ขอบคุณทุกๆ ท่านมากที่ช่วยสรุปข้อมูลจาก AGM นะครับ และก็ยินดีที่ได้รู้จักทุกๆ คนเลยครับ และก็ขอยืนยันอีกเสียงว่าพี่ชัช Lecture ได้เทพมากๆ ครับ และที่ผมได้ข้อมูลเชิงลึกของ PT ก็ได้ความช่วยเหลือจากพี่ชัชคนนี้ล่ะครับ :bow: :bow: :bow:
วันนี้รีบปั่นงานเกือบเสร็จล่ะ ขอแบ่งเวลามาให้กิจการของตัวเองบ้างดีกว่า :mrgreen:
จริงๆ หลายๆ ท่านก็สรุปได้ครบแล้ว ผมขออนุญาตเสริม บวกกับความเห็นส่วนตัวดังนี้ครับ
คำถามที่ผมถามในที่ประชุมนั้น บางคำถามผมต้องการให้ ผบห พูดออกสื่อ เพื่อย้ำความเข้าใจว่าสิ่งที่ผมได้โพสต์ในห้องนี้ใกล้เคียงกับข้อเท็จจริงของบริษัทที่ทาง ผบห เปิดเผยมากที่สุด ซึ่งสิ่งที่ตรงกันคือ
1. 3G จะทำให้เกิดธุรกิจเกี่ยวเนื่องตามมามากมาย ซึ่งทั้ง Operators และธุรกิจใหม่ๆ นั้นต้องมีการลงทุนด้าน IT รองรับ เช่น Server และ Security เพื่อรองรับปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นมหาศาล รวมถึง Digital TV ที่กำลังจะเกิดขึ้น ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้ปริมาณข้อมูลเพิ่มสูงขึ้นในอัตราเร่ง
2. นอกจากการลงทุนใหม่ดังกล่าวแล้ว งานด้าน On Premise จะมาจากการ Upgrade หรือ Replace อุปกรณ์ตามอายุการใช้งาน ซึ่งโดยเฉลี่ยมีอายุประมาณ 3 ปี ซึ่งที่ผ่านมาลูกค้าที่เคยสั่งซื้อจาก DCS ก็มีจะสั่งซื้ออย่างต่อเนื่องในทุกๆ รอบการลงทุน
3. ปัจุบัน DCS ให้บริการลูกค้ากว่า 1,000 ราย ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงในด้านความผันผวนของรายได้ที่เกิดจากรอบการซื้ออุปกรณ์ 3 ปี ครั้ง (ลูกค้าแต่ละรายมีรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ไม่ตรงกัน)
4. พื้นที่ Data Center ใน Phase 1 มีการใช้งานแล้ว 34 Racks เหลือว่างอยู่ 30 Racks อันนี้ใกล้เคียงกับที่ผมได้ข้อมูลมา ซึ่ง 30 Racks ที่ว่างอยู่นี้มาจากการเพิ่ม Rack ในพื้นที่ของ Phase 1 ที่ผมเคยโพสต์ก่อนหน้านี้ ซึ่งสูงกว่าที่ผมคาดไว้ว่าจะสามารถเพิ่มได้อีกเพียง 19 Racks :mrgreen:
5. Cloud Service โดยเฉพาะ D-Work ปัจจุบันมี User 10,000 คน ผมชอบตรงที่ ผบห. ให้ข้อมูลว่าการเติบโตของรายได้จาก D-Work จะมาจาก 2 มิติ คือ User เพิ่ม และ Module เพิ่ม ความหมายคือ D-Work จะเก็บค่าบริการตามการใช้งานจริง คิดเป็น xx บาทต่อหัวต่อเดือน ซึ่งราคาจะขึ้นกับจำนวน Module ที่เลือกใช้ ซึ่งผมคาดว่าช่วงปีที่ผ่านมาลูกค้าส่วนมากน่าจะเป็นกลุ่มทดลองใช้ ดังนั้นน่าจะใช้แค่ Standard Module ซึ่งหลังจากใช้แล้วมั่นใจในระบบมากขึ้นบวกกับติดใจใช้แล้วเลิกยากก็ยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อเพิ่ม Module หรือฟังก์ชั่น ในการใช้งานเพิ่มขึ้น ซึ่งน่าเสียดายมากที่ ผบห ไม่เปิดเผยข้อมูลว่า Standard Module ราคาต่อหัวต่อเดือน เป็นเท่าไหร่ และบวกเพิ่มอีกเท่าไหร่สำหรับแต่ละ Module ที่ใช้บริการเพิ่มขึ้น
