ไม่ใช่นักวิจารณ์นะครับ
แต่ดูหนังมาแล้ว อยากจะเขียนอะไรบ้าง
"เกียนฟิคชั่น" อาจมีบท และการตัดต่อที่ไม่เนียนเท่า "รักแห่งสยาม"
"เกียนฟิคชั่น" อาจไม่มีลีลาการเล่าเรื่องที่อาร์ตเท่า "Home"
แต่เมื่อดูหนังจบ ผมรู้สึก Happy เป็นสุข Feel Good ประทับใจ และมีรอยยิ้มติดออกมาจากโรงหนังมากกว่าหนังทุกเรื่องของมะเดียว
ตามปกติหนังของมะเดียวจะจบแบบ ตายบ้าง พลัดพรากบ้าง เหมือนมีความหม่นฝากติดกลับบ้านมาด้วย ซึ่งหลายๆ คนบอกต้องจบอย่างเศร้าๆ นี้หละมันเป็นอมตะ และอยู่ในความทรงจำได้นาน แต่ผมไม่คอยชอบเท่าไหร่ ชีวิตมันก็มีปัญหามากพออยู่แล้ว ดูหนังตั้งใจจะไปผ่อนคลาย ทำให้ต้องมาฝากความหม่นมาให้ด้วยฟะ
แต่ "เกียนฟิคชั่น" เป็นหนังที่เนื้อหาพูดถึงประเด็นที่หนักและหม่นมากในชีวิตที่เราพบเห็นกันอยู่บ่อยๆ แต่มะเดียวเลือกที่จะเล่าเรื่องหนักๆ แบบนี้อย่าง positive มีความหวัง ทุกปัญหามีทางออก และจบแบบ Happy อิ่มอกอิ่มใจ
ผมชอบการเล่าเรื่องของมะเดียวครั้งนี้มากกว่าหนัง ๒ เรื่องที่กล่าวมาข้างต้น
ฝีมือการกำกับของมะเดียวยังคง เทพ อยู่ ไม่ผิดหวังเหมือนกับผลงานที่ผ่านๆ มา (เคยผิดหวังจาก ฝัน หวาน อาย จูบ มาครั้งเดียว เลยพยายามจะไม่ตั้งความหวังกับหนังของมะเดียวมากนัก เพราะกลัวผิดหวัง)
หนังเรื่องนี้ นักแสดงทุกคนเล่นได้เป็นธรรมชาติ และมีเสน่ห์มาก และแสดงบทบาทที่ตัวเองได้รับอย่างดีทุกตัวละคร และผมเห็นด้วยกับหลายๆ ท่านที่ว่าคนที่เล่นเป็นตี๋ เล่นได้เป็นธรรมชาติดีมาก และดูมีเสน่ห์มาก
บทที่หลายคนว่าเหมือนเป็น ๒ เรื่องมาต่อกัน ผมกลับเห็นต่างว่า มันเป็นเรื่องเดียวกันที่ส่งเสริมกันเป็นอย่างดี
ช่วงแรกเป็นการแนะนำตัวละคร ความสดใสของเด็ก ม.ปลาย และนำไปสู่เหตุการณ์ที่สร้างแผลเป็นในใจของตัวละครหลายๆ คน
ส่วนครึ่งหลังที่ใครว่าเป็น road movie ผมกลับว่าเป็นส่วนของการตัดสินใจของตัวละครเอกที่นำไปสู่การเรียนรู้ที่จะเติบโตขึ้น การเห็นคุณค่าของตัวเอง และประสบการณ์การเรียนรู้ความรู้สึกของคนที่ต้องอายจนสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไป ซึ่งรับส่งบทจากช่วงแรกเป็นอย่างดีและช่วยคลี่คลายปัญหาที่ผูกไว้ตั้งแต่ช่วงแรก
การตัดต่อ การลำดับภาพของหนังผมชอบมาก การที่หนังใช้ภาพที่เหมือนกับการถ่าย clip เหมือนกับที่นิยมกันในปัจจุบันทำให้หนังดูเป็นหนังของวัยเกียนได้เป็นอย่างดี ซึ่งผมว่าเป็นความฉลาดของมะเดียวที่ใช้ภาพลักษณะเช่นนี้
ผมชอบลีลาการเล่าเรื่องของมะเดียว มาก
พฤติกรรมหลายคนในเรื่อง ถ้าเป็นหนังทั่วไปจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มคนเลว ตัวโกง แต่มะเดียวกลับทำให้ตัวละครที่มีพฤติกรรมเหล่านี้ เป็นคนปกติที่พบเห็นได้ในสังคม มีทั้งส่วนที่ดีและเลวปะปนกันไป แต่ถึงจะเคยทำผิดพลาดไปแล้ว ก็ยังสามารถแก้ไขชีวิตที่เหลือต่อให้ดีขึ้นได้
ประเด็นความรักระหว่างเพื่อนที่มีต่อกัน ทำให้น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ตามปกติหนังที่ทำให้ผมเสียน้ำตาได้มีน้อยมาก แต่มะเดียวก็สามารถดึงน้ำตาแห่งความปลื้มใจออกมาจนได้
ประเด็นระหว่าง ตี๋ กับ ทิพย์ เป็นประเด็นที่แรงมาก แต่มะเดียวเลือกที่จะสื่อ ความสัมพันธ์ในเชิง Positive ที่มีต่อกัน ทำให้รู้สึกเข้าใจตัวละครมากขึ้น
ผมลองมาคิดดูว่าหนังเรื่องนี้ ถ้าผมต้องทำประชาสัมพันธ์ จะทำออกมาอย่างไรดี แล้วที่ทำอยู่ตอนนี้ถูกทางหรือเปล่า ?
