ชัยชนะ ของเจ๊ด. แห่งตระกูลชินวัตร ในการเลือกตั้งซ่อมสส.จังหวัดเชียงใหม่ที่ผ่านมา
คือ การเริ่มเข้าสู่กระบวนการทุบโต๊ะ ควบคุมเบ็ดเสร็จในสภาต่อสส.พรรคเพื่อไทยหลังจากนี้
และเชื่อได้เลยว่าหลังจากนี้คงจะไม่มีเหตุการณ์สภาล่มง่ายๆ อีกแน่นอน
ซึ่งการมาของเยาวภาจะมาพร้อมกับ สมศักดิ์ เทพสุทิน และกลุ่มมัชฌิมา
ที่จะตบเท้าเข้าพรรค มาเสริมบารมีนางเยาวภาให้แข็งแกร่งมากขึ้น
แต่อย่าได้คิดว่านี่คือ ยุคแห่งสิทธิสตรีแต่อย่างใดหากแต่แท้จริงคือยุคของตระกูลชินวัตร
ครองเมืองอีกครั้ง และครั้งนี้ จะมีแต่คนของตระกูลชินวัตรและบริวารที่มาจากกลุ่มธุรกิจ
ชินคอร์ปเองเท่านั้นที่จะมากุมบังเหียนรัฐบาลและประเทศชาติทั้งหมดทั้งมวลล้วนมาจาก
การสไกป์ สั่งการแบบถี่ใกล้ชิดต่อทุกวงประชุมของพรรคเพื่อไทย และอาจเลยไปถึงวง
ประชุมคณะต่างๆ ของรัฐบาล ประกอบกับการรุกคืบเบ็ดเสร็จของคนในตระกูลชินวัตร
ในพรรคเพื่อไทยและสภา และผู้บริหารชินคอร์ปที่มานั่งในครม.ชุดนี้นั่นเอง
และด้วยการรุกคืบของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต่อกระบวนการล้วงลูกสั่งการในพรรคเพื่อไทย
ถี่ขึ้นและหนักขึ้นทุกวัน ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ตามแผนบันได 3 ขั้นที่เคยเผยไปแล้ว
ซึ่งก็ได้เคลื่อนกระบวนทำงานมาจนถึงกลางทางสำคัญแล้ว หากพ.ต.ท.ทักษิณ
หวังจะเผด็จศึกกลับประเทศไทยในปีนี้ให้ได้จริงๆสิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณกำลังสไกป์สั่งให้ทำ
คงหนีไม่พ้นการกำจัดอุปสรรคการเดินทางของงาน อย่างสว.ก็พบว่า ตอนนี้มีการ
วิพากษ์วิจารณ์ว่า ปราบสงบราบคาบไปหมดแล้ว จริงหรือไม่ ให้ดูที่ประธานวุฒิสภา
และกลุ่มสว.เลือกตั้งสายเหนือ-อีสาน ที่ล้วนมีที่มาจากฝ่ายการเมือง ขณะที่องค์กรกลาง
หรือองค์กรตรวจสอบ ก็มีนักวิชาการและสื่อมองทะลุไปแล้วว่า การขับเคลื่อนของสว.
ในพรรคหลังการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการต่างๆ อาจมีผลต่อความเป็นกลางของ
คณะกรรมการได้ในขณะที่ธงสำคัญได้ถูกเปิดเผยแล้ว เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2556 ที่ผ่านมา
รัฐสภาโดยสส.ฝ่ายรัฐบาลได้พยายามผลักดันให้มีการเลื่อนวาระพ.ร.บ.นิรโทษกรรมมารอไว้
เพื่อเปิดประชุมสภาสมัยหน้า ภารกิจแรกของสส.เสื้อแดงก็คือ การนำพา ทักษิณ กลับบ้าน
ดังนั้นหันไปหันมา ณ วันนี้ อุปสรรคหรือเสี้ยนหนามระบอบทักษิณที่เหลือเพียงสิ่งเดียว
ก็คือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ นั่นเองย้อนไป ให้คิดถึงคำพูดของ
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้พูดในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยเมื่อพุธที่แล้ว
(17 เมษายน 2556) ถึงยุทธวิธีทางการเมืองต่อการช่วยคุณทักษิณร.ต.อ.เฉลิมวิเคราะห์ไว้เช่นนี้
เค้าบอกว่า “ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ที่จะเสนอเข้าสภาฯในสมัยประชุมหน้าที่มี 6 มาตรา
จะครอบคลุมช่วยเหลือทุกฝ่ายให้ได้ประโยชน์ แม้แต่สส.พรรคประชาธิปัตย์เองก็ต้องรับกฎหมาย
ฉบับนี้ เพราะสส.ประชาธิปัตย์กว่า 40 คน จะได้ลิ้มรสชาติของการตกเป็นผู้ต้องหาในคดี
การบริจาคเงินเข้าพรรค และที่สุดแล้วประชาธิปัตย์ก็ต้องยอมรับเข้าร่วมกระบวนการปรองดอง
เพื่อการนิรโทษกรรม”จึงไม่แปลกที่ไม่ถึง 1 สัปดาห์ต่อมา หน่วยงานราชการภายใต้คำสั่ง
การเมืองอย่างดีเอสไอจะเรียกตัว 44 สส.ประชาธิปัตย์ มารับข้อกล่าวหาเมื่อวานนี้ โดยคดีพิสดาร
ที่ว่านี้ ตั้งธง 44 แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ที่ล้วนอยู่ในระบบบัญชีรายชื่อ ให้ตกเป็นผู้ต้องหา
คดีบริจาคเงินให้พรรคตนเอง โดยคดีนี้วางเกมจากกรณีการหักเงินเดือน สส.บริจาคให้พรรคว่า
ผิดวิธีจากที่พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2550 มาตรา 57 วรรค 2 กำหนดว่า การบริจาคแก่พรรคการเมือง
ตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป จะต้องบริจาคโดยวิธีการสั่งจ่ายเป็นตั๋วแลกเงินหรือเช็คขีดคร่อมนี่คือ
เป็นการเล่นกันที่ตัวบทกฎหมายกับวิธีการนั่นเอง
จึงไม่แปลกที่สื่อจะตั้งข้อสงสัยย้อนรอยคำพูดคุณเฉลิมที่ปูไว้ก่อนหน้าแล้วว่า
การดำเนินคดีครั้งนี้เชื่อมโยงกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์
ยอมรับกฎหมายนิรโทษกรรม และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยนำคดีมาต่อรองกดดัน
สิ่งที่เกิดขึ้นในการวัดใจเล็กๆ หลังจากนี้ก็คือ แนวทางของพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะร่วมมือ
กับรัฐบาลเพื่อพาตัวเองให้รอดคดี หรือจะยึดมั่นหลักการเดิมคือ การไม่นิรโทษกรรมให้คนผิด
เพราะก่อนหน้านี้เราพอจะทราบแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการให้ดันการออกกฎหมาย
นิรโทษกรรมนั้นเป้าหมายหลักคือ
(1) ต้องการให้นิรโทษกรรมแก่มวลชนเสื้อแดงจากกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงเผาและ
ทำลายทรัพย์สินเซ็นทรัลเวิลด์และสถานที่ราชการต่างๆ ในกรุงเทพฯและศาลากลาง
จังหวัดต่างๆ เพื่อให้พี่น้องคนเสื้อแดงเห็นว่าพรรคไม่ได้ทิ้งคนเสื้อแดงไปไหน
เป็นการรักษาฐานมวลชนที่คอยสนับสนุนพรรคและรัฐบาลไว้ เพราะในช่วงปีที่ผ่านมา
พบว่าแกนนำเสื้อแดงมีการกดดันรัฐบาลในเรื่องนี้มาก รวมถึงค่าใช้จ่ายต่อเดือน
