มาดูมุมมองของคลังกันก่อนนะครับ
คลังระบุ ความเสียหายจากบาทแข็งค่าเทียบเท่าวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 ชี้เป็นความบกพร่องของแบงก์ชาติที่ยืนดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูง และ ถือเป็นเหตุผลที่สามารถปลดผู้ว่าแบงก์ชาติออกจากตำแหน่งได้ โดยความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว 2 ด้าน คือ ผลขาดทุนของแบงก์ชาติจำนวน 6 แสนล้านบาท และ ผลกระทบที่มีต่อภาคการส่งออก ภาพรวมการลงทุน และ เงินเฟ้อในสินทรัพย์ต่างๆ พร้อมประเมินเงินบาทอาจแข็งค่าไปแตะระดับ 26-27 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะกำกับดูแลนโยบายด้านเศรษฐกิจ ประเมินมุมมองด้านการคลังที่ได้รับผลกระทบจากกรณีที่เงินบาทปรับค่าแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกล่าวว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากกรณีเงินบาทแข็งค่าในขณะนี้ มีอยู่ 2 ด้าน ด้านแรก คือ การขาดทุนในงบการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย(แบงก์ชาติ)ซึ่งคาดว่า จะแตะระดับ 6 แสนล้านบาท จากผลขาดทุนจำนวน 5 แสนล้านบาทเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เป็นผลจากการขาดทุนด้านอัตราแลกเปลี่ยนและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย ซึ่งความเสียหายดังกล่าวจะนำไปสู่ภาระการคลังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ความเสียหายที่เกิดขึ้น ทำให้ความน่าเชื่อในแบงก์ชาติลดลง ถ้าเป็นบริษัทเอกชนก็ถือว่า เจ๊งไปแล้ว ซึ่งมีไม่กี่แห่งในโลกที่ขาดทุนมาก มีเพียงเม็กซิโก และชิลีเท่านั้น และผลขาดทุนนี้ ก็ไม่สามารถที่จะกลับมาเป็นบวกได้อย่างรวดเร็ว เพราะเงินต่างประเทศยังคงไหลเข้ามาต่อเนื่องจากนโยบายเพิ่มปริมาณเงินจากสหรัฐ กลุ่มยูโร และญี่ปุ่น โดยกรณีของญี่ปุ่นนี้ อาจใช้เวลานานถึง 2 ปีในการเพิ่มปริมาณเงิน
“หากไม่ดำเนินการอะไร เชื่อว่า เงินบาทจะแข็งค่าแตะระดับ 26-27 บาท/ดอลลาร์สหรัฐแน่นอน และจะทำให้ผลขาดทุนแบงก์ชาติเรื้อรังและมีจำนวนมาก” พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง
เขากล่าวว่า ทางออกของปัญหา คือ กระทรวงการคลังก็ต้องเข้าไปเพิ่มทุน ซึ่งเงินเพิ่มทุนก็จะต้องมาจากภาษีประชาชน เราก็ไม่พร้อม ทั้งนี้ หนี้ของธปท.ที่หมุนเวียนในตลาดจากการออกพันธบัตรมีถึง 3.1 ล้านล้านบาทจากจำนวนพันธบัตรทั้งหมด 8 ล้านล้านบาท มากกว่าพันธบัตรกระทรวงการคลังที่มีอยู่จำนวน 3 ล้านล้านบาท ฉะนั้น กระทรวงการคลังก็ไม่สามารถรับผิดชอบได้ หรือ แบงก์ชาติจะเป็นผู้รับผิดชอบ ด้วยการพิมพ์เงินออกมาชำระหนี้ ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะจะเกิดเงินเฟ้อ ฉะนั้น เมื่อปัญหาใหญ่ขนาดนี้ ในที่สุดจะเป็นภาระทางการคลังแน่นอน
ผลกระทบด้านที่สอง คือ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาค ได้แก่
