พามารู้จักกับ บุคคล ที่น่าทึ่งคนนึงครับ เขาคือ ฮานนิบาล

เป็นยังไงก็อ่าน ติดตาม กันได้เลยครับ
สถานการณ์เดิม . . .
. . . อำนาจของกรุงโรมโดดเด่นขึ้นในคาบสมุทรอิตาลี ในขณะที่คาร์เธจก็มีอำนาจมากที่สุดในอัฟริกา โดยเมืองซีย์ราคูส (กรีก) คุมเกาะซิซีลี อยู่กลาง
คาร์เธจอาจจะสบายใจว่า เมื่อโรมมีอำนาจเป็นใหญ่ในคาบสมุทรอิตาลี คงจะเป็นมิตรกับตนตามที่ชาวเอตรุสกันดำเนินมาแล้ว แต่ในความเป็นจริงของโลกนั้น เมื่ออาณาจักรโรมันเติบโตแข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่อาณาจักรกรีกเริ่มเสื่อมถอย
ดังนั้น อาณาจักรโรมันจึงเป็นคู่แข่งกับคาร์เธจ โดยธรรมชาติ
พลูตาร์ค (Plutarch - Lucius Mestrius Plutarchus) นักประวัติศาสตร์โบราณ ได้เล่าว่า พระเจ้าไพร์รัสได้ทรงทำนายไว้ก่อนที่จะถอนทัพกลับสู่ดินแดนของพระองค์ว่า
"เราจะทิ้งสมรภูมิอันงามไว้ให้กรุงโรมและกรุงคาร์เธจได้ต่อสู้กันต่อไปภายหน้า"
สถานการณ์ต่อไป . . .
สภาพทั่วๆ ไป ก่อนเกิดสงครามปิวนิค
กรุงคาร์เธจ
มีฐานะทางการเงินมั่นคงที่สุด และเป็นเมืองที่ใหญ่โตที่สุด เส้นรอบวงเมืองยาวประมาณ ๓๕ กิโลเมตร กำแพงเมืองสูง ๑๕ เมตร หนา ๒๕ เมตร ภายในกำแพง เป็นที่อยู่ได้ ของช้าง ๓๐๐ ม้า ๔๐๐ ทหารราบ ๒๐,๐๐๐ และเป็นคลังเก็บรักษาอาวุธยุทธภัณฑ์ และเสบียงอาหาร บนกำแพงมีป้อมอยู่มาก แต่ละป้อมสูง ๔ ชั้น ภายนอกกำแพง เป็นที่ลุ่ม และคูน้ำกว้าง ประมาณ ๑๘๕ เมตร มีหลักฐานว่าคาร์เธจเจริญในทางวิศวกรรมถึงขนาดมีตึกถึง ๖ ชั้นได้
ดินแดนของคาร์เธจเวลานั้นมีดังนี้ อาฟริกาตอนเหนือกับทางตะวันออก จดฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติค ภาคใต้ของสเปน เกาะต่างๆ ในทะเลเมดิเตอเรเนียน ภาคตะวันตกของเกาะซิซีลี
แต่โดยที่ชาวคาร์เธจส่วนมาก ชอบประกอบธุรกิจ ทำมาค้าขาย หรือทำนาทำสวน ไม่นิยมเป็นนักรบ ดังนั้น กองทัพทั้งทางบก และทางเรือ จึงใช้พลทหารจ้างเป็นส่วนมาก กองทหารที่เป็นชาวคาร์เธจมีอยู่หน่วยเดียวคือกองทหารรักษาคัวแม่ทัพ ซึ่งเป็นทหารราบ ๑,๕๐๐ และทหารม้า ๑,๐๐๐ ส่วนกองทหารจ้างนั้นก็ใช้ชาวคาร์เธจเป็นนายทหาร ส่วนกองเรือ ของคาร์เธจนั้น ว่ากันว่ามีเรือรบถึง ๕๐๐ ลำ มากกว่ากองเรือของทุกชาติรวมกันเสียอีก และยังมีอู่ และท่าเรืออย่างดี และเพียงพอด้วย
