หากเอ่ยถึงที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการ ในแวดวงนักบริหารน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก ‘ดร.วรพัฒน์ ภู่เจริญ’ เจ้าของบริษัทพรีม่า แมเนจเม้นท์ จำกัด เนื่องด้วยเขาเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการที่ได้รับการยอม รับจากบริษัทยักษ์ใหญ่หลายต่อหลายบริษัทของเมืองไทย
ไม่แปลกที่บริษัทเหล่านี้ว่าจ้างให้เขาเข้าไปทำการ ปรับกระบวนยุทธ์ในการบริหาร แต่ที่น่าแปลกใจคือ กลยุทธ์ที่เขาแนะนำแก่บริษัทต่างๆนั้น ไม่ได้มาจากตำราหรือหลักการบริหารของฝรั่งมังค่า ทว่ามาจาก ‘หลักธรรม’ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เขายืนยันว่าพระพุทธเจ้าเป็นบรมครูของวิชาทรัพยากรมนุษย์อย่างแท้จริง
• ทราบว่าตอนแรกอาจารย์นับถือศาสนาคริสต์ ทำไมจึงเปลี่ยนมาเป็นพุทธคะ
เดิมผมนับถือศาสนาคริสต์ คือเป็นคริสต์กันทั้งบ้านแต่มาพบว่าหลักคำสอนของคริสต์แก้ปัญหาชีวิตให้เรา ไม่ได้ เลยหันมาศึกษาพุทธศาสนาและเปลี่ยนมาเป็นพุทธเมื่อ 8 ปีที่แล้วตอนนั้นก็ปาเข้าไปอายุ 39 แล้วนะ(หัวเราะ) แต่เป็นพุทธได้สัก 2 ปีก็รู้สึกว่าจริงๆแล้วโลกนี้มีแต่ความว่างเปล่า ต้องขอบคุณพระพุทธเจ้าที่ทรงชี้ให้เราเห็นว่า สุดท้ายแล้วชีวิตนี้ก็ไม่มีอะไรแน่นอนและวิธีที่จะสยบความเปลี่ยนแปลงก็คือความว่างภายในใจของเรา ถ้าใจสงบก็สามารถสยบความเคลื่อน ไหวภายนอกได้หมด เหมือนตรงกลางพายุซึ่งรอบๆหมุน วนแต่ตรงกลางสงบ จิตกับความคิดนี่คนละตัวกันนะ ขณะที่เราใช้สติควบคุมความคิด เราต้องรักษาความว่างของจิตไว้
• แล้วเริ่มเข้ามาศึกษาพุทธศาสนาอย่างไร
โอย..กว่าผมจะเจอครูบาอาจารย์ที่ถูกต้อง ก็ไปหลงงมงายอยู่พักหนึ่งแบบ ‘เมาศรัทธา’ ห้อยพระเครื่องเต็มตัวเลย เมื่อก่อนนี้ คือช่วงนั้นผมบาดเจ็บกระดูกหลังหัก ก็เลยพึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ต่อมาก็มานั่งพิจารณาดูว่า เอ...การห้อยพระเครื่องหรือมีพระพุทธรูปเต็มบ้านนี่มันใช่ทางดับทุกข์ หรือเปล่า ก็พบว่าไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้เป็นแค่เปลือก เรายังเจาะไปไม่ถึงหัวใจของพุทธศาสนา
พอเรารู้ว่านี่ไม่ใช่หนทางดับทุกข์ก็มาเจอด่านที่ 2 คือ ‘เมาบุญ’ ผมบ้าทำบุญ สร้างวัด สร้างเจดีย์ไปเรื่อย ตอนนั้นผมสร้างเจดีย์ทั้งองค์เลย สร้างไว้ที่จังหวัดพิจิตร ซึ่งเราได้ในเรื่องของทานนะ แต่ไม่ได้ปัญญา ช่วงนั้นก็โลภบุญ คือทำบุญแล้วก็อยากจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ อยากจะหายป่วยไข้ อยากจะร่ำรวย ซึ่งจริงๆ แล้วเราต้องทำไปพร้อมๆกันนะ ทั้งทาน ศีล ภาวนา แล้วก็ต้องรู้ด้วยว่าการทำบุญเหมือนกับการฝากธนาคารแบบสะสมทรัพย์ระยะยาว ไม่สามารถเอาบัตรเอทีเอ็ม ไปกดเพื่อเบิกบุญตรงนั้นออกมาใช้ได้ บุญเราได้แน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าจะส่งผลเมื่อไร ก็เมาบุญอยู่พักหนึ่ง มานั่งพิจารณาอีกก็พบว่ามันไม่ใช่ ผมจึงเข้าไปศึกษาธรรมะด้วยการบวช แต่ก่อนบวช ผมก็ศึกษาก่อนนะว่าจะเลือกวัดไหนดี (หัวเราะ) ก็ดูจากสื่อต่างๆบ้าง ถามจากเพื่อนที่เขาเป็นทหารบ้าง เพราะพวกนี้ต้องเดินทางไปทั่วประเทศ เขาก็จะรู้ว่าวัดไหนน่าไป ก็ได้คำแนะนำว่าน่าจะไปศึกษาธรรมะกับพระอาจารย์ในสายหลวงปู่มั่น (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) ผมจึงไปบวชและปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่จันทรา ฐาวโร ที่วัดป่าเขาน้อย อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ขาว พระอาจารย์ในสายหลวงปู่มั่น