1.ภาคการส่งออก ซึ่งจะเห็นได้ว่า ขณะนี้ การส่งออกเริ่มติดลบ แม้เดือนมีนาคมจะเป็นบวกนิดหน่อย แต่หากเทียบกับฐานที่ต่ำในปีก่อน ตัวเลขการส่งออกควรจะเป็นบวกมากกว่านี้ ขณะที่ เงินบาทเริ่มแข็งค่าในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ จะเห็นผลกระทบที่ชัดเจนในช่วงไตรมาสสองและสามของปี
2. ผลกระทบต่อภาคการลงทุน หากดอกเบี้ยนโยบายยังยืนในระดับสูงจะกระทบต่อการลงทุนในภาพรวมอย่างแน่นอน โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐ ซึ่งรัฐบาลมีแผนจะลงทุนถึง 2 ล้านล้านบาท ถ้าดอกเบี้ยเหมาะสมจะสามารถเดินหน้าได้ แต่หากดอกเบี้ยอยู่ในระดับนี้ รัฐบาลไม่สามารถกู้ในประเทศในอัตราดอกเบี้ยสูง ซึ่งจะต้องทดแทนดอกเบี้ยพันธบัตรแบงก์ชาติ ฉะนั้น อาจมีปัญหาในแง่การระดมเงินทุนของรัฐบาลได้ นอกจากนี้ การแข่งขันด้านอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของภาคเอกชนก็เริ่มรุนแรง อาจทำให้การระดมเงินทุนของภาคเอกชนประสบปัญหาเช่นกัน
3.ผลกระทบที่มีต่อเงินเฟ้อในตลาดสินทรัพย์ ซึ่งเกิดจากการที่เงินทุนไหลเข้า ขณะนี้ เริ่มเข้าไปในตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร และ อสังหาริมทรัพย์ เป็นสิ่งที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
4.ผลกระทบต่อตลาดทุน ขณะนี้ ปริมาณพันธบัตรแบงก์ชาติคงค้างมีจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นประเทศเดียวที่มีพันธบัตรแบงก์ชาติมากกว่าพันธบัตรกระทรวงการคลัง เป็นการบิดเบือนตลาดทุนมหาศาล บิดเบือนแม้แต่โครงสร้างดอกเบี้ยในตลาดทุน ซึ่งขณะนี้ ดอกเบี้ยระยะสั้นได้ปรับตัวใกล้เคียงกับระยะยาว เพราะแบงก์ชาติได้เข้าไปลงทุนพันธบัตรระยะสั้นจำนวนมา
เขากล่าวว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นใน 2 ด้านดังกล่าว ถือว่า เป็นความเสียหายที่เทียบเท่ากับความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ซึ่งถือเป็นความบกพร่องของแบงก์ชาติที่จับต้องได้ หากแบงก์ชาติไม่ดำเนินการอะไร อาจถึงขั้นที่ทำให้ประเทศเข้าสู่วิกฤตหายนะ และ จะต้องถือเป็นความรับผิดชอบของแบงก์ชาติด้วย
ทั้งนี้ กฎหมายแบงก์ชาติข้อหนึ่งระบุชัดเจนว่า คณะรัฐมนตรีมีมติให้ปลดผู้ว่าแบงก์ชาติออกจากตำแหน่งโดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือการนำเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยคำแนะนำของคณะกรรมการแบงก์ชาติ เหตุผลเพราะบกพร่องต่อหน้าที่อย่างร้ายแรงหรือหย่อนความสามารถโดยมติของคณะรัฐมนตรีต้องมีความชัดเจน
ขณะที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยก่อนการหารือว่าปัญหาเรื่องค่าเงินบาทได้พูดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหลายครั้งแล้วแต่ยังไม่มีใครดำเนินการในทิศทางที่ควรจะเป็น
“เงินบาทแข็งค่าเป็นสิ่งที่น่าปวดหัวมากและก็ได้พูดในสิ่งควรทำแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครดำเนินการ จนผมรู้สึกหนักใจ” กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง
คลัง” โทษ “ธปท.” บาทแข็งสร้างความเสียหายเท่าวิกฤติ 40
คลังระบุ ความเสียหายจากบาทแข็งค่าเทียบเท่าวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 ชี้เป็นความบกพร่องของแบงก์ชาติที่ยืนดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูง และ ถือเป็นเหตุผลที่สามารถปลดผู้ว่าแบงก์ชาติออกจากตำแหน่งได้ โดยความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว 2 ด้าน คือ ผลขาดทุนของแบงก์ชาติจำนวน 6 แสนล้านบาท และ ผลกระทบที่มีต่อภาคการส่งออก ภาพรวมการลงทุน และ เงินเฟ้อในสินทรัพย์ต่างๆ พร้อมประเมินเงินบาทอาจแข็งค่าไปแตะระดับ 26-27 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะกำกับดูแลนโยบายด้านเศรษฐกิจ ประเมินมุมมองด้านการคลังที่ได้รับผลกระทบจากกรณีที่เงินบาทปรับค่าแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกล่าวว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากกรณีเงินบาทแข็งค่าในขณะนี้ มีอยู่ 2 ด้าน ด้านแรก คือ การขาดทุนในงบการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย(แบงก์ชาติ)ซึ่งคาดว่า จะแตะระดับ 6 แสนล้านบาท จากผลขาดทุนจำนวน 5 แสนล้านบาทเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เป็นผลจากการขาดทุนด้านอัตราแลกเปลี่ยนและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย ซึ่งความเสียหายดังกล่าวจะนำไปสู่ภาระการคลังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ความเสียหายที่เกิดขึ้น ทำให้ความน่าเชื่อในแบงก์ชาติลดลง ถ้าเป็นบริษัทเอกชนก็ถือว่า เจ๊งไปแล้ว ซึ่งมีไม่กี่แห่งในโลกที่ขาดทุนมาก มีเพียงเม็กซิโก และชิลีเท่านั้น และผลขาดทุนนี้ ก็ไม่สามารถที่จะกลับมาเป็นบวกได้อย่างรวดเร็ว เพราะเงินต่างประเทศยังคงไหลเข้ามาต่อเนื่องจากนโยบายเพิ่มปริมาณเงินจากสหรัฐ กลุ่มยูโร และญี่ปุ่น โดยกรณีของญี่ปุ่นนี้ อาจใช้เวลานานถึง 2 ปีในการเพิ่มปริมาณเงิน
“หากไม่ดำเนินการอะไร เชื่อว่า เงินบาทจะแข็งค่าแตะระดับ 26-27 บาท/ดอลลาร์สหรัฐแน่นอน และจะทำให้ผลขาดทุนแบงก์ชาติเรื้อรังและมีจำนวนมาก” พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง
เขากล่าวว่า ทางออกของปัญหา คือ กระทรวงการคลังก็ต้องเข้าไปเพิ่มทุน ซึ่งเงินเพิ่มทุนก็จะต้องมาจากภาษีประชาชน เราก็ไม่พร้อม ทั้งนี้ หนี้ของธปท.ที่หมุนเวียนในตลาดจากการออกพันธบัตรมีถึง 3.1 ล้านล้านบาทจากจำนวนพันธบัตรทั้งหมด 8 ล้านล้านบาท มากกว่าพันธบัตรกระทรวงการคลังที่มีอยู่จำนวน 3 ล้านล้านบาท ฉะนั้น กระทรวงการคลังก็ไม่สามารถรับผิดชอบได้ หรือ แบงก์ชาติจะเป็นผู้รับผิดชอบ ด้วยการพิมพ์เงินออกมาชำระหนี้ ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะจะเกิดเงินเฟ้อ ฉะนั้น เมื่อปัญหาใหญ่ขนาดนี้ ในที่สุดจะเป็นภาระทางการคลังแน่นอน
ผลกระทบด้านที่สอง คือ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาค ได้แก่
