บทนำ - ตอนล่าสุด
http://my.dek-d.com/thezircon/writer/view.php?id=893020
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
16
หญิงสาวเข้ากรุงเทพฯ มาเพื่อขอรับแฟ้มประวัติการรักษาของมารดาจากโรงพยาบาลเอกชนที่ท่านเคยรักษาประจำ เพื่อจะนำแฟ้มนั้นไปให้แพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านแห่งใหม่ ครั้นเสร็จธุระเร็วกว่าที่คาดจึงแวะมาร้านอาหารของมารดา หวังได้รับข่าวคราวคนที่เธอตามหาตัว
ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอปีแสงกับคนรักของเขาที่นี่ กระทั่งกลับออกมาก็พบว่าเขายังนั่งอยู่ที่โต๊ะริมน้ำ ทว่าหญิงสาวที่มาด้วยกันไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะ
เกตน์สิรีผลักประตูกระจกออกไป หลบเลี่ยงไม่ได้เสียแล้วเมื่อชายหนุ่มหันมอง
“พี่หมิวไปเข้าห้องน้ำหรือคะ” เธอถามหลังเดินมาพนมมือไหว้รุ่นพี่ที่โต๊ะ
ปีแสงนิ่วหน้านิดหนึ่ง เจ้าหล่อนคงเห็นเขาแล้วแต่มิได้เข้ามาทัก ตรงข้ามกับเขาซึ่งไม่ทันสังเกต ไม่เห็นว่าเธอมากับใคร เออนะ หรือจะเป็นเพื่อนตน
“หมิวกลับไปแล้วล่ะ แล้วไอ้แบงค์...”
“เกดมาคนเดียวค่ะ ไปทำธุระให้แม่ที่โรงพยาบาลแล้วเลยแวะมาหาคุณเจี๊ยบแป๊บหนึ่ง” เธอตอบเสียงสดใส
ปีแสงโล่งใจบอกไม่ถูกที่เกตน์สิรีไม่ทราบเรื่องเมื่อคืน และไม่มีวันที่เขาจะให้เธอรับรู้ความมักง่ายของเพื่อนเด็ดขาด เขาจะต้องพูดกับจิรายุให้รู้เรื่อง จะเกิดเรื่องแบบเมื่อคืนนี้ขึ้นอีกไม่ได้ หากมันรักน้องของเขาจริง
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอรีบยกมือปฏิเสธ “เกดกลับเองได้”
ยังไม่ทันทีที่หญิงสาวจะขอตัวลา บริกรก็ได้นำเงินทอนมาส่งให้ชายหนุ่ม เขาหยิบเพียงแบงค์ใหญ่แล้วลุกจากโต๊ะ ก้าวนำโดยไม่ลืมปรายตามองว่าเธอตามมาหรือไม่
เกตน์สิรีไม่อยากตะบิดตะบวยให้มากความจึงยอมรับน้ำใจ หวนนึกถึงวันเวลาเก่าๆ ที่เธอเคยเดินเคียงข้างเขาอย่างนี้ เคยจูงมือกันไว้แล้วให้อบอุ่นหัวใจ
....................................
เลี้ยวออกจากร้านไม่ทันไรฝนก็เทลงมา เสียงที่ปัดน้ำฝนขับไล่หยดน้ำซึ่งเกาะพราวเต็มกระจกรถทำงานเป็นจังหวะสม่ำเสมอดูจะดังกว่าปกติ เมื่อคนภายในห้องโดยสารต่างก็เงียบงัน
เกตน์สิรีขยับตัวอย่างอึดอัด เธอไม่ใช่คนคุยเก่ง หากเป็นคนคล่องอย่างจิรายุหรือมัณฑนามาด้วย คงพาออกจากสถานการณ์นี้ได้ไม่ยากเย็น
“แล้วเกด...”
“แล้วพี่...”