ที่แต่ละมุ้งต้องเลี้ยงดูครอบครัวคนเสื้อแดงที่ติดคุก
(2) แนวร่วมทางการเมืองอื่นๆ และแนวร่วมทางการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่ติดคดี
อย่างแกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตร ที่หวังพ่วงกรณีการนิรโทษกรรม
ให้หลุดคดีไปพร้อมกันด้วย
(3) พ.ต.ท.ทักษิณเอง ที่ต้องการให้พ่วงตนเองไปกับกรณี 1 และ 2 ขณะที่
(4) มีการลากเอา 44 สส.ปชป.เข้ามาติดร่างแห เพื่อรองรับนิรโทษกรรม หรือต่อรองพร้อมกัน
ทั้งหมดทั้งมวล จึงล้วนเป็นภาพสะท้อนการเล่นเกมการเมืองของรัฐบาลผ่านเครื่องมือ
ประชาธิปไตยของสภา เพื่อคนคนเดียว ที่ตอนนี้ต้องเปลี่ยนเป็นคนตระกูลเดียว ให้ได้รอดพ้น
จากความผิด โดยไร้แววการตระหนักถึงความถูกต้อง ความรับผิดชอบต่อประเทศชาติในการรักษา
ความเป็นธรรม และการไร้ศักดิ์ศรีความเป็นผู้แทนฯของบรรดาสส.ซีกรัฐบาล
“คนเราเมื่อละอายจนกระสับกระส่ายมักจะคิดไปประทุษร้ายผู้อื่นเสมอ”
(โกวเล้ง จาก ราศีดอกท้อ)
http://www.naewna.com/politic/columnist/6377
ทุกคอลัมน์ ของ "แนวหน้า" หนีไม่พ้น "ทักษิณ" สักวัน
คุณอดีตหัวหน้าเผ่า...ชื่นชม .. ตรงนี้หรือเปล่า ...มาช่วยแปะให้อีกคอลัมน์นะคะ
ถูกใจปะ ... สาวเหลือน้อย...ชอบใจนะ ขจัดไปให้หมดเลย เสี้ยนหนามระบอบทักษิณ
บ้านเมือง จะได้เดินไปข้างหน้าสักที ไม่งั้น รัฐบาลจะทำอะไร ก็เที่ยวคัดค้าน
รำร้อง หาว่าช่วย "ทาาาากษิณ" ไปซะทุกเรื่อง...น่าเบื่อ ....


ทุบโต๊ะ ครั้งสุดท้าย กำจัดเสี้ยนหนามระบอบทักษิณให้สิ้น ....นายซื่อตรงรักเมืองไทย .... แนวหน้าออนไลน์
คือ การเริ่มเข้าสู่กระบวนการทุบโต๊ะ ควบคุมเบ็ดเสร็จในสภาต่อสส.พรรคเพื่อไทยหลังจากนี้
และเชื่อได้เลยว่าหลังจากนี้คงจะไม่มีเหตุการณ์สภาล่มง่ายๆ อีกแน่นอน
ซึ่งการมาของเยาวภาจะมาพร้อมกับ สมศักดิ์ เทพสุทิน และกลุ่มมัชฌิมา
ที่จะตบเท้าเข้าพรรค มาเสริมบารมีนางเยาวภาให้แข็งแกร่งมากขึ้น
แต่อย่าได้คิดว่านี่คือ ยุคแห่งสิทธิสตรีแต่อย่างใดหากแต่แท้จริงคือยุคของตระกูลชินวัตร
ครองเมืองอีกครั้ง และครั้งนี้ จะมีแต่คนของตระกูลชินวัตรและบริวารที่มาจากกลุ่มธุรกิจ
ชินคอร์ปเองเท่านั้นที่จะมากุมบังเหียนรัฐบาลและประเทศชาติทั้งหมดทั้งมวลล้วนมาจาก
การสไกป์ สั่งการแบบถี่ใกล้ชิดต่อทุกวงประชุมของพรรคเพื่อไทย และอาจเลยไปถึงวง
ประชุมคณะต่างๆ ของรัฐบาล ประกอบกับการรุกคืบเบ็ดเสร็จของคนในตระกูลชินวัตร
ในพรรคเพื่อไทยและสภา และผู้บริหารชินคอร์ปที่มานั่งในครม.ชุดนี้นั่นเอง
และด้วยการรุกคืบของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต่อกระบวนการล้วงลูกสั่งการในพรรคเพื่อไทย
ถี่ขึ้นและหนักขึ้นทุกวัน ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ตามแผนบันได 3 ขั้นที่เคยเผยไปแล้ว
ซึ่งก็ได้เคลื่อนกระบวนทำงานมาจนถึงกลางทางสำคัญแล้ว หากพ.ต.ท.ทักษิณ
หวังจะเผด็จศึกกลับประเทศไทยในปีนี้ให้ได้จริงๆสิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณกำลังสไกป์สั่งให้ทำ
คงหนีไม่พ้นการกำจัดอุปสรรคการเดินทางของงาน อย่างสว.ก็พบว่า ตอนนี้มีการ
วิพากษ์วิจารณ์ว่า ปราบสงบราบคาบไปหมดแล้ว จริงหรือไม่ ให้ดูที่ประธานวุฒิสภา
และกลุ่มสว.เลือกตั้งสายเหนือ-อีสาน ที่ล้วนมีที่มาจากฝ่ายการเมือง ขณะที่องค์กรกลาง
หรือองค์กรตรวจสอบ ก็มีนักวิชาการและสื่อมองทะลุไปแล้วว่า การขับเคลื่อนของสว.
ในพรรคหลังการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการต่างๆ อาจมีผลต่อความเป็นกลางของ
คณะกรรมการได้ในขณะที่ธงสำคัญได้ถูกเปิดเผยแล้ว เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2556 ที่ผ่านมา
รัฐสภาโดยสส.ฝ่ายรัฐบาลได้พยายามผลักดันให้มีการเลื่อนวาระพ.ร.บ.นิรโทษกรรมมารอไว้
เพื่อเปิดประชุมสภาสมัยหน้า ภารกิจแรกของสส.เสื้อแดงก็คือ การนำพา ทักษิณ กลับบ้าน
ดังนั้นหันไปหันมา ณ วันนี้ อุปสรรคหรือเสี้ยนหนามระบอบทักษิณที่เหลือเพียงสิ่งเดียว
ก็คือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ นั่นเองย้อนไป ให้คิดถึงคำพูดของ
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้พูดในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยเมื่อพุธที่แล้ว
(17 เมษายน 2556) ถึงยุทธวิธีทางการเมืองต่อการช่วยคุณทักษิณร.ต.อ.เฉลิมวิเคราะห์ไว้เช่นนี้
เค้าบอกว่า “ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ที่จะเสนอเข้าสภาฯในสมัยประชุมหน้าที่มี 6 มาตรา
จะครอบคลุมช่วยเหลือทุกฝ่ายให้ได้ประโยชน์ แม้แต่สส.พรรคประชาธิปัตย์เองก็ต้องรับกฎหมาย
ฉบับนี้ เพราะสส.ประชาธิปัตย์กว่า 40 คน จะได้ลิ้มรสชาติของการตกเป็นผู้ต้องหาในคดี
การบริจาคเงินเข้าพรรค และที่สุดแล้วประชาธิปัตย์ก็ต้องยอมรับเข้าร่วมกระบวนการปรองดอง
เพื่อการนิรโทษกรรม”จึงไม่แปลกที่ไม่ถึง 1 สัปดาห์ต่อมา หน่วยงานราชการภายใต้คำสั่ง
การเมืองอย่างดีเอสไอจะเรียกตัว 44 สส.ประชาธิปัตย์ มารับข้อกล่าวหาเมื่อวานนี้ โดยคดีพิสดาร
ที่ว่านี้ ตั้งธง 44 แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ที่ล้วนอยู่ในระบบบัญชีรายชื่อ ให้ตกเป็นผู้ต้องหา
คดีบริจาคเงินให้พรรคตนเอง โดยคดีนี้วางเกมจากกรณีการหักเงินเดือน สส.บริจาคให้พรรคว่า
ผิดวิธีจากที่พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2550 มาตรา 57 วรรค 2 กำหนดว่า การบริจาคแก่พรรคการเมือง
ตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป จะต้องบริจาคโดยวิธีการสั่งจ่ายเป็นตั๋วแลกเงินหรือเช็คขีดคร่อมนี่คือ
เป็นการเล่นกันที่ตัวบทกฎหมายกับวิธีการนั่นเอง
จึงไม่แปลกที่สื่อจะตั้งข้อสงสัยย้อนรอยคำพูดคุณเฉลิมที่ปูไว้ก่อนหน้าแล้วว่า
การดำเนินคดีครั้งนี้เชื่อมโยงกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์