1.ภาคการส่งออก ซึ่งจะเห็นได้ว่า ขณะนี้ การส่งออกเริ่มติดลบ แม้เดือนมีนาคมจะเป็นบวกนิดหน่อย แต่หากเทียบกับฐานที่ต่ำในปีก่อน ตัวเลขการส่งออกควรจะเป็นบวกมากกว่านี้ ขณะที่ เงินบาทเริ่มแข็งค่าในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ จะเห็นผลกระทบที่ชัดเจนในช่วงไตรมาสสองและสามของปี
2. ผลกระทบต่อภาคการลงทุน หากดอกเบี้ยนโยบายยังยืนในระดับสูงจะกระทบต่อการลงทุนในภาพรวมอย่างแน่นอน โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐ ซึ่งรัฐบาลมีแผนจะลงทุนถึง 2 ล้านล้านบาท ถ้าดอกเบี้ยเหมาะสมจะสามารถเดินหน้าได้ แต่หากดอกเบี้ยอยู่ในระดับนี้ รัฐบาลไม่สามารถกู้ในประเทศในอัตราดอกเบี้ยสูง ซึ่งจะต้องทดแทนดอกเบี้ยพันธบัตรแบงก์ชาติ ฉะนั้น อาจมีปัญหาในแง่การระดมเงินทุนของรัฐบาลได้ นอกจากนี้ การแข่งขันด้านอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของภาคเอกชนก็เริ่มรุนแรง อาจทำให้การระดมเงินทุนของภาคเอกชนประสบปัญหาเช่นกัน
3.ผลกระทบที่มีต่อเงินเฟ้อในตลาดสินทรัพย์ ซึ่งเกิดจากการที่เงินทุนไหลเข้า ขณะนี้ เริ่มเข้าไปในตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร และ อสังหาริมทรัพย์ เป็นสิ่งที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
4.ผลกระทบต่อตลาดทุน ขณะนี้ ปริมาณพันธบัตรแบงก์ชาติคงค้างมีจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นประเทศเดียวที่มีพันธบัตรแบงก์ชาติมากกว่าพันธบัตรกระทรวงการคลัง เป็นการบิดเบือนตลาดทุนมหาศาล บิดเบือนแม้แต่โครงสร้างดอกเบี้ยในตลาดทุน ซึ่งขณะนี้ ดอกเบี้ยระยะสั้นได้ปรับตัวใกล้เคียงกับระยะยาว เพราะแบงก์ชาติได้เข้าไปลงทุนพันธบัตรระยะสั้นจำนวนมา
เขากล่าวว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นใน 2 ด้านดังกล่าว ถือว่า เป็นความเสียหายที่เทียบเท่ากับความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ซึ่งถือเป็นความบกพร่องของแบงก์ชาติที่จับต้องได้ หากแบงก์ชาติไม่ดำเนินการอะไร อาจถึงขั้นที่ทำให้ประเทศเข้าสู่วิกฤตหายนะ และ จะต้องถือเป็นความรับผิดชอบของแบงก์ชาติด้วย
ทั้งนี้ กฎหมายแบงก์ชาติข้อหนึ่งระบุชัดเจนว่า คณะรัฐมนตรีมีมติให้ปลดผู้ว่าแบงก์ชาติออกจากตำแหน่งโดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือการนำเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยคำแนะนำของคณะกรรมการแบงก์ชาติ เหตุผลเพราะบกพร่องต่อหน้าที่อย่างร้ายแรงหรือหย่อนความสามารถโดยมติของคณะรัฐมนตรีต้องมีความชัดเจน
ขณะที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยก่อนการหารือว่าปัญหาเรื่องค่าเงินบาทได้พูดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหลายครั้งแล้วแต่ยังไม่มีใครดำเนินการในทิศทางที่ควรจะเป็น
“เงินบาทแข็งค่าเป็นสิ่งที่น่าปวดหัวมากและก็ได้พูดในสิ่งควรทำแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครดำเนินการ จนผมรู้สึกหนักใจ” กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง