนเขาจะไปเรียนเตรียมทหาร และนับตั้งแต่วันที่เราได้เจอกันครั้งแรกในเอ็ม ก็คุยเรื่องราวต่างๆ ทั้งสุขทุกข์ปนเปกันไป จนกระทั่งสองสามปีต่อมา ผมเจอเขาอีกครั้งในงานเลี้ยงรุ่น ด้วยการชัีกชวนของผมเองนี่แหละ หลังจบงาน ด้วยความเมาหรืออย่างไรไม่ทราบ ผมเข้าไปกอดเขา ความรู้สึกอุ่นๆ จากร่างกายของเขาในวันนั้น ผมยังระลึกได้จนถึงทุกวันนี้
----
21.00
"เอ้า ชน"
ผมชนแก้วเบียร์กับเพื่อนคนเดิมในวงร้านส้มตำข้างทาง หลังจากไปเคารพศพเพื่อนของเขาซึ่งสละชีพเพื่อปกป้องชายแดนใต้ ตลอดห้วงเวลานั้น ผมกินไป ก็มองสีหน้าท่าทางเขาไปบ้าง ริ้วรอยรอบดวงตาและใบหน้าบ่งบอกถึงการทำงานหนัก สายตาของเขาเขม็งเกร็งและมุ่งมั่นสมเป็นชายชาติทหาร แต่ก็แฝงไปด้วยความอบอุ่นซึ่งตรึงใจผมทุกครั้งที่ได้เจอกัน
----
สองสามปีที่แล้ว ผมมาสอบเข้าทำงานที่กรุงเทพฯ ตกเย็นก็มีเลี้ยงเพื่อนผมอีกคนหนึ่งที่เพิ่งรับปริญญา ในคืนนั้นสิ่งที่ผมไม่คาดฝันก็เกิด เพื่อนทหารคนนั้นเข้ามาร่วมวงด้วย ผมกอดเขาอีกครั้ง อยู่ร่วมวงจนเกือบเช้า แต่พอภาพที่เราสองคนกอดคอคู่กันถูกโพสต์ใน fb กอปรกับตอนนั้นผมเป็นพวกชอบตามคอมเมนต์ที่ใดก็ตามที่เพื่อนผมไป ก็เลยกลายเป็นว่ามีเพื่อนหลายคนแซวว่าเฮ้ยเป็นกิ๊กกันป่าววะ มีบางคนแอบสะกิดว่าเอ็งชักจะเยอะไปแล้วว่ะ ผมก็เลยประกาศผ่าน fb เลยว่าไม่ได้คิดอะไรเกินเลยเป็นเพื่อน ทั้งที่จริงตอนนั้นน่ะคิดเกินไปนานแล้ว แต่ก็ต้องตัดใจให้เขามีความสุขกับสิ่งที่เขาเป็น กับคนที่เขารัก คงดีกว่าเขามาชอบผมแล้วต้องมาทรมานกับเสียงนินทาก่นด่าทั้งหลาย
----
22.40 ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
แฟนเพื่อน: แยกกันกลับตรงนี้ได้ไหม เดี๋ยวส่งเพื่อนแล้วขึ้นทางด่วนเลย
ผม: ไม่เป็นไร ขึ้นบีทีเอสจากตรงนี้ไม่กี่สถานีก็ถึงแล้ว
ขากลับจากที่นั่น ผมรู้สึกถึงมือซ้ายอุ่นๆ จากเพื่อนผมที่เข้ามาแตะที่มือขวาของผม ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือเปล่าแต่มันทำให้ผมระลึกสัมผัสนั้นอีกครั้ง
"โชคดี" เขากล่าวลาสั้นๆ
"เดินทางปลอดภัยนะ" ผมบอกลาเขาพร้อมเก็บของส่วนตัวในรถเพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้า
----
23.15 ห้องของผม เสียงโทรศัพท์จากเพื่อนคนเดิมดังขึ้นอีกครั้ง
"กลับถึงห้องรึยัง"
"ถึงแล้วครับ เดินทางปลอดภัยนะ"
เพลงจากหนังตำนานรักแห่งทุกพระโขนงปี 2556 ดังขึ้นมาในหัวอีกครั้ง...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่