ยอมรับกฎหมายนิรโทษกรรม และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยนำคดีมาต่อรองกดดัน
สิ่งที่เกิดขึ้นในการวัดใจเล็กๆ หลังจากนี้ก็คือ แนวทางของพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะร่วมมือ
กับรัฐบาลเพื่อพาตัวเองให้รอดคดี หรือจะยึดมั่นหลักการเดิมคือ การไม่นิรโทษกรรมให้คนผิด
เพราะก่อนหน้านี้เราพอจะทราบแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการให้ดันการออกกฎหมาย
นิรโทษกรรมนั้นเป้าหมายหลักคือ
(1) ต้องการให้นิรโทษกรรมแก่มวลชนเสื้อแดงจากกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงเผาและ
ทำลายทรัพย์สินเซ็นทรัลเวิลด์และสถานที่ราชการต่างๆ ในกรุงเทพฯและศาลากลาง
จังหวัดต่างๆ เพื่อให้พี่น้องคนเสื้อแดงเห็นว่าพรรคไม่ได้ทิ้งคนเสื้อแดงไปไหน
เป็นการรักษาฐานมวลชนที่คอยสนับสนุนพรรคและรัฐบาลไว้ เพราะในช่วงปีที่ผ่านมา
พบว่าแกนนำเสื้อแดงมีการกดดันรัฐบาลในเรื่องนี้มาก รวมถึงค่าใช้จ่ายต่อเดือน
ที่แต่ละมุ้งต้องเลี้ยงดูครอบครัวคนเสื้อแดงที่ติดคุก
(2) แนวร่วมทางการเมืองอื่นๆ และแนวร่วมทางการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่ติดคดี
อย่างแกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตร ที่หวังพ่วงกรณีการนิรโทษกรรม
ให้หลุดคดีไปพร้อมกันด้วย
(3) พ.ต.ท.ทักษิณเอง ที่ต้องการให้พ่วงตนเองไปกับกรณี 1 และ 2 ขณะที่
(4) มีการลากเอา 44 สส.ปชป.เข้ามาติดร่างแห เพื่อรองรับนิรโทษกรรม หรือต่อรองพร้อมกัน
ทั้งหมดทั้งมวล จึงล้วนเป็นภาพสะท้อนการเล่นเกมการเมืองของรัฐบาลผ่านเครื่องมือ
ประชาธิปไตยของสภา เพื่อคนคนเดียว ที่ตอนนี้ต้องเปลี่ยนเป็นคนตระกูลเดียว ให้ได้รอดพ้น
จากความผิด โดยไร้แววการตระหนักถึงความถูกต้อง ความรับผิดชอบต่อประเทศชาติในการรักษา
ความเป็นธรรม และการไร้ศักดิ์ศรีความเป็นผู้แทนฯของบรรดาสส.ซีกรัฐบาล
“คนเราเมื่อละอายจนกระสับกระส่ายมักจะคิดไปประทุษร้ายผู้อื่นเสมอ”
(โกวเล้ง จาก ราศีดอกท้อ)
http://www.naewna.com/politic/columnist/6377
ทุกคอลัมน์ ของ "แนวหน้า" หนีไม่พ้น "ทักษิณ" สักวัน
คุณอดีตหัวหน้าเผ่า...ชื่นชม .. ตรงนี้หรือเปล่า ...มาช่วยแปะให้อีกคอลัมน์นะคะ
ถูกใจปะ ... สาวเหลือน้อย...ชอบใจนะ ขจัดไปให้หมดเลย เสี้ยนหนามระบอบทักษิณ
บ้านเมือง จะได้เดินไปข้างหน้าสักที ไม่งั้น รัฐบาลจะทำอะไร ก็เที่ยวคัดค้าน
รำร้อง หาว่าช่วย "ทาาาากษิณ" ไปซะทุกเรื่อง...น่าเบื่อ ....