กรุงโรม
เกิดขึ้นไล่เลี่ยกับกรุงคาร์เธจ ในดินแดนของชาวลาติอุม เวลานั้นยังอยู่ในฐานะเป็นพวกเพาะปลูก ไม่เจริญในทางการค้าขายเช่นชาวคาร์เธจ ราษฎรรักกรุงโรมและรักชาติ อย่างแน่วแน่ จิตใจกล้าหาญ พร้อมที่จะทำการสงครามเพือ่ช่วยชาติ กล่าวได้ว่า ไม่มีชาติใดที่เหมาะแก่การทำสงครามเท่าชาวโรมัน ทหารของโรมเป็นชาวโรมันแท้ๆ ทั้งนาย และพล กองทัพโรมันมีทหารที่เป็นพลเมืองเองซึ่งพร้อมไปด้วยความกล้าหาญ และความแคล่วคล่องว่องไวในการสงคราม ทั้งเต็มไปด้วยความรักชาติบ้านเมือง มียุทธวินัยเคร่งครัด
.........

อาณาจักรคาร์เธจ และ อาณาจักรโรมัน
สงครามปิวนิค (ครั้งที่ ๑) พ.ศ.๒๗๙ - ๓๐๒ หรือ ๒๖๔ – ๒๔๑ ปี ก่อนคริสตศักราช
ในสงครามปิวนิค ครั้งที่ ๑ มีทั้งการรบทางบก และทางทะเลหลาบครั้ง ในทางยุทธศิลปะ ไม่ถือว่าการรบทางบก ครั้งใดที่จะนับเอามาศึกษากันเป็นพิเศษ แต่ในการบทางทะเล ก็ได้มีเกิดนวัตกรรมขึ้นใช้ในการรบ ไหนๆ ก็ว่ากันมาถึงนี่แล้ว ก็ลองดูสงครามปิวนิค ครั้งที่ ๑ กันเสียหน่อย . . . นะครับ
คาร์เธจ เวลานั้นมีอำนาจอยู่ใน อาฟริกาตอนเหนือและตะวันออกจนจดฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติค ภาคใต้ของสเปน เกาะต่างๆ ในทะเลเมดิเตอเรเนียน ได้แก่ หมู่เกาะบาเลียลิค (Balearic Islands) เกาะซาร์ดีเนีย ภาคตะวันตกของเกาะซิซีลี
โรม นั้น มีอำนาจเพียงตอนกลางของคาบสมุทรอิตาลี จึงเกรงว่าคาร์เธจจะเป็นพันธมิตรกับกรีก แผ่อำนาจเข้ามาในเกาะซิซีลีมากขึ้นจนถึงระดับที่เป็นภัยคุกคามต่อกรุงโรม ดังนั้น โรมันก็หันไปสนใจเกาะซิซีลี เกาะใหญ่ซึ่งกรีก และคาร์เธจแบ่งกันยึดครอง เมื่อคาร์เธจเริ่มแผ่อิทธิพลเข้าไปใน เมืองเมสซินา (Messina - Messana ในแผนที่) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะซิซีลี และ เมืองเรกิอุม (Rhegium) ทางตะวันตกเฉียงใต้บนปลายคาบสมุทรอิตาลี ซึ่งเป็นเมืองกรีก จึงเป็นภาวะที่ทางกรุงโรมยอมไม่ได้
ปฐมเหตุในเกาะซิซีลี คือ โรมันได้รับคำร้องขอจากเมืองเมสสินา ให้ช่วยเหลือ เหตุที่โรมันรับเป็นธุระ เนื่องจากจะได้ถือเป็นโอกาสผลักดันคาร์เธจออกไปจากเกาะซิซีลี
โรมันส่งทหารกองแรกเข้าไปในเกาะซิซีลี ใน พ.ศ.๒๗๙ หรือ ๒๖๔ ปี ก่อนคริสตศักราช
ขั้นแรก ยึดเมืองอะกริเจนตุม
การรบหลักครั้งแรกในสงครามปิวนิค ครั้งที่ ๑ คือการยึดเมืองอะกริเจนตุม (Agrigentum) ซึ่งเป็นเมืองกรีกทางใต้ของเกาะซิซีลี ฝ่ายโรมันใช้เวลาล้อมเมืองอยู่ ๖ เดือน ก็ยึดเมืองอะกริเจนตุมได้ การพิชิตเมืองอะกริเจนตุมนี้ เป็นการขัดขวางการรุกของคาร์เธจบนเกาะซิซีลี
การเคลื่อนไหวก้าวต่อไปของโรมัน เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การทหาร
ฝ่ายโรมันแสวงหาชัยชนะบนเกาะซิซีลี แต่ต้องการอำนาจทางเรือเพื่อเผชิญกับกำลังทางเรือของคาร์เธจ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยมีการสร้างเรือ และประสบการณ์ในการเดินเรือมาก่อน โรมันได้นำเรือคาร์เธจที่ยึดได้มาลอกแบบ และในสองเดือนต่อมา กรุงโรมสร้าง เรือ quinquereme ๑๐๐ ลำ และ trireme ๒๕ ลำ โรมันสร้างเรือจำลองขึ้นบนบก เพื่อฝึกฝีพาย และลูกเรือ ทั้งยังได้ประดิษฐ์ทางลาดเคลื่อนที่ได้ (corvus) ซึ่งสามารถพาดเกี่ยวเข้ากับเรือข้าศึกให้ทหารลงไปต่อสู้ประชิดตัวกับข้าศึก ซึ่งทหารโรมันทำได้ยอดเยี่ยม
Polybius นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกเขียนไว้ว่า กรุงโรมใช้เรือ quinquereme อัปปางของคาร์เธจที่ยึดได้ที่เมืองเมสสินาเป็นต้นแบบ มิเช่นนั้น โรมันก็จะไม่มีจุดเริ่มในการออกแบบ
อย่างไรก็ตาม อาจจะเป็นการกล่าวเกินจริงว่า โรมันได้ขอยืม เรือ quinquereme ของกรีก มาก่อนตั้งแต่ พ.ศ.๒๗๙ หรือ ๒๖๔ ปี ก่อนคริสตศักราช
กเนอุส คอร์เนเลียส สคิปิโอ (Gnaeus Cornelius Scipio) เป็นผู้บัญชาการกองเรือกองแรกของโรมันครั้งนี้ โดยมีเรือในบังคับบัญชา ๑๗ ลำ มุ่งหน้าไปยังเมสซินา

Quinquereme
การรบที่เกาะลิพารี (Battle of Lipari) พ.ศ.๒๘๓ หรือ ๒๖๐ ปี ก่อนคริสตศักราช เป็นสงครามทางเรือครั้งแรก ที่นอกเกาะลิพารี
ขณะที่กองเรือโรมันอยู่ในช่องแคบ ก็ได้ข่าวว่า ทหารคาร์เธจ ที่ลิพาร่า (Lipara) กำลังจะยอมแปรพักตร์มาเข้าด้วย สคิปิโอจึงนำกองเรือเข้าสู่ท่าเรือเมืองลิพาร่า โดยไม่ได้เตรียมรบ
แต่กองเรือของคาร์เธจ ของ ฮานนิบาล กิสโค (Hannibal Gisco) ซึ่งมีเรือประมาณ ๒๐ ลำ กำลังซุ่มรอจังหวะที่จะปิดล้อมอยู่นอกอ่าว เมื่อกองเรือของโรมันทั้งหมดเข้าไปในอ่าว ลิพาร่าแล้ว กองเรือคาร์เธจก็เข้าปิดล้อมทันที
