เปิดบทสัมภาษณ์ "The Shooter" มือสังหาร ผู้ลั่นไกปลิดชีพ บิน ลาเดน




บทสัมภาษณ์นี้สัมภาษณ์ โดย Phil Bronstein นักข่าวอาวุโส ผู้ได้รับโอกาสสัมภาษณ์ The Shooter สมาชิกซีลทีม 6 ผู้ลั่นไกปลิดชีพบินลาเดน และได้ตีพิมพ์ลงนิตยสาร Esquire ในเดือนกุมภาพันธ์ (ซึ่งตีพิมพ์ลงในฉบับปัจจุบันของ Thai Edition แล้ว) เพราะครั้งนี้ไม่ได้ตามค้นข้อมูลเอง จึงขออณุญาติยกข้อมูลมาเพียงคร่าวๆ และเรียบเรียงใหม่อีกครั้ง

"กองทัพสหรัฐเก่งในเรื่องการเปลี่ยนพลเรือนเป็นทหาร แต่ห่วยแตกในเรื่องเปลี่ยนทหารมาเป็นพลเรือน"

นายทหารชั้นสูงผู้หนึ่งว่าไว้ ขณะที่ปัญหาทหารปลดประจำการ หรือ ทหารที่กลับจากสนามรบจำนวนมาก ยังคงรอคอยการเยียวยารัฐบาล ซึ่งรัฐบาลสหรัฐก็เจียจารงบประมาณในการดูแลทหารเหล่านี้ให้เพียงน้อยนิด บางคนเลือก ตายในสนามรบ เพราะ กลับมาเป็นพลเรือน ก็ทรมานกับการใช้ชีวิตอยู่แถมครอบครัวยังต้องลำบาก (เลือกตายในสนามรบเพื่อให้ครอบครัวรับสวัสดิการ) แทนที่จะออกมาเป็น "ไอ้คนว่างงาน" ที่เงินแม้แต่จะจ่ายค่าประกันสุขภาพประจำปียังไม่มี ... ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่อง อาการบาดเจ็บเรื้อรังจากสงคราม

The Shooter ผู้ที่ได้รับฉายา ว่า "อเมริกันฮีโร่ตัวจริง" ก็ตกอยู่ในภาวะเช่นนั้น เขาขอปลดประจำการก่อนช่วงที่สามารถเกษียณได้ ทำให้เค้าหมดสิทธิ์ ได้รับสวัสดิการทางทหารอย่างสิ้นเชิง แม้เขาจะพยายามยื้อสวัสดิการเพื่อครอบครัวไว้ ในวันที่ตัดสินใจลาออก เขาถามกับเจ้าหน้าที่ว่า มีสิทธิ์โอนมันไปไว้กับเอกชนได้มั้ย?

"ไม่ได้ ขอบคุณที่รับใช้กองทัพ โชคดี"

นั่นคือคำตอบ/คำขอบคุณที่เขาได้รับหลังรับใช้กองทัพมา 16 ปี

หลังภารกิจ "ปลิดชีพ บินลาเดน" เพียงไม่นาน The Shooter ถูกเสนอให้เข้าอยู่ในโครงการคุ้มครองพยาน โดยข้อเสนอที่กองทัพให้เขาได้คือ "การไปเป็นพนักงานขับรถบรรทุก" เขาบอกว่านั่นคือ ข้อเสนอที่ห่วยแตกสุดๆ ทำไม กองทัพไม่คิดจะ ...ส่งคนมาดูแลครอบครัวเขา หรือ เสนอติดตั้งสัญญาณความปลอดภัยอะไรกับบ้านของเขาบ้าง แทนที่จะให้เขาไปขับรถบรรทุก? คิดได้ดีที่สุดเท่านั้น?

The Shooter บอกว่า คำพูดที่สวยหรูของโอบาม่าที่ได้ยินในทีวี ทำให้ทหารแบบเราๆสะท้อนใจ เขาบอกว่าพวกเราคือ "ที่สุดของที่สุด" คือ ฮีโร่ของชาวอเมริกัน แต่เรา สิ่งที่เราเจอกลับแย่ยิ่งกว่าหมาจนตรอก ในทุกวันนี้...

ปัญหาที่เหล่าทหารปลดประจำการต้องเจอคือ อาการบาดเจ็บเรื้อรัง,อาการทางจิตต่างๆนาๆ เกินกว่าที่จะกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ทันที เขาบอกว่า ไบเดนเคยพูดถึงเรื่องนี้ ฮิลลารีเคยพูดถึงเรื่องนี้ แต่ทุกวันนี้ ยังไม่มีโครงการอะไรเป็นรูปเป็นร่าง แม้ Navy Seal จะมีกองทุนเพื่อนทหารอยู่ แต่มันก็ช่วยพวกเราไม่ได้ทั้งหมด ทหารที่กลับมาจากสนามรบ มีมากเกิดจะคาด ยังไม่นับพวกที่กลับมาแบบพิการ และกลับมาในโลงนะ...

ก่อนภารกิจเราวางใจซึ่งกันและกัน แต่หลัง ภารกิจ บินลาเดน ทุกอย่างเปลี่ยนไป พวกเรา หวาดระแวงกันและกัน "ใครจะหยิบชิ้นปลามันไปกินคนแรก" นั่นคือ ใครจะเอาภารกิจนี้ไปขายคนแรก เราต่างรู้ดีว่า การเปิดเผยข้อมูลภารกิจคือการทรยศอาชีพ และผิดจรรยา คำสาบาน ...

จนกระทั่งเราได้เห็น No Easy Day เพราะดูเหมือน บิซซอนเนตจะบิดเบือนข้อมูลในภารกิจจริงไปค่อนข้างมาก แม้จะมีการเขียนถึงเขาว่าเป็นคนยิงบินลาเดน แต่ The Shooter ก็เหมือนจะถูกตัดบททิ้งไปอย่างไร้ความสำคัญ The Shooter บอกว่า ตราบใดที่บิซซอนเนตไม่เปิดเผยชื่อเขา เขาก็จะไม่เปิดเผยชื่อของบิซซอนเนตเช่นกัน ตอนนั้นเขายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า สมาชิกคนไหนเป็นคนเขียนหนังสือเล่มนั้น ชื่อของบิซซอนเนตถูกปิดบังได้เพียงวันเดียว ก็มีคนเอชื่อจริงเขามาเปิดเผยเสียแล้ว นามแฝงที่ใช้ในการเขียนหนังสือของเขา แบบ มาร์ค โอเว่น จึงไม่จำเป็นสำหรับบิซซอนเนตอีกต่อไป

เขาเล่าว่า
"บรรดาทหารคนอื่นๆมาถามผมว่า จะไปออกรายการ 60 Minutes กับบิซซอนเนตด้วยหรือเปล่า ผมบอกว่า ไม่ ผมไม่อยากเปิดเผยตัวหรอกนะ นั่นทำให้พวกเขารีบมาขอโทษขอโพยผมกันใหญ่" หลังจากที่พวกนั้นที่เข้าใจผิดว่าเขาจะเอาภารกิจไปหากินคนแรก เพราะ เขาดูจะเป็นคนที่มีสิทธิจะทำแบบนั้นที่สุด

The Shooter บอกว่า การทำแบบบนั้นก็เหมือนกับการเอาป้าย "ยิงได้เลยตรงหัว" ตัวใหญ่ๆมาแขวนคอนั่นแหละ

The Shooter บอกว่า เขาไม่คิดหากินกับงานเขียนหนังสือ แม้จะได้ยินมาว่า บินซอนเนตได้เงินเป็นล้านๆ แต่เขาอยากจะออกมาพูดอะไรบ้าง เพื่อบอกความจริง ไม่ใช่เรื่องภารกิจ แต่เป็นเรื่องที่เราเจอ เรื่องที่กองทัพถีบหัวส่งเรายังไง

"ทุกวันที่เราออกไปทำงาน เรารู้ว่าเราอาจจะตายได้ทุกวัน หลังจบภารกิจบินลาเดน ผมเลือกไปประจำการในอัฟกานิสถานอีก 4 เดือนแล้วขอลาออก ผมไม่อยากจับปืนอีก ผมไม่อยากจูบลูกในตอนกลางคืน เหมือนเป็นคืนสุดท้ายในชีวิต ผมยังอยากดูลูกๆรับปริญญาอยู่..."

The Shooter เล่าว่าเหตุผลที่เขาตัดสินใจมาเข้ากองทัพคือ "อกหัก"

พวกทหารมักมีมุขตลกๆแปลกๆที่ดูจะไม่ค่อยเหมาะกับสถานการณ์เท่าไร The Shooter บอกว่า "เพราะผู้หญิงคนนั้น พวกตาลีบันเลยตายเป็นเบือ" เขาเล่นมุขพร้อมกับหัวเราะ เขาบอกว่า ภารกิจบินลาเดนไม่ใช่ภารกิจที่โหดที่สุด ก่อนหน้านี้เขาเคยทำภารกิจแบบที่เสี่ยงตายและจนตรอกกว่านี้มาแล้ว กระสุนวิ่งผ่านหน้าไปเสี้ยวเดียว คืนที่ต้องไปภารกิจบินลาเดน เขาจูบลาลูกชาย บอกลาเมีย โทรบอกพ่อ เพราะมั่นใจว่า ภารกิจนี้ ไม่ตายก็ต้องติดคุกในปากีสถานหัวโตแน่นอน เขาบอกว่า วันนั้นเขาโทรหาพ่อและพูดเพียงแค่ "พ่อ ผมไปทำงานก่อนนะ" แต่ดูเหมือนพ่อของเขารับคำพร้อมด้วยเสียงสั่นเครือ มันเหมือนกับว่า ภารกิจนี้ มันยิ่งใหญ่ และอันตรายกว่าที่ผ่านมามาก

เขาเองก็คิดเช่นนั้น ก่อนไปภารกิจ เราทุกคนมีเวลาเขียนจดหมายสั่งเสียทางบ้าน The Shooter เขียนจดหมายยาวพรืด ไว้ให้ลูกอ่านตอนลูกเขาโตอายุสัก 35 แล้ว เขาเขียนบอกลูกว่า พ่อของเขาตายอย่างมีเกียรติเพียงไร แล้วส่งให้พี่เลี้ยง ถ้าเขาตายให้ส่งต่อให้ลูก แต่ถ้าเขารอด ฉีกจดหมายทิ้งทันที

แต่เมื่อเขาได้เห็น ฮ.ที่ใช้ในปฏิบัติการณ์ เขาถึงกับหัวเราะก๊าก

"เราไม่ตายแล้ว" เพราะที่จอดอยู่ตรงนั้น คือ สเตลท์ฮ. รุ่นใหม่ล่าสุด (Silence Blackhwak ที่ยังไม่มีการระบุรุ่นที่ชัดเจน) พวกเขาจะลอบเข้าปากีสถานเหมือนเงามืด ไม่ได้ดุ่มๆ ทะเล่อทะล่า เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แบบที่คิดไว้ตอนแรก

วันนั้น The Shooter ไปดูหนังเรื่อง Zero Dark Thirty พร้อมกับครอบครัว แค่ตอนเปิดเรื่องมา เขาก็ฮาลั่นโรงซะแล้ว เขาบอกว่า ในหนังทั้งจับมัดจับลาก ทรมานกันขี้แทบแตกเกือบทั้งเรื่อง แถมตอนต้นยังขึ้นข้อความว่า "จากบุคคลในเหตุการณ์จริงอีกแน่ะ"

เขาบอกว่า หนังสนุก แต่มีจุดไม่สมจริงอยู่เยอะ อย่างแรกเลยคือ เราไม่คุยกันบนเครื่องบินตอนไปทำภารกิจหรอกนะ หรือ ตอนทำภารกิจ ไม่มีใครบอกว่า "ลุย!" หรอก เราแค่ชูกำปั้น ยกมือ เคาะหมวก ทุกคนพร้อมสำหรับสัญญาณอยู่แล้ว ที่สำคัญ ในหนังแมร่งคุยกันเยอะเกินไป เป็นเรื่องจริง คงเจอยิงตายก่อน แต่เขาเข้าใจเรื่อง "การใส่สีตีใข่" ตามประสาหนังฮอลลีวูด นะ
(ฉากที่ซีลพูดว่า ลุย! เขาถึงกับโพล่งออกมาลั่นโรง พับผ่าสิ หุบปากเถอะ!)

The Shooter ยังบอกอีกว่า หนังยืดเวลาในภารกิจนานเกินไป และ ไม่มีใครเรียกชื่อบินลาเดนระหว่างทำภารกิจ นับเวลาจากที่เราเห็นหน้าเขา และ บุกเข้าไปยิงเขา มันแค่ 15 วินาทีเท่านั้น มันรวดเร็วมาก และเขายังบอกอีกว่า หนังทำตัว CIA สาวออกมาได้สมจริง เธอดูแกร่ง เพราะตัวจริงเธอก็แกร่งแบบนั้นจริงๆ นอกนั้นเขาไม่ได้พูดถึงสาระสำคัญอื่นๆในหนังอีก

เพียงเรื่องเดียวที่ทำให้ The Shooter สะเทือนใจ และ เขาเงียบไปทันที คือ ฉากการตายของเจ้าหน้าที่ CIA เจนนิเฟอร์ ที่ถูกระเบิดพลีชีพ ในฐานทัพลับในอัฟกานิสถาน เพราะ The Shooter รู้จักทหารรับจ้างคนที่ตายในภารกิจนั้น ...

งานศพของอดัม บราวน์ ซีลที่ตายในภารกิจเมื่อปี 2010 ซีลกลุ่มใหญ่ไปงานศพของเขา ลูกๆขอเขาร้องไห้ บอกว่าเสียพ่อไปแล้ว แต่เหล่าทหารซีลกว่า 20 คนบอกเธอไปว่า เธอเสียพ่อไป 1 คน แต่ได้พ่อกลับมาอีก 20 คนนะ" (อดัม บราวน์ไม่ใช่ทหารที่ตายในภารกิจระเบิดพลีชีพ)

ปีต่อมา ทหารเกือบทั้งกลุ่มตายในภารกิจ

นั่นอาจจะเป็นอีกเหตุผลที่ The Shooter ตัดสินใจลาออก เขารับความสูญเสียเป็นว่าเล่นนี้ไม่ไหวอีกต่อไป

Phil Bronstein ผู้สัมภาษณ์ที่ไปนั่งดูหนัง Zero Dark Thirty พร้อมๆกับ The Shooter บอกว่า คำที่ก้องอยู่ในหัวเขาหลังจากดูหนัง Zero Dark Thirty เสร็จ คือประโยคที่หัวหน้าค่าย CIA เตือนมายาเรื่องการแก้แค้นของกลุ่ม จิฮาด

"ลองได้ขึ้นบัญชีพวกมัน ก็ไม่มีทางลบออก"






นี่เป็นการเรียบเรียงใหม่ ของเราเอง แบบที่ตัดข้อมูลออกไปค่อนข้างมาก บทความนี้น่าสนใจตรงที่ ตัว The Shooter ไม่ได้ออกมาขายข้อมูลภารกิจแบบที่เราเคยเห็น และดูเหมือนเขาจะไม่เคยให้สัมภาษณ์ที่ไหนเลยด้วย (เพราะกว่าตัว ฟิล บรอนสเตนจะต้อนเขาให้ออกมาสัมภาษณ์ได้ก็นานพอดู)

แต่เหมือนออกมาเรียกร้องสิทธิ์สำหรับทหารปลดประจำการที่ถูกทอดทิ้งมากกว่า แม้จะมีเรื่องในภารกิจที่ถูกเรียบเรียงใส่มาในบทสัมภาษณ์อย่างต่อเนื่อง แต่ก็มักโยงไปเรื่องการใช้ชีวิตแบบพลเรือนแทบทิ้งสิ้น ซึ่งเป็นบทสัมภาษณ์ในอีกแง่มุมที่ดีมากๆึค่ะ และบทสัมภาษณ์ยาวมาก สำนวนสนุกสุดๆ ฟิล บรอนสเตน เก่งมากๆ!


**แก้ไขข้อความที่ผิดแล้วนะคะ



อ่านบทสัมภาษณ์เต็มๆ แบบภาษาอังกฤษที่นี่ค่ะ
http://www.esquire.com/features/man-who-shot-osama-bin-laden-0313

ส่วนแบบแปลไทยเต็มๆ หาอ่านได้จากนิตยสาร Esquire ฉบับเดือนเมษา 2556 ได้เลยค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่