สิ่งที่ไม่ตรงคือ กำไรจากการตั้ง DTA 6 ล้านบาท จะวิ่งเข้ากำไรสะสมเลย ไม่บันทึกเข้่างบกำไรขาดทุน :'O แต่น่าจะได้ FX Gain มาชดเชยเนื่องจากสินค้าที่สั่งซื้อเข้ามาเป็นสกุล USD แต่มีกำหนดชำระประมาณ 3 เดือน ซึ่งตั้งแต่ต้นปีเงินบาทแข็งค่าประมาณ 6% ถ้าประมาณการชำระแบบ FIFO เร็วๆ จะได้ว่า Inventory 440 ล้านบาทมี FX Gain 440 * (6% / 2) ~ 13 ลัานบาท (ประมาณแบบคร่าวๆ นะครับ)
Key Analysis ที่ได้จากการประชุม
1. ถ้ามีการใช้งาน Data Center เต็มทั้ง 2 Phase ผมลองประมาณรายได้ในส่วนของ Recurring น่าจะอยู่ที่ประมาณ 900 ล้านบาทต่อปี (ยังไม่รวมในส่วนของ D-Work) หรือมีรายได้ส่วนเพิ่มประมาณ 350 ล้านบาทต่อปี ถ้าให้ GPM 42% จะได้ว่า GP ส่วนเพิ่มหลังหักภาษีที่จะวิ่งเข้า NP เลยประมาณ 110 ล้านบาท
2. ถ้า D-Work สามารถเพิ่ม User ได้ถึง 100,000 คน (ซึ่งผมมองว่าเป็นไปได้โดยประเมินจากข้อมูลสำนักงานสถิติที่ระบุว่าประเทศไทยมีจำนวนพนักงาน Office ประมาณ 10 ล้านคน ดังนั้น 1 แสนคน หรือ 1% ของตลาดไม่น่าจะเกินความสามารถของ DCS ในการทำตลาด D-Work) โดยตั้งสมมติฐานว่า Q4/55 มีรายได้ D-Work จาก User 10,000 ราย ตลอดไตรมาส และรายได้จาก D-Work ประมาณ 2% ของ Recurring จะได้ว่ารายได้จาก D-Work ที่ 100,000 ราย ประมาณ 120 ล้านบาทต่อปี ซึ่งผมเข้าใจว่ารายได้ส่วนนี้แทบจะไม่มีต้นทุนขายเลย เนื่องจากใช้โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมาเอง โดยผมคาดว่า GPM น่าจะประมาณ 80% จะได้ว่า GP ส่วนเพิ่มหลังหักภาษีที่จะวิ่งเข้า NP เลยประมาณ 77 ล้านบาท
3. ถ้าคิดแบบ Worst case คือให้รายได้จาก On Premise ไม่โตเลย และงาน Professional Service อื่นๆ รวมถึงงาน Digital Content เท่ากับปี 55 ซึ่งมี NP ประมาณ 73 ล้านบาท จะได้ Target NP ขั้นต่ำปีละประมาณ 260 ล้านบาท หรือประมาณ 1.83 บาทต่อหุ้น ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นไปได้ในอีกไม่เกิน 3 ปีข้างหน้าครับ
4. ถ้าคิดโดยให้ On Premise โต 15% ต่อปี ตามที่ ผบห ประมาณการ จะได้ว่าอีก 3 ปีข้างหน้า รายได้จาก On Premise จะประมาณ 2,200 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 700 ล้านบาท ซึ่งถ้าให้ GPM 18% โดยมีค่าใช้จ่ายในการขายอีก 10% จะได้ว่า GP ส่วนเพิ่มหลังหักภาษีที่จะวิ่งเข้า NP เลยประมาณ 45 ล้านบาท ดังนั้นจะได้ NP ในอีก 3 ปีข้างหน้าประมาณ 305 ล้านบาท หรือประมาณ 2.15 บาท
อันนี้เป็นวิธีประมาณการคร่าวๆ โดยใช้วิธีคิดแบบส่วนเพิ่ม เพื่อให้เห็นภาพนะครับ เผื่อใครอยากนำไปปรับใช้ และกำหนดสมมติฐานที่เหมาะสมของแต่ละคนต่อไปครับ
สุดท้ายต้องขอขอบคุณ ผบห และกรรมการทุกท่านโดยเฉพาะคุณหะริน และ คุณวิเชียร สำหรับข้อมูลดีๆ ตลอดการประชุม AGM ครั้งนี้ด้วยครับ
ตอนแรกว่าจะเขียนแป็บเดียวแต่สุดท้ายติดพัน ลากยาวมา 3 ชั่วโมง พรุ่งนี้ไปหลับในที่ประชุมอีกแล้ว :oops:
growth ขนาดนี้ pe น่าจะ 20-25 เท่าไปเลยเท่ากับ symc หรือ inet
หุ้น upside สูงที่ยังไม่ขึ้น pt ก๊อปจาก thaivi มาครับ
วันนี้รีบปั่นงานเกือบเสร็จล่ะ ขอแบ่งเวลามาให้กิจการของตัวเองบ้างดีกว่า :mrgreen:
จริงๆ หลายๆ ท่านก็สรุปได้ครบแล้ว ผมขออนุญาตเสริม บวกกับความเห็นส่วนตัวดังนี้ครับ
คำถามที่ผมถามในที่ประชุมนั้น บางคำถามผมต้องการให้ ผบห พูดออกสื่อ เพื่อย้ำความเข้าใจว่าสิ่งที่ผมได้โพสต์ในห้องนี้ใกล้เคียงกับข้อเท็จจริงของบริษัทที่ทาง ผบห เปิดเผยมากที่สุด ซึ่งสิ่งที่ตรงกันคือ
1. 3G จะทำให้เกิดธุรกิจเกี่ยวเนื่องตามมามากมาย ซึ่งทั้ง Operators และธุรกิจใหม่ๆ นั้นต้องมีการลงทุนด้าน IT รองรับ เช่น Server และ Security เพื่อรองรับปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นมหาศาล รวมถึง Digital TV ที่กำลังจะเกิดขึ้น ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้ปริมาณข้อมูลเพิ่มสูงขึ้นในอัตราเร่ง
2. นอกจากการลงทุนใหม่ดังกล่าวแล้ว งานด้าน On Premise จะมาจากการ Upgrade หรือ Replace อุปกรณ์ตามอายุการใช้งาน ซึ่งโดยเฉลี่ยมีอายุประมาณ 3 ปี ซึ่งที่ผ่านมาลูกค้าที่เคยสั่งซื้อจาก DCS ก็มีจะสั่งซื้ออย่างต่อเนื่องในทุกๆ รอบการลงทุน
3. ปัจุบัน DCS ให้บริการลูกค้ากว่า 1,000 ราย ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงในด้านความผันผวนของรายได้ที่เกิดจากรอบการซื้ออุปกรณ์ 3 ปี ครั้ง (ลูกค้าแต่ละรายมีรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ไม่ตรงกัน)
4. พื้นที่ Data Center ใน Phase 1 มีการใช้งานแล้ว 34 Racks เหลือว่างอยู่ 30 Racks อันนี้ใกล้เคียงกับที่ผมได้ข้อมูลมา ซึ่ง 30 Racks ที่ว่างอยู่นี้มาจากการเพิ่ม Rack ในพื้นที่ของ Phase 1 ที่ผมเคยโพสต์ก่อนหน้านี้ ซึ่งสูงกว่าที่ผมคาดไว้ว่าจะสามารถเพิ่มได้อีกเพียง 19 Racks :mrgreen:
5. Cloud Service โดยเฉพาะ D-Work ปัจจุบันมี User 10,000 คน ผมชอบตรงที่ ผบห. ให้ข้อมูลว่าการเติบโตของรายได้จาก D-Work จะมาจาก 2 มิติ คือ User เพิ่ม และ Module เพิ่ม ความหมายคือ D-Work จะเก็บค่าบริการตามการใช้งานจริง คิดเป็น xx บาทต่อหัวต่อเดือน ซึ่งราคาจะขึ้นกับจำนวน Module ที่เลือกใช้ ซึ่งผมคาดว่าช่วงปีที่ผ่านมาลูกค้าส่วนมากน่าจะเป็นกลุ่มทดลองใช้ ดังนั้นน่าจะใช้แค่ Standard Module ซึ่งหลังจากใช้แล้วมั่นใจในระบบมากขึ้นบวกกับติดใจใช้แล้วเลิกยากก็ยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อเพิ่ม Module หรือฟังก์ชั่น ในการใช้งานเพิ่มขึ้น ซึ่งน่าเสียดายมากที่ ผบห ไม่เปิดเผยข้อมูลว่า Standard Module ราคาต่อหัวต่อเดือน เป็นเท่าไหร่ และบวกเพิ่มอีกเท่าไหร่สำหรับแต่ละ Module ที่ใช้บริการเพิ่มขึ้น
สิ่งที่ไม่ตรงคือ กำไรจากการตั้ง DTA 6 ล้านบาท จะวิ่งเข้ากำไรสะสมเลย ไม่บันทึกเข้่างบกำไรขาดทุน :'O แต่น่าจะได้ FX Gain มาชดเชยเนื่องจากสินค้าที่สั่งซื้อเข้ามาเป็นสกุล USD แต่มีกำหนดชำระประมาณ 3 เดือน ซึ่งตั้งแต่ต้นปีเงินบาทแข็งค่าประมาณ 6% ถ้าประมาณการชำระแบบ FIFO เร็วๆ จะได้ว่า Inventory 440 ล้านบาทมี FX Gain 440 * (6% / 2) ~ 13 ลัานบาท (ประมาณแบบคร่าวๆ นะครับ)
Key Analysis ที่ได้จากการประชุม
1. ถ้ามีการใช้งาน Data Center เต็มทั้ง 2 Phase ผมลองประมาณรายได้ในส่วนของ Recurring น่าจะอยู่ที่ประมาณ 900 ล้านบาทต่อปี (ยังไม่รวมในส่วนของ D-Work) หรือมีรายได้ส่วนเพิ่มประมาณ 350 ล้านบาทต่อปี ถ้าให้ GPM 42% จะได้ว่า GP ส่วนเพิ่มหลังหักภาษีที่จะวิ่งเข้า NP เลยประมาณ 110 ล้านบาท
2. ถ้า D-Work สามารถเพิ่ม User ได้ถึง 100,000 คน (ซึ่งผมมองว่าเป็นไปได้โดยประเมินจากข้อมูลสำนักงานสถิติที่ระบุว่าประเทศไทยมีจำนวนพนักงาน Office ประมาณ 10 ล้านคน ดังนั้น 1 แสนคน หรือ 1% ของตลาดไม่น่าจะเกินความสามารถของ DCS ในการทำตลาด D-Work) โดยตั้งสมมติฐานว่า Q4/55 มีรายได้ D-Work จาก User 10,000 ราย ตลอดไตรมาส และรายได้จาก D-Work ประมาณ 2% ของ Recurring จะได้ว่ารายได้จาก D-Work ที่ 100,000 ราย ประมาณ 120 ล้านบาทต่อปี ซึ่งผมเข้าใจว่ารายได้ส่วนนี้แทบจะไม่มีต้นทุนขายเลย เนื่องจากใช้โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมาเอง โดยผมคาดว่า GPM น่าจะประมาณ 80% จะได้ว่า GP ส่วนเพิ่มหลังหักภาษีที่จะวิ่งเข้า NP เลยประมาณ 77 ล้านบาท
3. ถ้าคิดแบบ Worst case คือให้รายได้จาก On Premise ไม่โตเลย และงาน Professional Service อื่นๆ รวมถึงงาน Digital Content เท่ากับปี 55 ซึ่งมี NP ประมาณ 73 ล้านบาท จะได้ Target NP ขั้นต่ำปีละประมาณ 260 ล้านบาท หรือประมาณ 1.83 บาทต่อหุ้น ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นไปได้ในอีกไม่เกิน 3 ปีข้างหน้าครับ
4. ถ้าคิดโดยให้ On Premise โต 15% ต่อปี ตามที่ ผบห ประมาณการ จะได้ว่าอีก 3 ปีข้างหน้า รายได้จาก On Premise จะประมาณ 2,200 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 700 ล้านบาท ซึ่งถ้าให้ GPM 18% โดยมีค่าใช้จ่ายในการขายอีก 10% จะได้ว่า GP ส่วนเพิ่มหลังหักภาษีที่จะวิ่งเข้า NP เลยประมาณ 45 ล้านบาท ดังนั้นจะได้ NP ในอีก 3 ปีข้างหน้าประมาณ 305 ล้านบาท หรือประมาณ 2.15 บาท
อันนี้เป็นวิธีประมาณการคร่าวๆ โดยใช้วิธีคิดแบบส่วนเพิ่ม เพื่อให้เห็นภาพนะครับ เผื่อใครอยากนำไปปรับใช้ และกำหนดสมมติฐานที่เหมาะสมของแต่ละคนต่อไปครับ
สุดท้ายต้องขอขอบคุณ ผบห และกรรมการทุกท่านโดยเฉพาะคุณหะริน และ คุณวิเชียร สำหรับข้อมูลดีๆ ตลอดการประชุม AGM ครั้งนี้ด้วยครับ
ตอนแรกว่าจะเขียนแป็บเดียวแต่สุดท้ายติดพัน ลากยาวมา 3 ชั่วโมง พรุ่งนี้ไปหลับในที่ประชุมอีกแล้ว :oops:
growth ขนาดนี้ pe น่าจะ 20-25 เท่าไปเลยเท่ากับ symc หรือ inet