ฝ่ายโรมันไม่ทันตั้งตัว ไม่มีประสบการณ์การรบทางทะเล และไม่ได้เตรียมรบ เมื่อถูกกองเรือคาร์เธจปิดล้อมจึงต้องเสียเรือไปทั้ง ๑๗ ลำ และยอมแพ้ ตัวสคิปิโอเองถูกจับตัวได้
การรบที่เกาะมีย์เล (The Battle of Mylae) พ.ศ.๒๘๓ หรือ ๒๖๐ ปี ก่อนคริสตศักราช (present-day Milazzo)
เป็นการรบทางทะเลอย่างแท้จริง และการรบครั้งนี้เป็นนัยสำคัญต่อชัยชนะของโรมัน
กองเรือคาร์เธจ ปะทะกับกองเรือโรมัน ทางเหนือเกาะมีย์เล โพลิบิอุสกล่าวว่า กองเรือคาร์เธจ ๑๓๐ ลำ แต่ไม่ได้กล่าวถึงจำนวนเรือฝ่ายโรมัน ซึ่งน่าจะเหลือ ๑๐๓ ลำ (มีเรือ ๑๒๐ ลำ เสียหายจากการรบที่เกาะลิพาริ จำนวน ๑๗ ลำ) แต่ก็เป็นไปได้ว่า โรมันอาจจะมีจำนวนเรือมากกว่านี้ เพราะมีเรือที่ยึดมาได้ และเรือจากพันธมิตร ฝ่ายคาร์เธจคาดหวังในชัยชนะ เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญในการรบทางทะเลสูงมาก และมีประสบการณ์ในการเดินเรือมา ๘๐๐ ปี แต่กองเรือโรมันซึ่งใช้นวัตกรรมคอร์วัส (ทางลาดเคลื่อนที่) ติดตั้งที่บริเวณหัวเรือทุกลำ เรือโรมันแล่นเข้าใกล้เรือคาร์เธจแล้วใช้ทางลาดเคลื่อนที่ได้นี้ พาด และเกี่ยวเข้าไป ทหารโรมันก็ใช้ทางลาดนี้ลงไปในเรือข้าศึก ใช้ความสามารถเฉพาะตัวที่สูงกว่าต่อสู้ได้ชัยชนะ และ ยึดเรือคาร์เธจ ฝ่ายโรมันยึดเรือคาร์เธจได้ ๓๑ ลำ และทำลายได้ ๑๓ ลำ และเพื่อหลีกเลี่ยงเจ้านวัตกรรม นี้ เรือคาร์เธจต้องปรับยุทธวิธีเสียใหม่ เป็นเดินเรือรอบเรือโรมัน และเข้าโจมตีทางด้านหลัง (ท้ายเรือ) หรือทางด้านข้าง
อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมของโรมันก็ยังทำงานได้ผล สามารถเกี่ยวเอาเรือคาร์เธจได้อีก ๒๐ ลำ จนกองเรือคาร์เธจต้องล่าถอย และแพ้อย่างเด็ดขาดในการสู้รบ
ฝ่ายกองเรือโรมัน แทนที่จะตามกองเรือคาร์เธจที่เหลือในทะเล กลับแล่นไปเกาะซิซีลี
นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ต่างแปลกใจที่แม่ทัพเรือโรมันไม่ตามทำลายกองเรือคาร์เธจเสียในทันทีทันใด แต่ว่ากองเรือคาร์เธจจำนวน ๘๐ ลำ ก็แข็งแรงเกินกว่าฝ่ายโรมันจะพิชิตได้ง่ายๆ
กงศุลโรมันสองคนคือ Gnaeus Cornelius Scipio Asina ควบคุมกองเรือ Gaius Duilius บังคับบัญชากำลังทางบก

Trireme
Triremes were the finest warships of their era.
นักรบเจ้าแห่ง ยุทธศาสตร์ ผู้ท้าทาย โรม
เป็นยังไงก็อ่าน ติดตาม กันได้เลยครับ
สถานการณ์เดิม . . .
. . . อำนาจของกรุงโรมโดดเด่นขึ้นในคาบสมุทรอิตาลี ในขณะที่คาร์เธจก็มีอำนาจมากที่สุดในอัฟริกา โดยเมืองซีย์ราคูส (กรีก) คุมเกาะซิซีลี อยู่กลาง
คาร์เธจอาจจะสบายใจว่า เมื่อโรมมีอำนาจเป็นใหญ่ในคาบสมุทรอิตาลี คงจะเป็นมิตรกับตนตามที่ชาวเอตรุสกันดำเนินมาแล้ว แต่ในความเป็นจริงของโลกนั้น เมื่ออาณาจักรโรมันเติบโตแข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่อาณาจักรกรีกเริ่มเสื่อมถอย
ดังนั้น อาณาจักรโรมันจึงเป็นคู่แข่งกับคาร์เธจ โดยธรรมชาติ
พลูตาร์ค (Plutarch - Lucius Mestrius Plutarchus) นักประวัติศาสตร์โบราณ ได้เล่าว่า พระเจ้าไพร์รัสได้ทรงทำนายไว้ก่อนที่จะถอนทัพกลับสู่ดินแดนของพระองค์ว่า
"เราจะทิ้งสมรภูมิอันงามไว้ให้กรุงโรมและกรุงคาร์เธจได้ต่อสู้กันต่อไปภายหน้า"
สถานการณ์ต่อไป . . .
สภาพทั่วๆ ไป ก่อนเกิดสงครามปิวนิค
กรุงคาร์เธจ
มีฐานะทางการเงินมั่นคงที่สุด และเป็นเมืองที่ใหญ่โตที่สุด เส้นรอบวงเมืองยาวประมาณ ๓๕ กิโลเมตร กำแพงเมืองสูง ๑๕ เมตร หนา ๒๕ เมตร ภายในกำแพง เป็นที่อยู่ได้ ของช้าง ๓๐๐ ม้า ๔๐๐ ทหารราบ ๒๐,๐๐๐ และเป็นคลังเก็บรักษาอาวุธยุทธภัณฑ์ และเสบียงอาหาร บนกำแพงมีป้อมอยู่มาก แต่ละป้อมสูง ๔ ชั้น ภายนอกกำแพง เป็นที่ลุ่ม และคูน้ำกว้าง ประมาณ ๑๘๕ เมตร มีหลักฐานว่าคาร์เธจเจริญในทางวิศวกรรมถึงขนาดมีตึกถึง ๖ ชั้นได้
ดินแดนของคาร์เธจเวลานั้นมีดังนี้ อาฟริกาตอนเหนือกับทางตะวันออก จดฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติค ภาคใต้ของสเปน เกาะต่างๆ ในทะเลเมดิเตอเรเนียน ภาคตะวันตกของเกาะซิซีลี
แต่โดยที่ชาวคาร์เธจส่วนมาก ชอบประกอบธุรกิจ ทำมาค้าขาย หรือทำนาทำสวน ไม่นิยมเป็นนักรบ ดังนั้น กองทัพทั้งทางบก และทางเรือ จึงใช้พลทหารจ้างเป็นส่วนมาก กองทหารที่เป็นชาวคาร์เธจมีอยู่หน่วยเดียวคือกองทหารรักษาคัวแม่ทัพ ซึ่งเป็นทหารราบ ๑,๕๐๐ และทหารม้า ๑,๐๐๐ ส่วนกองทหารจ้างนั้นก็ใช้ชาวคาร์เธจเป็นนายทหาร ส่วนกองเรือ ของคาร์เธจนั้น ว่ากันว่ามีเรือรบถึง ๕๐๐ ลำ มากกว่ากองเรือของทุกชาติรวมกันเสียอีก และยังมีอู่ และท่าเรืออย่างดี และเพียงพอด้วย
กรุงโรม
เกิดขึ้นไล่เลี่ยกับกรุงคาร์เธจ ในดินแดนของชาวลาติอุม เวลานั้นยังอยู่ในฐานะเป็นพวกเพาะปลูก ไม่เจริญในทางการค้าขายเช่นชาวคาร์เธจ ราษฎรรักกรุงโรมและรักชาติ อย่างแน่วแน่ จิตใจกล้าหาญ พร้อมที่จะทำการสงครามเพือ่ช่วยชาติ กล่าวได้ว่า ไม่มีชาติใดที่เหมาะแก่การทำสงครามเท่าชาวโรมัน ทหารของโรมเป็นชาวโรมันแท้ๆ ทั้งนาย และพล กองทัพโรมันมีทหารที่เป็นพลเมืองเองซึ่งพร้อมไปด้วยความกล้าหาญ และความแคล่วคล่องว่องไวในการสงคราม ทั้งเต็มไปด้วยความรักชาติบ้านเมือง มียุทธวินัยเคร่งครัด
.........
อาณาจักรคาร์เธจ และ อาณาจักรโรมัน
สงครามปิวนิค (ครั้งที่ ๑) พ.ศ.๒๗๙ - ๓๐๒ หรือ ๒๖๔ – ๒๔๑ ปี ก่อนคริสตศักราช
ในสงครามปิวนิค ครั้งที่ ๑ มีทั้งการรบทางบก และทางทะเลหลาบครั้ง ในทางยุทธศิลปะ ไม่ถือว่าการรบทางบก ครั้งใดที่จะนับเอามาศึกษากันเป็นพิเศษ แต่ในการบทางทะเล ก็ได้มีเกิดนวัตกรรมขึ้นใช้ในการรบ ไหนๆ ก็ว่ากันมาถึงนี่แล้ว ก็ลองดูสงครามปิวนิค ครั้งที่ ๑ กันเสียหน่อย . . . นะครับ
คาร์เธจ เวลานั้นมีอำนาจอยู่ใน อาฟริกาตอนเหนือและตะวันออกจนจดฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติค ภาคใต้ของสเปน เกาะต่างๆ ในทะเลเมดิเตอเรเนียน ได้แก่ หมู่เกาะบาเลียลิค (Balearic Islands) เกาะซาร์ดีเนีย ภาคตะวันตกของเกาะซิซีลี
โรม นั้น มีอำนาจเพียงตอนกลางของคาบสมุทรอิตาลี จึงเกรงว่าคาร์เธจจะเป็นพันธมิตรกับกรีก แผ่อำนาจเข้ามาในเกาะซิซีลีมากขึ้นจนถึงระดับที่เป็นภัยคุกคามต่อกรุงโรม ดังนั้น โรมันก็หันไปสนใจเกาะซิซีลี เกาะใหญ่ซึ่งกรีก และคาร์เธจแบ่งกันยึดครอง เมื่อคาร์เธจเริ่มแผ่อิทธิพลเข้าไปใน เมืองเมสซินา (Messina - Messana ในแผนที่) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะซิซีลี และ เมืองเรกิอุม (Rhegium) ทางตะวันตกเฉียงใต้บนปลายคาบสมุทรอิตาลี ซึ่งเป็นเมืองกรีก จึงเป็นภาวะที่ทางกรุงโรมยอมไม่ได้
ปฐมเหตุในเกาะซิซีลี คือ โรมันได้รับคำร้องขอจากเมืองเมสสินา ให้ช่วยเหลือ เหตุที่โรมันรับเป็นธุระ เนื่องจากจะได้ถือเป็นโอกาสผลักดันคาร์เธจออกไปจากเกาะซิซีลี
โรมันส่งทหารกองแรกเข้าไปในเกาะซิซีลี ใน พ.ศ.๒๗๙ หรือ ๒๖๔ ปี ก่อนคริสตศักราช
ขั้นแรก ยึดเมืองอะกริเจนตุม