ตัวอย่างหนังที่ทำอยู่ อาจดูเหมือนหนังวัยรุ่น สดใส สนุกๆ กลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กวัยรุ่นทั่วไป
แล้วคำถามเมื่อดูหนังแล้ว ว่าเหมาะสำหรับวัยรุ่นหรือเปล่า ?
ผมว่าวัยรุ่นถ้าเข้าไปดู ก็น่าจะได้ประโยชน์จากหนังอยู่ น่าจะเห็นข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ ถ้าตัดสินใจผิดพลาด โดยหนังไม่จำเป็นต้องมีบทที่เหมือนเลกเชอร์ที่บอกไปโต้งๆ ว่าสิ่งนี้ไม่ดี ห้ามทำ ผมว่าการนำเสนออย่างหนังเรื่องนี้น่าจะเข้าไปอยู่ในใจของเด็กวัยรุ่นได้ดีกว่านะ
ข้อเสียของการตลาดแบบตอนนี้ผมว่าอาจทำให้พลาดกลุ่มผู้ใหญ่ที่ชอบดูหนังเนื้อหาหนักๆ ไปได้
"เกียนฟิคชั่น" เป็นหนังอีกเรื่องที่ถ้ามีโอกาส ผมสามารถเดินเข้าไปดูอีกรอบได้ครับ ไม่เสียดายตังส์
อยากให้คอหนังทั้งหลายไม่พลาดหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนต์ครับ
หนังดี 8.5/10 ครับ หนังดีที่ไม่จำเป็นต้องใช้ทุนมาก ฝีมือล้วนๆ ครับ
เกียนฟิคชั่น หนังชีวิต Feel Good ที่อยากให้ไปดูกัน
แต่ดูหนังมาแล้ว อยากจะเขียนอะไรบ้าง
"เกียนฟิคชั่น" อาจมีบท และการตัดต่อที่ไม่เนียนเท่า "รักแห่งสยาม"
"เกียนฟิคชั่น" อาจไม่มีลีลาการเล่าเรื่องที่อาร์ตเท่า "Home"
แต่เมื่อดูหนังจบ ผมรู้สึก Happy เป็นสุข Feel Good ประทับใจ และมีรอยยิ้มติดออกมาจากโรงหนังมากกว่าหนังทุกเรื่องของมะเดียว
ตามปกติหนังของมะเดียวจะจบแบบ ตายบ้าง พลัดพรากบ้าง เหมือนมีความหม่นฝากติดกลับบ้านมาด้วย ซึ่งหลายๆ คนบอกต้องจบอย่างเศร้าๆ นี้หละมันเป็นอมตะ และอยู่ในความทรงจำได้นาน แต่ผมไม่คอยชอบเท่าไหร่ ชีวิตมันก็มีปัญหามากพออยู่แล้ว ดูหนังตั้งใจจะไปผ่อนคลาย ทำให้ต้องมาฝากความหม่นมาให้ด้วยฟะ
แต่ "เกียนฟิคชั่น" เป็นหนังที่เนื้อหาพูดถึงประเด็นที่หนักและหม่นมากในชีวิตที่เราพบเห็นกันอยู่บ่อยๆ แต่มะเดียวเลือกที่จะเล่าเรื่องหนักๆ แบบนี้อย่าง positive มีความหวัง ทุกปัญหามีทางออก และจบแบบ Happy อิ่มอกอิ่มใจ
ผมชอบการเล่าเรื่องของมะเดียวครั้งนี้มากกว่าหนัง ๒ เรื่องที่กล่าวมาข้างต้น
ฝีมือการกำกับของมะเดียวยังคง เทพ อยู่ ไม่ผิดหวังเหมือนกับผลงานที่ผ่านๆ มา (เคยผิดหวังจาก ฝัน หวาน อาย จูบ มาครั้งเดียว เลยพยายามจะไม่ตั้งความหวังกับหนังของมะเดียวมากนัก เพราะกลัวผิดหวัง)
หนังเรื่องนี้ นักแสดงทุกคนเล่นได้เป็นธรรมชาติ และมีเสน่ห์มาก และแสดงบทบาทที่ตัวเองได้รับอย่างดีทุกตัวละคร และผมเห็นด้วยกับหลายๆ ท่านที่ว่าคนที่เล่นเป็นตี๋ เล่นได้เป็นธรรมชาติดีมาก และดูมีเสน่ห์มาก
บทที่หลายคนว่าเหมือนเป็น ๒ เรื่องมาต่อกัน ผมกลับเห็นต่างว่า มันเป็นเรื่องเดียวกันที่ส่งเสริมกันเป็นอย่างดี