บทจะพูด สองเสียงก็ประสานขึ้นพร้อมกัน ปีแสงหัวเราะหึ ขณะหญิงสาวส่งยิ้มแห้งให้
“เกดพูดก่อน” เขาโยน
อีกฝ่ายรีบสั่นศีรษะ “พี่ปอพูดก่อนดีกว่า”
ชายหนุ่มละสายตาจากถนน ผินมองคนนั่งข้างก็เห็นเจ้าหล่อนมองมาอย่างตั้งใจฟังอยู่ ท่าทางอย่างนั้นเหมือนน้องน้อยคนที่เขารู้จัก คนที่เชื่อคำพูดเขาไม่ว่าจะทำอะไร
ใบหน้าเนียนใสของเกตน์สิรีแทบไม่ต่างจากเด็กหญิงในวันวาน ผิดแต่ว่ามันไม่มอมด้วยเหงื่อหรือน้ำหูน้ำตาอีกแล้ว และคงทาทับด้วยแป้งบางพอให้นวลเนียน ที่แตกต่างออกไปเห็นจะเป็นแววตาไร้เดียงสาคู่เดิมนั้น บัดนี้กลับทอประกายสุกใสดังเช่นคนมีความรักทุกๆ คน
“พี่จะถามว่าเกดมายังไงคนเดียว”
“เกดมารถบขส. น่ะค่ะ มาลงที่บางนาแล้วต่อแท็กซี่อีกที” เธอตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ปีแสงนึกชื่นชมพร้อมทั้งสะท้อนใจ จากคุณหนูของบ้านซึ่งไม่เคยตกระกำลำบาก ต้องกลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัว ดีที่มีจิรายุคอยช่วยเหลือดูแล เขานึกขอบคุณเพื่อนในเรื่องนี้ แล้วก็เตือนตัวเองว่าอย่าเผลอทำเกินหน้าที่พี่ชาย
“ตาเกดถามบ้าง” เขาเอ่ยคล้ายออกคำสั่ง
หญิงสาวเกือบลืมคำถามเสียแล้ว
“อ๋อ เกดจะถามว่า...” เธอพลอยขึ้นต้นตามเขา “พี่หมิวสบายดีเหรอคะ”
เกตน์สิรีนึกถึงรุ่นพี่สาวสวย คนที่เคยเป็นคู่แข่งหัวใจในวัยปัปปี้เลิฟ แล้วก็ได้แต่นึกขันตัวเองในวัยเด็กที่หวงพี่ชายข้างบ้านเป็นจริงเป็นจังจนพานโกรธและน้อยใจโดยที่รุ่นพี่ทั้งสองไม่รู้เรื่องด้วยเลย
“หมิวสบายดี ไม่สบายก็เสียชื่อแย่ มีแฟนเป็นหมอทั้งที” ปีแสงตอบยียวนตามประสา
เกตน์สิรีหันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของชายหนุ่ม ตกใจเล็กน้อยที่ได้ทราบว่าชายหญิงซึ่งเหมาะสมกันคู่หนึ่งลดระดับความสัมพันธ์มาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม พี่ปอคงเสียใจ เหมือนที่เธอยังใจหายไปด้วยเลย
“ขอโทษนะคะ”
“ขอโทษเรื่อง...” ปีแสงละสายตาจากถนน ผินมองหญิงสาวแวบหนึ่ง
"เกดไม่รู้ว่าพี่ปอกับพี่หมิวเลิกกันแล้ว”
”อ้าว ถ้ารู้แล้วจะไม่ถามเหรอ” เสียงทุ้มกังวานเจือแววหัวเราะ ก่อนเขาจะขยายความให้คนคิดมากฟัง “เลิกกันตั้งนานแล้ว ตั้งแต่แยกย้ายกันไปคนละมหาวิทยาลัยนั่นแหละ หมิวยังว่าไม่เคยเป็นแฟนพี่ด้วยซ้ำ”
เขาจบประโยคห้วนๆ ด้วยเสียงหัวเราะหึ รู้ที่มาของคำพูดนั้นดีว่าเพราะความเฉยชาของเขาทำให้คบใครไม่ได้นาน ฝ่ายหญิงก็เป็นฝ่ายบอกลา แม้ไม่เจ็บอย่างคนอกหัก แต่ก็จุกด้วยความตกใจ
และเมื่อความรักครั้งที่สองกับรุ่นน้องสถาบันเดียวกันจบลงแบบเดิม ปีแสงจึงได้พิจารณาหัวใจตนเองและพบว่ามันกำลังเฝ้ารอใครบางคนมานานปี
“เกดคบกับใครก็ดูไปนานๆ ล่ะ” เขาเอ่ยสิ่งที่ตรงกับใจ ตรงกับสถานะความเป็นพี่ที่สุด “พี่เป็นห่วง”
หากปีแสงหันมาคงได้พบดวงตาคู่หนึ่งมองเขาอย่างศรัทธา ชื่นชมลึกซึ้ง แววตาเช่นเดียวกับที่น้องน้อยมีต่อพี่ชายในวันวาน
....................................
เสียงเครื่องยนต์มาหยุดยังหน้าบ้านเรียกความสนใจจากเด็กชายที่นั่งเล่นดินน้ำมันอยู่บนระเบียงชะเง้อมอง ครั้นเห็นร่างสูงก้าวลงจากรถ กวินก็จำได้ทันที มือเปื้อนสีจากดินน้ำมันโบกหย็อยๆ พลางร้องเรียก
“พี่ปอ!”
เกตน์สิรีมองท่าทางเริงร่านั้นแล้วจึงหันไปยิ้มกับปีแสง
“เข้ามาก่อนไหมคะ”
คงมีคนอยากเจอเขา และไม่ใช่แค่น้องชายเธอเท่านั้นเมื่อหญิงชราเยี่ยมหน้ามาดูตามเสียงเรียกของกวินอีกคน
“อ้าว เข้ามาก่อนซีค้า พาพี่เขาเข้ามาสิคุณเกด”
หนุ่มสาวสบตากันยิ้มๆ ก่อนเจ้าบ้านจะเปิดรั้วเล็กนำแขกพิเศษเข้ามา เด็กชายกวินวิ่งจี๋ผ่านลานซีเมนต์มาโผกระโดดเข้าใส่อย่างน่าหวาดเสียว หากปีแสงก็รับและยกขึ้นด้วยแขนเดียว
“ต๊าย... อะไรจะติดพี่ปอขนาดนี้พ่อคุณ โหนเป็นลิง มือก็เปื้อน ลงมาล้างมือเลยค่า” นงเยาว์บ่นพลางแยกลิงลงมา
ชายหนุ่มก้มถอดรองเท้าริมระเบียง ก่อนเหยียบย่างบนพื้นไม้ปาร์เกต์เข้าไปในบ้าน นลินีนั่งอยู่บนรถเข็นกลางโถง โทรทัศน์ภาพสีซีดจางฉายรายการตลกยามบ่าย มีโซฟายาวซึ่งปะปิดเบาะที่ขาดด้วยเทปกาวตั้งอยู่ตรงข้ามกัน บนโต๊ะกระจกใกล้ๆ มีไข่ต้มหลายฟองพูนชามวางอยู่ หญิงชราคงกำลังเตรียมมื้อเย็น
“เกดได้แฟ้มมาแล้วนะคะแม่” เกตน์สิรีนั่งบนปลายเท้าบอกกล่าวมารดา ก่อนหันมากระเซ้าคนแก่ “เกดเอาของไปเก็บก่อนนะจ๊ะ ให้ยายคุยกับพี่ปอให้หายคิดถึง”
“คุณเกดก็...” แม่บ้านสูงวัยแสร้งยกมือปัดป้องราวเขินอาย
ทุกคนในบ้านนี้กำลังมีทุกข์กับชะตาชีวิตที่เปลี่ยนผัน ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกเพียบพร้อมดังก่อน อนาคตข้างหน้าหรือก็ไม่แจ่มใสเสียทีเดียว แต่ปีแสงกลับสัมผัสได้ถึงความสุขมากขึ้นกว่าในอดีต คงเป็นความสุขจากความรักที่คนในครอบครัวมีให้แก่กัน
เส้นขนานสองหัวใจ บทที่ ๑๖
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
16
หญิงสาวเข้ากรุงเทพฯ มาเพื่อขอรับแฟ้มประวัติการรักษาของมารดาจากโรงพยาบาลเอกชนที่ท่านเคยรักษาประจำ เพื่อจะนำแฟ้มนั้นไปให้แพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านแห่งใหม่ ครั้นเสร็จธุระเร็วกว่าที่คาดจึงแวะมาร้านอาหารของมารดา หวังได้รับข่าวคราวคนที่เธอตามหาตัว
ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอปีแสงกับคนรักของเขาที่นี่ กระทั่งกลับออกมาก็พบว่าเขายังนั่งอยู่ที่โต๊ะริมน้ำ ทว่าหญิงสาวที่มาด้วยกันไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะ
เกตน์สิรีผลักประตูกระจกออกไป หลบเลี่ยงไม่ได้เสียแล้วเมื่อชายหนุ่มหันมอง
“พี่หมิวไปเข้าห้องน้ำหรือคะ” เธอถามหลังเดินมาพนมมือไหว้รุ่นพี่ที่โต๊ะ
ปีแสงนิ่วหน้านิดหนึ่ง เจ้าหล่อนคงเห็นเขาแล้วแต่มิได้เข้ามาทัก ตรงข้ามกับเขาซึ่งไม่ทันสังเกต ไม่เห็นว่าเธอมากับใคร เออนะ หรือจะเป็นเพื่อนตน
“หมิวกลับไปแล้วล่ะ แล้วไอ้แบงค์...”
“เกดมาคนเดียวค่ะ ไปทำธุระให้แม่ที่โรงพยาบาลแล้วเลยแวะมาหาคุณเจี๊ยบแป๊บหนึ่ง” เธอตอบเสียงสดใส
ปีแสงโล่งใจบอกไม่ถูกที่เกตน์สิรีไม่ทราบเรื่องเมื่อคืน และไม่มีวันที่เขาจะให้เธอรับรู้ความมักง่ายของเพื่อนเด็ดขาด เขาจะต้องพูดกับจิรายุให้รู้เรื่อง จะเกิดเรื่องแบบเมื่อคืนนี้ขึ้นอีกไม่ได้ หากมันรักน้องของเขาจริง
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอรีบยกมือปฏิเสธ “เกดกลับเองได้”
ยังไม่ทันทีที่หญิงสาวจะขอตัวลา บริกรก็ได้นำเงินทอนมาส่งให้ชายหนุ่ม เขาหยิบเพียงแบงค์ใหญ่แล้วลุกจากโต๊ะ ก้าวนำโดยไม่ลืมปรายตามองว่าเธอตามมาหรือไม่
เกตน์สิรีไม่อยากตะบิดตะบวยให้มากความจึงยอมรับน้ำใจ หวนนึกถึงวันเวลาเก่าๆ ที่เธอเคยเดินเคียงข้างเขาอย่างนี้ เคยจูงมือกันไว้แล้วให้อบอุ่นหัวใจ
....................................
เลี้ยวออกจากร้านไม่ทันไรฝนก็เทลงมา เสียงที่ปัดน้ำฝนขับไล่หยดน้ำซึ่งเกาะพราวเต็มกระจกรถทำงานเป็นจังหวะสม่ำเสมอดูจะดังกว่าปกติ เมื่อคนภายในห้องโดยสารต่างก็เงียบงัน
เกตน์สิรีขยับตัวอย่างอึดอัด เธอไม่ใช่คนคุยเก่ง หากเป็นคนคล่องอย่างจิรายุหรือมัณฑนามาด้วย คงพาออกจากสถานการณ์นี้ได้ไม่ยากเย็น
“แล้วเกด...”
“แล้วพี่...”
บทจะพูด สองเสียงก็ประสานขึ้นพร้อมกัน ปีแสงหัวเราะหึ ขณะหญิงสาวส่งยิ้มแห้งให้
“เกดพูดก่อน” เขาโยน
อีกฝ่ายรีบสั่นศีรษะ “พี่ปอพูดก่อนดีกว่า”
ชายหนุ่มละสายตาจากถนน ผินมองคนนั่งข้างก็เห็นเจ้าหล่อนมองมาอย่างตั้งใจฟังอยู่ ท่าทางอย่างนั้นเหมือนน้องน้อยคนที่เขารู้จัก คนที่เชื่อคำพูดเขาไม่ว่าจะทำอะไร
ใบหน้าเนียนใสของเกตน์สิรีแทบไม่ต่างจากเด็กหญิงในวันวาน ผิดแต่ว่ามันไม่มอมด้วยเหงื่อหรือน้ำหูน้ำตาอีกแล้ว และคงทาทับด้วยแป้งบางพอให้นวลเนียน ที่แตกต่างออกไปเห็นจะเป็นแววตาไร้เดียงสาคู่เดิมนั้น บัดนี้กลับทอประกายสุกใสดังเช่นคนมีความรักทุกๆ คน
“พี่จะถามว่าเกดมายังไงคนเดียว”
“เกดมารถบขส. น่ะค่ะ มาลงที่บางนาแล้วต่อแท็กซี่อีกที” เธอตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ปีแสงนึกชื่นชมพร้อมทั้งสะท้อนใจ จากคุณหนูของบ้านซึ่งไม่เคยตกระกำลำบาก ต้องกลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัว ดีที่มีจิรายุคอยช่วยเหลือดูแล เขานึกขอบคุณเพื่อนในเรื่องนี้ แล้วก็เตือนตัวเองว่าอย่าเผลอทำเกินหน้าที่พี่ชาย
“ตาเกดถามบ้าง” เขาเอ่ยคล้ายออกคำสั่ง
หญิงสาวเกือบลืมคำถามเสียแล้ว
“อ๋อ เกดจะถามว่า...” เธอพลอยขึ้นต้นตามเขา “พี่หมิวสบายดีเหรอคะ”
เกตน์สิรีนึกถึงรุ่นพี่สาวสวย คนที่เคยเป็นคู่แข่งหัวใจในวัยปัปปี้เลิฟ แล้วก็ได้แต่นึกขันตัวเองในวัยเด็กที่หวงพี่ชายข้างบ้านเป็นจริงเป็นจังจนพานโกรธและน้อยใจโดยที่รุ่นพี่ทั้งสองไม่รู้เรื่องด้วยเลย
“หมิวสบายดี ไม่สบายก็เสียชื่อแย่ มีแฟนเป็นหมอทั้งที” ปีแสงตอบยียวนตามประสา
เกตน์สิรีหันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของชายหนุ่ม ตกใจเล็กน้อยที่ได้ทราบว่าชายหญิงซึ่งเหมาะสมกันคู่หนึ่งลดระดับความสัมพันธ์มาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม พี่ปอคงเสียใจ เหมือนที่เธอยังใจหายไปด้วยเลย
“ขอโทษนะคะ”
“ขอโทษเรื่อง...” ปีแสงละสายตาจากถนน ผินมองหญิงสาวแวบหนึ่ง
"เกดไม่รู้ว่าพี่ปอกับพี่หมิวเลิกกันแล้ว”
”อ้าว ถ้ารู้แล้วจะไม่ถามเหรอ” เสียงทุ้มกังวานเจือแววหัวเราะ ก่อนเขาจะขยายความให้คนคิดมากฟัง “เลิกกันตั้งนานแล้ว ตั้งแต่แยกย้ายกันไปคนละมหาวิทยาลัยนั่นแหละ หมิวยังว่าไม่เคยเป็นแฟนพี่ด้วยซ้ำ”
เขาจบประโยคห้วนๆ ด้วยเสียงหัวเราะหึ รู้ที่มาของคำพูดนั้นดีว่าเพราะความเฉยชาของเขาทำให้คบใครไม่ได้นาน ฝ่ายหญิงก็เป็นฝ่ายบอกลา แม้ไม่เจ็บอย่างคนอกหัก แต่ก็จุกด้วยความตกใจ
และเมื่อความรักครั้งที่สองกับรุ่นน้องสถาบันเดียวกันจบลงแบบเดิม ปีแสงจึงได้พิจารณาหัวใจตนเองและพบว่ามันกำลังเฝ้ารอใครบางคนมานานปี
“เกดคบกับใครก็ดูไปนานๆ ล่ะ” เขาเอ่ยสิ่งที่ตรงกับใจ ตรงกับสถานะความเป็นพี่ที่สุด “พี่เป็นห่วง”
หากปีแสงหันมาคงได้พบดวงตาคู่หนึ่งมองเขาอย่างศรัทธา ชื่นชมลึกซึ้ง แววตาเช่นเดียวกับที่น้องน้อยมีต่อพี่ชายในวันวาน
....................................
เสียงเครื่องยนต์มาหยุดยังหน้าบ้านเรียกความสนใจจากเด็กชายที่นั่งเล่นดินน้ำมันอยู่บนระเบียงชะเง้อมอง ครั้นเห็นร่างสูงก้าวลงจากรถ กวินก็จำได้ทันที มือเปื้อนสีจากดินน้ำมันโบกหย็อยๆ พลางร้องเรียก
“พี่ปอ!”
เกตน์สิรีมองท่าทางเริงร่านั้นแล้วจึงหันไปยิ้มกับปีแสง
“เข้ามาก่อนไหมคะ”
คงมีคนอยากเจอเขา และไม่ใช่แค่น้องชายเธอเท่านั้นเมื่อหญิงชราเยี่ยมหน้ามาดูตามเสียงเรียกของกวินอีกคน
“อ้าว เข้ามาก่อนซีค้า พาพี่เขาเข้ามาสิคุณเกด”
หนุ่มสาวสบตากันยิ้มๆ ก่อนเจ้าบ้านจะเปิดรั้วเล็กนำแขกพิเศษเข้ามา เด็กชายกวินวิ่งจี๋ผ่านลานซีเมนต์มาโผกระโดดเข้าใส่อย่างน่าหวาดเสียว หากปีแสงก็รับและยกขึ้นด้วยแขนเดียว
“ต๊าย... อะไรจะติดพี่ปอขนาดนี้พ่อคุณ โหนเป็นลิง มือก็เปื้อน ลงมาล้างมือเลยค่า” นงเยาว์บ่นพลางแยกลิงลงมา
ชายหนุ่มก้มถอดรองเท้าริมระเบียง ก่อนเหยียบย่างบนพื้นไม้ปาร์เกต์เข้าไปในบ้าน นลินีนั่งอยู่บนรถเข็นกลางโถง โทรทัศน์ภาพสีซีดจางฉายรายการตลกยามบ่าย มีโซฟายาวซึ่งปะปิดเบาะที่ขาดด้วยเทปกาวตั้งอยู่ตรงข้ามกัน บนโต๊ะกระจกใกล้ๆ มีไข่ต้มหลายฟองพูนชามวางอยู่ หญิงชราคงกำลังเตรียมมื้อเย็น
“เกดได้แฟ้มมาแล้วนะคะแม่” เกตน์สิรีนั่งบนปลายเท้าบอกกล่าวมารดา ก่อนหันมากระเซ้าคนแก่ “เกดเอาของไปเก็บก่อนนะจ๊ะ ให้ยายคุยกับพี่ปอให้หายคิดถึง”
“คุณเกดก็...” แม่บ้านสูงวัยแสร้งยกมือปัดป้องราวเขินอาย
ทุกคนในบ้านนี้กำลังมีทุกข์กับชะตาชีวิตที่เปลี่ยนผัน ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกเพียบพร้อมดังก่อน อนาคตข้างหน้าหรือก็ไม่แจ่มใสเสียทีเดียว แต่ปีแสงกลับสัมผัสได้ถึงความสุขมากขึ้นกว่าในอดีต คงเป็นความสุขจากความรักที่คนในครอบครัวมีให้แก่กัน