การรบหลักครั้งแรกในสงครามปิวนิค ครั้งที่ ๑ คือการยึดเมืองอะกริเจนตุม (Agrigentum) ซึ่งเป็นเมืองกรีกทางใต้ของเกาะซิซีลี ฝ่ายโรมันใช้เวลาล้อมเมืองอยู่ ๖ เดือน ก็ยึดเมืองอะกริเจนตุมได้ การพิชิตเมืองอะกริเจนตุมนี้ เป็นการขัดขวางการรุกของคาร์เธจบนเกาะซิซีลี
การเคลื่อนไหวก้าวต่อไปของโรมัน เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การทหาร
ฝ่ายโรมันแสวงหาชัยชนะบนเกาะซิซีลี แต่ต้องการอำนาจทางเรือเพื่อเผชิญกับกำลังทางเรือของคาร์เธจ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยมีการสร้างเรือ และประสบการณ์ในการเดินเรือมาก่อน โรมันได้นำเรือคาร์เธจที่ยึดได้มาลอกแบบ และในสองเดือนต่อมา กรุงโรมสร้าง เรือ quinquereme ๑๐๐ ลำ และ trireme ๒๕ ลำ โรมันสร้างเรือจำลองขึ้นบนบก เพื่อฝึกฝีพาย และลูกเรือ ทั้งยังได้ประดิษฐ์ทางลาดเคลื่อนที่ได้ (corvus) ซึ่งสามารถพาดเกี่ยวเข้ากับเรือข้าศึกให้ทหารลงไปต่อสู้ประชิดตัวกับข้าศึก ซึ่งทหารโรมันทำได้ยอดเยี่ยม
Polybius นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกเขียนไว้ว่า กรุงโรมใช้เรือ quinquereme อัปปางของคาร์เธจที่ยึดได้ที่เมืองเมสสินาเป็นต้นแบบ มิเช่นนั้น โรมันก็จะไม่มีจุดเริ่มในการออกแบบ
อย่างไรก็ตาม อาจจะเป็นการกล่าวเกินจริงว่า โรมันได้ขอยืม เรือ quinquereme ของกรีก มาก่อนตั้งแต่ พ.ศ.๒๗๙ หรือ ๒๖๔ ปี ก่อนคริสตศักราช
กเนอุส คอร์เนเลียส สคิปิโอ (Gnaeus Cornelius Scipio) เป็นผู้บัญชาการกองเรือกองแรกของโรมันครั้งนี้ โดยมีเรือในบังคับบัญชา ๑๗ ลำ มุ่งหน้าไปยังเมสซินา
Quinquereme
การรบที่เกาะลิพารี (Battle of Lipari) พ.ศ.๒๘๓ หรือ ๒๖๐ ปี ก่อนคริสตศักราช เป็นสงครามทางเรือครั้งแรก ที่นอกเกาะลิพารี
ขณะที่กองเรือโรมันอยู่ในช่องแคบ ก็ได้ข่าวว่า ทหารคาร์เธจ ที่ลิพาร่า (Lipara) กำลังจะยอมแปรพักตร์มาเข้าด้วย สคิปิโอจึงนำกองเรือเข้าสู่ท่าเรือเมืองลิพาร่า โดยไม่ได้เตรียมรบ
แต่กองเรือของคาร์เธจ ของ ฮานนิบาล กิสโค (Hannibal Gisco) ซึ่งมีเรือประมาณ ๒๐ ลำ กำลังซุ่มรอจังหวะที่จะปิดล้อมอยู่นอกอ่าว เมื่อกองเรือของโรมันทั้งหมดเข้าไปในอ่าว ลิพาร่าแล้ว กองเรือคาร์เธจก็เข้าปิดล้อมทันที
ฝ่ายโรมันไม่ทันตั้งตัว ไม่มีประสบการณ์การรบทางทะเล และไม่ได้เตรียมรบ เมื่อถูกกองเรือคาร์เธจปิดล้อมจึงต้องเสียเรือไปทั้ง ๑๗ ลำ และยอมแพ้ ตัวสคิปิโอเองถูกจับตัวได้
การรบที่เกาะมีย์เล (The Battle of Mylae) พ.ศ.๒๘๓ หรือ ๒๖๐ ปี ก่อนคริสตศักราช (present-day Milazzo)
เป็นการรบทางทะเลอย่างแท้จริง และการรบครั้งนี้เป็นนัยสำคัญต่อชัยชนะของโรมัน
กองเรือคาร์เธจ ปะทะกับกองเรือโรมัน ทางเหนือเกาะมีย์เล โพลิบิอุสกล่าวว่า กองเรือคาร์เธจ ๑๓๐ ลำ แต่ไม่ได้กล่าวถึงจำนวนเรือฝ่ายโรมัน ซึ่งน่าจะเหลือ ๑๐๓ ลำ (มีเรือ ๑๒๐ ลำ เสียหายจากการรบที่เกาะลิพาริ จำนวน ๑๗ ลำ) แต่ก็เป็นไปได้ว่า โรมันอาจจะมีจำนวนเรือมากกว่านี้ เพราะมีเรือที่ยึดมาได้ และเรือจากพันธมิตร ฝ่ายคาร์เธจคาดหวังในชัยชนะ เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญในการรบทางทะเลสูงมาก และมีประสบการณ์ในการเดินเรือมา ๘๐๐ ปี แต่กองเรือโรมันซึ่งใช้นวัตกรรมคอร์วัส (ทางลาดเคลื่อนที่) ติดตั้งที่บริเวณหัวเรือทุกลำ เรือโรมันแล่นเข้าใกล้เรือคาร์เธจแล้วใช้ทางลาดเคลื่อนที่ได้นี้ พาด และเกี่ยวเข้าไป ทหารโรมันก็ใช้ทางลาดนี้ลงไปในเรือข้าศึก ใช้ความสามารถเฉพาะตัวที่สูงกว่าต่อสู้ได้ชัยชนะ และ ยึดเรือคาร์เธจ ฝ่ายโรมันยึดเรือคาร์เธจได้ ๓๑ ลำ และทำลายได้ ๑๓ ลำ และเพื่อหลีกเลี่ยงเจ้านวัตกรรม นี้ เรือคาร์เธจต้องปรับยุทธวิธีเสียใหม่ เป็นเดินเรือรอบเรือโรมัน และเข้าโจมตีทางด้านหลัง (ท้ายเรือ) หรือทางด้านข้าง
อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมของโรมันก็ยังทำงานได้ผล สามารถเกี่ยวเอาเรือคาร์เธจได้อีก ๒๐ ลำ จนกองเรือคาร์เธจต้องล่าถอย และแพ้อย่างเด็ดขาดในการสู้รบ
ฝ่ายกองเรือโรมัน แทนที่จะตามกองเรือคาร์เธจที่เหลือในทะเล กลับแล่นไปเกาะซิซีลี
นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ต่างแปลกใจที่แม่ทัพเรือโรมันไม่ตามทำลายกองเรือคาร์เธจเสียในทันทีทันใด แต่ว่ากองเรือคาร์เธจจำนวน ๘๐ ลำ ก็แข็งแรงเกินกว่าฝ่ายโรมันจะพิชิตได้ง่ายๆ
กงศุลโรมันสองคนคือ Gnaeus Cornelius Scipio Asina ควบคุมกองเรือ Gaius Duilius บังคับบัญชากำลังทางบก
Trireme
Triremes were the finest warships of their era.