ช่วงแรกเป็นการแนะนำตัวละคร ความสดใสของเด็ก ม.ปลาย และนำไปสู่เหตุการณ์ที่สร้างแผลเป็นในใจของตัวละครหลายๆ คน
ส่วนครึ่งหลังที่ใครว่าเป็น road movie ผมกลับว่าเป็นส่วนของการตัดสินใจของตัวละครเอกที่นำไปสู่การเรียนรู้ที่จะเติบโตขึ้น การเห็นคุณค่าของตัวเอง และประสบการณ์การเรียนรู้ความรู้สึกของคนที่ต้องอายจนสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไป ซึ่งรับส่งบทจากช่วงแรกเป็นอย่างดีและช่วยคลี่คลายปัญหาที่ผูกไว้ตั้งแต่ช่วงแรก
การตัดต่อ การลำดับภาพของหนังผมชอบมาก การที่หนังใช้ภาพที่เหมือนกับการถ่าย clip เหมือนกับที่นิยมกันในปัจจุบันทำให้หนังดูเป็นหนังของวัยเกียนได้เป็นอย่างดี ซึ่งผมว่าเป็นความฉลาดของมะเดียวที่ใช้ภาพลักษณะเช่นนี้
ผมชอบลีลาการเล่าเรื่องของมะเดียว มาก
พฤติกรรมหลายคนในเรื่อง ถ้าเป็นหนังทั่วไปจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มคนเลว ตัวโกง แต่มะเดียวกลับทำให้ตัวละครที่มีพฤติกรรมเหล่านี้ เป็นคนปกติที่พบเห็นได้ในสังคม มีทั้งส่วนที่ดีและเลวปะปนกันไป แต่ถึงจะเคยทำผิดพลาดไปแล้ว ก็ยังสามารถแก้ไขชีวิตที่เหลือต่อให้ดีขึ้นได้
ประเด็นความรักระหว่างเพื่อนที่มีต่อกัน ทำให้น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ตามปกติหนังที่ทำให้ผมเสียน้ำตาได้มีน้อยมาก แต่มะเดียวก็สามารถดึงน้ำตาแห่งความปลื้มใจออกมาจนได้
ประเด็นระหว่าง ตี๋ กับ ทิพย์ เป็นประเด็นที่แรงมาก แต่มะเดียวเลือกที่จะสื่อ ความสัมพันธ์ในเชิง Positive ที่มีต่อกัน ทำให้รู้สึกเข้าใจตัวละครมากขึ้น
ผมลองมาคิดดูว่าหนังเรื่องนี้ ถ้าผมต้องทำประชาสัมพันธ์ จะทำออกมาอย่างไรดี แล้วที่ทำอยู่ตอนนี้ถูกทางหรือเปล่า ?
ตัวอย่างหนังที่ทำอยู่ อาจดูเหมือนหนังวัยรุ่น สดใส สนุกๆ กลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กวัยรุ่นทั่วไป
แล้วคำถามเมื่อดูหนังแล้ว ว่าเหมาะสำหรับวัยรุ่นหรือเปล่า ?
ผมว่าวัยรุ่นถ้าเข้าไปดู ก็น่าจะได้ประโยชน์จากหนังอยู่ น่าจะเห็นข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ ถ้าตัดสินใจผิดพลาด โดยหนังไม่จำเป็นต้องมีบทที่เหมือนเลกเชอร์ที่บอกไปโต้งๆ ว่าสิ่งนี้ไม่ดี ห้ามทำ ผมว่าการนำเสนออย่างหนังเรื่องนี้น่าจะเข้าไปอยู่ในใจของเด็กวัยรุ่นได้ดีกว่านะ
ข้อเสียของการตลาดแบบตอนนี้ผมว่าอาจทำให้พลาดกลุ่มผู้ใหญ่ที่ชอบดูหนังเนื้อหาหนักๆ ไปได้
"เกียนฟิคชั่น" เป็นหนังอีกเรื่องที่ถ้ามีโอกาส ผมสามารถเดินเข้าไปดูอีกรอบได้ครับ ไม่เสียดายตังส์
อยากให้คอหนังทั้งหลายไม่พลาดหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนต์ครับ
หนังดี 8.5/10 ครับ หนังดีที่ไม่จำเป็นต้องใช้ทุนมาก ฝีมือล้วนๆ ครับ