• ตอนไปปฏิบัติธรรมแรกๆเป็นอย่างไรบ้างคะ
หลวงปู่จันทราท่านก็ให้เดินจงกรม นั่งภาวนา ดูลมหายใจ เคร่งมาก เดิน 1 ชั่วโมง นั่ง 1 ชั่วโมง จนถึงเช้าแล้วก็ออกไปบิณฑบาต ไม่ต้องนอนเลย ท่านให้ทำสมองให้ว่างเปล่า เหมือนแก้วที่ไม่มีน้ำ ให้โยนความรู้ดั้งเดิมทิ้ง ไม่ต้องสนใจพระไตรปิฎกหรือหนังสือธรรมะแล้ว มุ่งปฏิบัติอย่างเดียว ตอนนั้นก็ขึ้นไปบนยอด เขาน้อย ซึ่งลือกันมากว่าผีดุ ชาวบ้านเขาก็เตือนเราใหญ่เลยนะ เขาเรียกผมว่าพระดอกเตอร์(หัวเราะร่วน) ก็บอกพระดอกเตอร์แน่ใจนะว่าจะขึ้นไป ผมก็บอกว่า เอ้า...ไม่ลองไม่รู้ ไปอยู่ได้ 3 วันก็เริ่มรู้จักตัวเอง เดินจงกรมจนเท้า แตกเลยนะ ก็อดนอน ผ่อนอาหาร นอนน้อยกินน้อย ง่วงก็เดินจงกรมสู้นึกถึงความเพียรของพระโมคัลลาน์พระอัครสาวกฝ่ายซ้ายขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ลุยนั่งสมาธิแหลกลานเลย จนวันที่ 13 ถึงเข้าใจว่าฌานเป็นยังไง สมาธิเป็นยังไง บวชได้ 15 วัน คุณแม่ กับภรรยาก็มาดักรอเลย (หัวเราะ) มาขอให้สึก หลวงปู่จันทราท่านก็น่ารักนะ ท่านบอกว่าไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาส ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติธรรมก็ไม่แตกต่างกัน แล้วมีฆราวาสที่สนใจธรรมก็เป็นเรื่องดี เพราะสามารถช่วยเผยแพร่ธรรมะได้เต็มที่ ถ้าเป็นพระต้องระมัดระวัง บางอย่างทำไม่ได้ ทำแล้วอาบัติ
นอกจากนั้นหลวงปู่จันทราท่านยังไล่ให้ผมไปศึกษาธรรมะกับพระรูปอื่นด้วยนะ เพราะท่านมองว่า อยู่กับ ท่านเราได้แค่ขั้นสมาธิ ยังไม่ถึงขั้นปัญ ญา ผมก็ศึกษาสมาธิไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายผมได้พบกับหลวงตากล้วย เจ้าอาวาสวัดป่าธรรมอุทยาน ถนนมิตรภาพ อ.เมือง จ. ขอนแก่น ซึ่งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็ได้ศึกษา การทำสมาธิแบบกำหนดสติจากท่านจนถึงปัจจุบัน
• หลักในการเจริญสติที่อาจารย์ปฏิบัติอยู่คืออะไรคะ
เป็นการกำหนดจิตให้นิ่ง อย่าให้มีอคติเกิดขึ้นใน ความคิด เป็นการเฝ้าสังเกตความคิดตัวเองว่า ณ วันนี้มีความคิดที่เป็นขยะเข้ามาหรือเปล่า จิตของเรามันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร กายเราเปลี่ยนแปลงไหม เกิดทุก ขเวทนาไหม เราเรียกการทำสมาธิแบบนี้ว่า ‘สติปัฏฐาน 4’ คือการ พิจา รณา 4 อย่าง ได้แก่ กาย เวทนาจิต และธรรม 4 ตัวนี้ ตัวไหนชัดก็ดูตัวนั้น เช่น เราเห็นคนงานกำลังก่อสร้างตึก เราก็เกิดความคิดแทรกเข้ามาว่า เอ๊ะ! ตึกมันจะล้มไหม ถ้าเราดูจิตก็จะพบว่าจิตเรากำ ลังมีอคติกับการก่อสร้าง ถ้าดูเวทนาก็จะพบว่าเรากำลังรู้สึกหดหู่ เศร้าสลด หรือตกใจ ถ้าดูกายก็ พิจารณาว่าตอนนี้เรารู้สึกอึดอัด ร้อน หนาว เย็นอย่างไร เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไหม ถ้าดูธรรมก็พิจารณาว่าการ สร้างตึกที่เราเห็นให้ข้อคิดอะไร สรุปก็คือ ดูว่าเมื่อจิตเกิด กายจะเปลี่ยนแปลง แล้วมีเวทนาเกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้น มีข้อธรรมอย่างไร เช่น มีนิวรณ์ธรรม
หรืออีกวิธีหนึ่งเราจะดูการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของสิ่งที่เกิดขึ้นก็ได้ เช่น เวลาโกรธ ก็ดูว่าโกรธเมื่อไร โกรธอยู่นานไหม และหายโกรธเมื่อไร เราจะพบว่าจริงๆแล้ว ทุกข์เกิดจากการปรุงแต่งของจิต เราคิดไปเองว่ามันจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็เลยทุกข์ ดังนั้น ก็ให้เรารู้เท่าทันจิตว่ามันเกิดการปรุงแต่งอย่างไร
• อาจารย์ได้นำหลักธรรมมาใช้ในการอบรมด้านการ บริหารด้วย
ครับ เนื่องจากอาชีพเดิมผมเป็นที่ปรึกษาด้านการ บริหาร พอผมได้ศึกษาธรรมะและพบสัจธรรมขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็นำหลักทางพุทธศาสนามา บูรณาการให้เข้ากับหลักการบริหารจัดการ ผมเพิ่งมารู้ตัวว่า โอ้โฮ...เราหลงโง่เชื่อฝรั่งอยู่ได้ตั้งนาน เพราะถ้าเราไล่ดูตำ ราการบริหารที่ฝรั่งเขียนนะ เราจะพบว่า มีพื้นฐานเหมือนกับที่พระพุทธ เจ้าทรงสอนไว้ทั้งนั้น พูดได้เลยว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นบรมครูของวิชา Human Resource (ทรัพยากรมนุษย์) เช่น หลักในการลง ทุนของ ดร.เดอวาโน เขาให้มองแบบหมวกเขียว หมวกเหลือง หมวกดำ หมวกขาว หมวกฟ้า หมวกดำก็คือมองหาข้อเสีย แล้วจดบันทึกไว้หมวกเขียวคือ พิจารณาถึงข้อดี หมวกขาวก็คือพิจารณาจากข้อมูลทางวิชาการหรือจากสถิติที่บันทึกไว้ ซึ่งตรงกับหลักทางพุทธที่ให้พิจารณาสิ่งต่าง ๆตามความเป็นจริง ใช้สติใน การพิจารณาโดยปราศจากความโลภและความลำเอียงนั้นเอง ถ้าเราใช้ความโลภเป็นตัวนำเราจะกลายเป็นแมงเม่า แห่เข้าไปตาย ซึ่งเห็นชัดมากในตลาดหุ้นของไทย หรืออย่าง Pro blem Solve หรือหลักการแก้ปัญหา ฝรั่งจะมีขั้นตอนว่าต้องทำ 1, 2, 3, 4 แต่โดยรวมแล้วก็คือต้องตัดอคติออก ตัดความรู้สึกลำเอียงออก และใช้ความเป็นจริงในการตัดสิน ซึ่งก็ตรงกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน
คนไทยพอเราพูดถึงธรรมะ จะมองว่า โอ๊ย..เชย เอามาใช้กับโลกปัจจุบันไม่ได้หรอก แต่หารู้ไม่ว่าตอนนี้ในต่างประเทศ หลักพุทธกำลังเป็น Management Train ตัวใหม่ แต่คนไทยกลับโง่จะไปเดินตามฝรั่ง เราเหมือนเป็นถ้วยกาแฟซึ่งไม่เคยลิ้มรสว่ากาแฟ อร่อยอย่างไร จนฝรั่งมาบอกว่าอร่อย เราจึงลองลิ้มรส ฝรั่งเขาอธิบายแบบพุทธไม่เป็นหรอก แต่วิธีคิดของเขาตรงกับหลักทางพุทธเลย แล้วความที่เขาขยันและเอาจริงเอาจังกว่าเรา ถ้าเขามาศึกษาพุทธศาสนานี่เชื่อได้เลยว่าจะมีฝรั่งบรรลุธรรมกันเยอะแยะ เพราะเวลา เขาศึกษาอะไรแล้วเขาศึกษาแบบกัดไม่ปล่อย
• แล้วในการทำหน้าที่ที่ปรึกษาด้านการบริหารของบริษัทต่าง ๆล่ะคะ ใช้หลักธรรมข้อไหน
ฝรั่งจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของพนักงานโดยใช้ หลัก Change Ma nagement เช่นใช้วิธีปลุกระดมเพื่อให้มีความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับองค์กร แต่ผมใช้ วิธีเปลี่ยนทัศนคติของคนก่อน จับมาเปลี่ยนวิธีคิด เพราะพอวิธีคิดเปลี่ยน ทัศนติและพฤติกรรมก็เปลี่ยน ความสุขก็เกิดขึ้น เราก็ใช้หลักสติปัฏฐาน 4 ยกตัวอย่างคนที่มีอีโก้ ยึดถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่่ เราก็ให้ เขาดูความคิดตัวเองก่อนว่ามีอคติหรือเปล่า อย่างเวลา เข้าที่ประชุมนี่ แต่ละคนจิตเป็นอคติหมด คิดแต่ว่าความคิดตัวเองถูกที่สุด เวลาใครเสนออะไรก็ไม่ฟัง สุดท้ายแทนที่จะมีไอเดียใหม่ๆเกิดขึ้น กลับกลายเป็นทะเลาะกัน พอทะเลาะกันแล้วก็เกิดความรู้สึกอคติ กับคนคนนั้นตามมา ตอนหลังเขาพูดอะไรถึงจะเป็นประ โยชน์ เป็นสิ่งที่ดี เราก็ไม่เห็นด้วยแล้ว หลักของทางพุทธคือ ‘สติมาปัญญาเกิด’ เราก็ดึงสติเขากลับมาก่อน ให้เขาลดอัตตาของตัวเอง สุดท้ายการประชุมก็คือการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง เพราะเราให้เขาฝึกดูจิตตัวเอง เหมือนการยกวัดมาไว้ที่บริษัท ข้างนอกก็ทำงานกันไปแต่ภายในก็ดูจิตเอาไว้ ถ้าจิตเกิดก็หยุด แต่สิ่งเหล่านี้ผู้บริหารต้องให้ความร่วมมือด้วยนะ ไม่อย่างนั้นไม่เป็นผล
• อาจารย์ให้คำแนะนำแก่ผู้บริหารของบริษัทอย่างไรคะ
ผมพาบรรดาผู้บริหารไปเรียนรู้เรื่องใจก่อน จากนั้นก็ไปนั่งสังเกตการณ์เวลามีการประชุม เห็นเลยว่าคนที่จิตเกิดหรือใช้อารมณ์ในการประชุมคนแรกก็คือผู้บริหารซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท ส่วนลูกน้องก็จะพยายามพิสูจ น์ให้เจ้านายเห็นว่าข้อเสนอของตัวเองถูกต้อง อย่างวันไหนผู้บริหารไม่ มีสติเพราะกำลังหงุด หงิดเรื่องอะไรมา พอเข้าที่ประชุมก็มาด่าลูกน้องทั้งที่ลูกน้องไม่ผิด ลูกน้องก็จะเก็บเรื่องเหล่านี้ไปเป็นสัญญา(ความทรงจำ)สะสมไว้ ประชุมคราวต่อไปมีอะไรเกิดขึ้นก็จะไม่กล้าบอกความจริง เพราะกลัวโดนด่า อย่างนี้งานก็แย่กันทั้งองค์กร
หลังจากเก็บข้อมูลในที่ประชุมแล้ว ผมก็จะแนะนำกับผู้เข้าประชุมแต่ละคนเป็นการส่วนตัว บางทีก็พูดคุยกันทางเมล์ บางบริษัทเขาก็จัดทำเวบ ไซต์ให้ผมและพนักงานพูดคุยกันโดยเฉพาะ บางทีช่วงกลางคืนผมก็มานั่งตอบเมล์ให้พนักงาน
• นอกจากให้พนักงานฝึกจิตไปพร้อมๆกับการทำงานแล้วอาจารย์พาพนักงานของบริษัทเหล่านี้ เข้าวัดปฏิบัติธรรมด้วยหรือเปล่า
ผมจัดโปรแกรมปฏิบัติธรรมนะ จัดภายในบริษัทเลยไม่ต้องไปไหนไกล แต่ไม่ใช้วิธีนั่งสมาธิแบบกำหนดลมหายใจนะ ผมให้เขาทำสมาธิด้วยการนั่งดูจิต เฝ้าดูกิเลส ผมจะให้เขาเขียนบรรยายว่าวันๆหนึ่งเขารับอะไรเข้ามาในจิตใจบ้าง และตอบโต้ออกไปภายนอกอย่างไร เมื่อเขาเห็นว่ากิเลสเกิดขึ้น ก็แนะว่าจะดับกิเลสอย่างไร พอเขาเข้าใจเรื่องกิเลสเกิดจากจิตแล้ว เราก็สอน ธรรมะข้ออื่นๆเขาเพิ่มขึ้น ชี้ให้เขาเห็นถึงโทษของความเจ้าชู้ การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เล่นการพนัน ซึ่งความจริงเขารู้อยู่แล้วว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งไม่ดี แต่เขาไม่มีความมุ่งมั่น หรือไม่มีสติพอจะยับยั้งไม่ให้ตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน นอกจากอบรมพนักงานแล้ว เราก็ดึงบรรดาภรรยา และสมาชิกในครอบ ครัวของพนักงานเข้ามาร่วมอบรมด้วย โดยเฉพาะภรรยานี่เป็นแนวร่วมอย่างดีเลย จะเป็น ฝ่ายสนับสนุนให้สามีของเขาทำสิ่งดีๆ ตามคำแนะ นำของเรา
จากนักวิทยาศาสตร์องค์การ นาซา นอกศาสนาเปลี่ยนใจมานับถือพุทธศาสนา
ไม่แปลกที่บริษัทเหล่านี้ว่าจ้างให้เขาเข้าไปทำการ ปรับกระบวนยุทธ์ในการบริหาร แต่ที่น่าแปลกใจคือ กลยุทธ์ที่เขาแนะนำแก่บริษัทต่างๆนั้น ไม่ได้มาจากตำราหรือหลักการบริหารของฝรั่งมังค่า ทว่ามาจาก ‘หลักธรรม’ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เขายืนยันว่าพระพุทธเจ้าเป็นบรมครูของวิชาทรัพยากรมนุษย์อย่างแท้จริง
• ทราบว่าตอนแรกอาจารย์นับถือศาสนาคริสต์ ทำไมจึงเปลี่ยนมาเป็นพุทธคะ
เดิมผมนับถือศาสนาคริสต์ คือเป็นคริสต์กันทั้งบ้านแต่มาพบว่าหลักคำสอนของคริสต์แก้ปัญหาชีวิตให้เรา ไม่ได้ เลยหันมาศึกษาพุทธศาสนาและเปลี่ยนมาเป็นพุทธเมื่อ 8 ปีที่แล้วตอนนั้นก็ปาเข้าไปอายุ 39 แล้วนะ(หัวเราะ) แต่เป็นพุทธได้สัก 2 ปีก็รู้สึกว่าจริงๆแล้วโลกนี้มีแต่ความว่างเปล่า ต้องขอบคุณพระพุทธเจ้าที่ทรงชี้ให้เราเห็นว่า สุดท้ายแล้วชีวิตนี้ก็ไม่มีอะไรแน่นอนและวิธีที่จะสยบความเปลี่ยนแปลงก็คือความว่างภายในใจของเรา ถ้าใจสงบก็สามารถสยบความเคลื่อน ไหวภายนอกได้หมด เหมือนตรงกลางพายุซึ่งรอบๆหมุน วนแต่ตรงกลางสงบ จิตกับความคิดนี่คนละตัวกันนะ ขณะที่เราใช้สติควบคุมความคิด เราต้องรักษาความว่างของจิตไว้
• แล้วเริ่มเข้ามาศึกษาพุทธศาสนาอย่างไร
โอย..กว่าผมจะเจอครูบาอาจารย์ที่ถูกต้อง ก็ไปหลงงมงายอยู่พักหนึ่งแบบ ‘เมาศรัทธา’ ห้อยพระเครื่องเต็มตัวเลย เมื่อก่อนนี้ คือช่วงนั้นผมบาดเจ็บกระดูกหลังหัก ก็เลยพึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ต่อมาก็มานั่งพิจารณาดูว่า เอ...การห้อยพระเครื่องหรือมีพระพุทธรูปเต็มบ้านนี่มันใช่ทางดับทุกข์ หรือเปล่า ก็พบว่าไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้เป็นแค่เปลือก เรายังเจาะไปไม่ถึงหัวใจของพุทธศาสนา
พอเรารู้ว่านี่ไม่ใช่หนทางดับทุกข์ก็มาเจอด่านที่ 2 คือ ‘เมาบุญ’ ผมบ้าทำบุญ สร้างวัด สร้างเจดีย์ไปเรื่อย ตอนนั้นผมสร้างเจดีย์ทั้งองค์เลย สร้างไว้ที่จังหวัดพิจิตร ซึ่งเราได้ในเรื่องของทานนะ แต่ไม่ได้ปัญญา ช่วงนั้นก็โลภบุญ คือทำบุญแล้วก็อยากจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ อยากจะหายป่วยไข้ อยากจะร่ำรวย ซึ่งจริงๆ แล้วเราต้องทำไปพร้อมๆกันนะ ทั้งทาน ศีล ภาวนา แล้วก็ต้องรู้ด้วยว่าการทำบุญเหมือนกับการฝากธนาคารแบบสะสมทรัพย์ระยะยาว ไม่สามารถเอาบัตรเอทีเอ็ม ไปกดเพื่อเบิกบุญตรงนั้นออกมาใช้ได้ บุญเราได้แน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าจะส่งผลเมื่อไร ก็เมาบุญอยู่พักหนึ่ง มานั่งพิจารณาอีกก็พบว่ามันไม่ใช่ ผมจึงเข้าไปศึกษาธรรมะด้วยการบวช แต่ก่อนบวช ผมก็ศึกษาก่อนนะว่าจะเลือกวัดไหนดี (หัวเราะ) ก็ดูจากสื่อต่างๆบ้าง ถามจากเพื่อนที่เขาเป็นทหารบ้าง เพราะพวกนี้ต้องเดินทางไปทั่วประเทศ เขาก็จะรู้ว่าวัดไหนน่าไป ก็ได้คำแนะนำว่าน่าจะไปศึกษาธรรมะกับพระอาจารย์ในสายหลวงปู่มั่น (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) ผมจึงไปบวชและปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่จันทรา ฐาวโร ที่วัดป่าเขาน้อย อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ขาว พระอาจารย์ในสายหลวงปู่มั่น
• ตอนไปปฏิบัติธรรมแรกๆเป็นอย่างไรบ้างคะ
หลวงปู่จันทราท่านก็ให้เดินจงกรม นั่งภาวนา ดูลมหายใจ เคร่งมาก เดิน 1 ชั่วโมง นั่ง 1 ชั่วโมง จนถึงเช้าแล้วก็ออกไปบิณฑบาต ไม่ต้องนอนเลย ท่านให้ทำสมองให้ว่างเปล่า เหมือนแก้วที่ไม่มีน้ำ ให้โยนความรู้ดั้งเดิมทิ้ง ไม่ต้องสนใจพระไตรปิฎกหรือหนังสือธรรมะแล้ว มุ่งปฏิบัติอย่างเดียว ตอนนั้นก็ขึ้นไปบนยอด เขาน้อย ซึ่งลือกันมากว่าผีดุ ชาวบ้านเขาก็เตือนเราใหญ่เลยนะ เขาเรียกผมว่าพระดอกเตอร์(หัวเราะร่วน) ก็บอกพระดอกเตอร์แน่ใจนะว่าจะขึ้นไป ผมก็บอกว่า เอ้า...ไม่ลองไม่รู้ ไปอยู่ได้ 3 วันก็เริ่มรู้จักตัวเอง เดินจงกรมจนเท้า แตกเลยนะ ก็อดนอน ผ่อนอาหาร นอนน้อยกินน้อย ง่วงก็เดินจงกรมสู้นึกถึงความเพียรของพระโมคัลลาน์พระอัครสาวกฝ่ายซ้ายขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ลุยนั่งสมาธิแหลกลานเลย จนวันที่ 13 ถึงเข้าใจว่าฌานเป็นยังไง สมาธิเป็นยังไง บวชได้ 15 วัน คุณแม่ กับภรรยาก็มาดักรอเลย (หัวเราะ) มาขอให้สึก หลวงปู่จันทราท่านก็น่ารักนะ ท่านบอกว่าไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาส ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติธรรมก็ไม่แตกต่างกัน แล้วมีฆราวาสที่สนใจธรรมก็เป็นเรื่องดี เพราะสามารถช่วยเผยแพร่ธรรมะได้เต็มที่ ถ้าเป็นพระต้องระมัดระวัง บางอย่างทำไม่ได้ ทำแล้วอาบัติ
นอกจากนั้นหลวงปู่จันทราท่านยังไล่ให้ผมไปศึกษาธรรมะกับพระรูปอื่นด้วยนะ เพราะท่านมองว่า อยู่กับ ท่านเราได้แค่ขั้นสมาธิ ยังไม่ถึงขั้นปัญ ญา ผมก็ศึกษาสมาธิไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายผมได้พบกับหลวงตากล้วย เจ้าอาวาสวัดป่าธรรมอุทยาน ถนนมิตรภาพ อ.เมือง จ. ขอนแก่น ซึ่งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็ได้ศึกษา การทำสมาธิแบบกำหนดสติจากท่านจนถึงปัจจุบัน
• หลักในการเจริญสติที่อาจารย์ปฏิบัติอยู่คืออะไรคะ
เป็นการกำหนดจิตให้นิ่ง อย่าให้มีอคติเกิดขึ้นใน ความคิด เป็นการเฝ้าสังเกตความคิดตัวเองว่า ณ วันนี้มีความคิดที่เป็นขยะเข้ามาหรือเปล่า จิตของเรามันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร กายเราเปลี่ยนแปลงไหม เกิดทุก ขเวทนาไหม เราเรียกการทำสมาธิแบบนี้ว่า ‘สติปัฏฐาน 4’ คือการ พิจา รณา 4 อย่าง ได้แก่ กาย เวทนาจิต และธรรม 4 ตัวนี้ ตัวไหนชัดก็ดูตัวนั้น เช่น เราเห็นคนงานกำลังก่อสร้างตึก เราก็เกิดความคิดแทรกเข้ามาว่า เอ๊ะ! ตึกมันจะล้มไหม ถ้าเราดูจิตก็จะพบว่าจิตเรากำ ลังมีอคติกับการก่อสร้าง ถ้าดูเวทนาก็จะพบว่าเรากำลังรู้สึกหดหู่ เศร้าสลด หรือตกใจ ถ้าดูกายก็ พิจารณาว่าตอนนี้เรารู้สึกอึดอัด ร้อน หนาว เย็นอย่างไร เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไหม ถ้าดูธรรมก็พิจารณาว่าการ สร้างตึกที่เราเห็นให้ข้อคิดอะไร สรุปก็คือ ดูว่าเมื่อจิตเกิด กายจะเปลี่ยนแปลง แล้วมีเวทนาเกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้น มีข้อธรรมอย่างไร เช่น มีนิวรณ์ธรรม
หรืออีกวิธีหนึ่งเราจะดูการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของสิ่งที่เกิดขึ้นก็ได้ เช่น เวลาโกรธ ก็ดูว่าโกรธเมื่อไร โกรธอยู่นานไหม และหายโกรธเมื่อไร เราจะพบว่าจริงๆแล้ว ทุกข์เกิดจากการปรุงแต่งของจิต เราคิดไปเองว่ามันจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็เลยทุกข์ ดังนั้น ก็ให้เรารู้เท่าทันจิตว่ามันเกิดการปรุงแต่งอย่างไร
• อาจารย์ได้นำหลักธรรมมาใช้ในการอบรมด้านการ บริหารด้วย
ครับ เนื่องจากอาชีพเดิมผมเป็นที่ปรึกษาด้านการ บริหาร พอผมได้ศึกษาธรรมะและพบสัจธรรมขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็นำหลักทางพุทธศาสนามา บูรณาการให้เข้ากับหลักการบริหารจัดการ ผมเพิ่งมารู้ตัวว่า โอ้โฮ...เราหลงโง่เชื่อฝรั่งอยู่ได้ตั้งนาน เพราะถ้าเราไล่ดูตำ ราการบริหารที่ฝรั่งเขียนนะ เราจะพบว่า มีพื้นฐานเหมือนกับที่พระพุทธ เจ้าทรงสอนไว้ทั้งนั้น พูดได้เลยว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นบรมครูของวิชา Human Resource (ทรัพยากรมนุษย์) เช่น หลักในการลง ทุนของ ดร.เดอวาโน เขาให้มองแบบหมวกเขียว หมวกเหลือง หมวกดำ หมวกขาว หมวกฟ้า หมวกดำก็คือมองหาข้อเสีย แล้วจดบันทึกไว้หมวกเขียวคือ พิจารณาถึงข้อดี หมวกขาวก็คือพิจารณาจากข้อมูลทางวิชาการหรือจากสถิติที่บันทึกไว้ ซึ่งตรงกับหลักทางพุทธที่ให้พิจารณาสิ่งต่าง ๆตามความเป็นจริง ใช้สติใน การพิจารณาโดยปราศจากความโลภและความลำเอียงนั้นเอง ถ้าเราใช้ความโลภเป็นตัวนำเราจะกลายเป็นแมงเม่า แห่เข้าไปตาย ซึ่งเห็นชัดมากในตลาดหุ้นของไทย หรืออย่าง Pro blem Solve หรือหลักการแก้ปัญหา ฝรั่งจะมีขั้นตอนว่าต้องทำ 1, 2, 3, 4 แต่โดยรวมแล้วก็คือต้องตัดอคติออก ตัดความรู้สึกลำเอียงออก และใช้ความเป็นจริงในการตัดสิน ซึ่งก็ตรงกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน
คนไทยพอเราพูดถึงธรรมะ จะมองว่า โอ๊ย..เชย เอามาใช้กับโลกปัจจุบันไม่ได้หรอก แต่หารู้ไม่ว่าตอนนี้ในต่างประเทศ หลักพุทธกำลังเป็น Management Train ตัวใหม่ แต่คนไทยกลับโง่จะไปเดินตามฝรั่ง เราเหมือนเป็นถ้วยกาแฟซึ่งไม่เคยลิ้มรสว่ากาแฟ อร่อยอย่างไร จนฝรั่งมาบอกว่าอร่อย เราจึงลองลิ้มรส ฝรั่งเขาอธิบายแบบพุทธไม่เป็นหรอก แต่วิธีคิดของเขาตรงกับหลักทางพุทธเลย แล้วความที่เขาขยันและเอาจริงเอาจังกว่าเรา ถ้าเขามาศึกษาพุทธศาสนานี่เชื่อได้เลยว่าจะมีฝรั่งบรรลุธรรมกันเยอะแยะ เพราะเวลา เขาศึกษาอะไรแล้วเขาศึกษาแบบกัดไม่ปล่อย
• แล้วในการทำหน้าที่ที่ปรึกษาด้านการบริหารของบริษัทต่าง ๆล่ะคะ ใช้หลักธรรมข้อไหน
ฝรั่งจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของพนักงานโดยใช้ หลัก Change Ma nagement เช่นใช้วิธีปลุกระดมเพื่อให้มีความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับองค์กร แต่ผมใช้ วิธีเปลี่ยนทัศนคติของคนก่อน จับมาเปลี่ยนวิธีคิด เพราะพอวิธีคิดเปลี่ยน ทัศนติและพฤติกรรมก็เปลี่ยน ความสุขก็เกิดขึ้น เราก็ใช้หลักสติปัฏฐาน 4 ยกตัวอย่างคนที่มีอีโก้ ยึดถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่่ เราก็ให้ เขาดูความคิดตัวเองก่อนว่ามีอคติหรือเปล่า อย่างเวลา เข้าที่ประชุมนี่ แต่ละคนจิตเป็นอคติหมด คิดแต่ว่าความคิดตัวเองถูกที่สุด เวลาใครเสนออะไรก็ไม่ฟัง สุดท้ายแทนที่จะมีไอเดียใหม่ๆเกิดขึ้น กลับกลายเป็นทะเลาะกัน พอทะเลาะกันแล้วก็เกิดความรู้สึกอคติ กับคนคนนั้นตามมา ตอนหลังเขาพูดอะไรถึงจะเป็นประ โยชน์ เป็นสิ่งที่ดี เราก็ไม่เห็นด้วยแล้ว หลักของทางพุทธคือ ‘สติมาปัญญาเกิด’ เราก็ดึงสติเขากลับมาก่อน ให้เขาลดอัตตาของตัวเอง สุดท้ายการประชุมก็คือการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง เพราะเราให้เขาฝึกดูจิตตัวเอง เหมือนการยกวัดมาไว้ที่บริษัท ข้างนอกก็ทำงานกันไปแต่ภายในก็ดูจิตเอาไว้ ถ้าจิตเกิดก็หยุด แต่สิ่งเหล่านี้ผู้บริหารต้องให้ความร่วมมือด้วยนะ ไม่อย่างนั้นไม่เป็นผล
• อาจารย์ให้คำแนะนำแก่ผู้บริหารของบริษัทอย่างไรคะ
ผมพาบรรดาผู้บริหารไปเรียนรู้เรื่องใจก่อน จากนั้นก็ไปนั่งสังเกตการณ์เวลามีการประชุม เห็นเลยว่าคนที่จิตเกิดหรือใช้อารมณ์ในการประชุมคนแรกก็คือผู้บริหารซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท ส่วนลูกน้องก็จะพยายามพิสูจ น์ให้เจ้านายเห็นว่าข้อเสนอของตัวเองถูกต้อง อย่างวันไหนผู้บริหารไม่ มีสติเพราะกำลังหงุด หงิดเรื่องอะไรมา พอเข้าที่ประชุมก็มาด่าลูกน้องทั้งที่ลูกน้องไม่ผิด ลูกน้องก็จะเก็บเรื่องเหล่านี้ไปเป็นสัญญา(ความทรงจำ)สะสมไว้ ประชุมคราวต่อไปมีอะไรเกิดขึ้นก็จะไม่กล้าบอกความจริง เพราะกลัวโดนด่า อย่างนี้งานก็แย่กันทั้งองค์กร
หลังจากเก็บข้อมูลในที่ประชุมแล้ว ผมก็จะแนะนำกับผู้เข้าประชุมแต่ละคนเป็นการส่วนตัว บางทีก็พูดคุยกันทางเมล์ บางบริษัทเขาก็จัดทำเวบ ไซต์ให้ผมและพนักงานพูดคุยกันโดยเฉพาะ บางทีช่วงกลางคืนผมก็มานั่งตอบเมล์ให้พนักงาน
• นอกจากให้พนักงานฝึกจิตไปพร้อมๆกับการทำงานแล้วอาจารย์พาพนักงานของบริษัทเหล่านี้ เข้าวัดปฏิบัติธรรมด้วยหรือเปล่า
ผมจัดโปรแกรมปฏิบัติธรรมนะ จัดภายในบริษัทเลยไม่ต้องไปไหนไกล แต่ไม่ใช้วิธีนั่งสมาธิแบบกำหนดลมหายใจนะ ผมให้เขาทำสมาธิด้วยการนั่งดูจิต เฝ้าดูกิเลส ผมจะให้เขาเขียนบรรยายว่าวันๆหนึ่งเขารับอะไรเข้ามาในจิตใจบ้าง และตอบโต้ออกไปภายนอกอย่างไร เมื่อเขาเห็นว่ากิเลสเกิดขึ้น ก็แนะว่าจะดับกิเลสอย่างไร พอเขาเข้าใจเรื่องกิเลสเกิดจากจิตแล้ว เราก็สอน ธรรมะข้ออื่นๆเขาเพิ่มขึ้น ชี้ให้เขาเห็นถึงโทษของความเจ้าชู้ การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เล่นการพนัน ซึ่งความจริงเขารู้อยู่แล้วว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งไม่ดี แต่เขาไม่มีความมุ่งมั่น หรือไม่มีสติพอจะยับยั้งไม่ให้ตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน นอกจากอบรมพนักงานแล้ว เราก็ดึงบรรดาภรรยา และสมาชิกในครอบ ครัวของพนักงานเข้ามาร่วมอบรมด้วย โดยเฉพาะภรรยานี่เป็นแนวร่วมอย่างดีเลย จะเป็น ฝ่ายสนับสนุนให้สามีของเขาทำสิ่งดีๆ ตามคำแนะ นำของเรา