ซื้อ กองทุนรวมไว้แล้วจำเป็นมั้ย ที่ต้องติดตาม คอยขายคืน ซื้อใหม่ หรือ ดองไว้จนถึงเป้าหมายเช่น 10% ฯลฯ (มือใหม่)

กระทู้คำถาม
เป็นมือใหม่ครับ ซื้อกองทุนรวมไว้แล้ว พอประมาณ
ซื้อ กองทุนรวมไว้แล้วจำเป็นมั้ย ที่ต้องติดตาม คอยขายคืน ซื้อใหม่ เมื่อเห็นมีกำไร งอกขึ้นมา
หรือ ดองไว้จนถึงเป้าหมาย ที่จะกำหนดไว้ เช่น 10% ฯลฯ (มือใหม่)

แล้ว ถ้าทำการซื้อขายคืน ซื้อใหม่นี้  ปลายทาง ผลตอบแทนกำไร
จะ  ต่างกับ    การดอง แล้ว ใส่เงินลงไปเรื่อยๆ ไว้เรื่อยๆ อย่างไรครับผม


รบกวนพี่ ผองเพื่อนในห้อง ช่วยชี้แนะนำ ด้วยครับผม ขอบคุณมากๆ นะครับ ยิ้ม

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
อันนี้เป็นวิธีที่เราใช้กับกองทุนหุ้นปันผล ของเก่าเล่าอีก ชอบก็ลองใช้ ไม่ชอบก็ผ่านเลยไป

ไม่ได้ยาก หรือ ซับซ้อนอะไร เน้นความเรียบง่าย คือ
1. มองการลงทุนในกองทุนเป็นการออมเงินในระยะยาว และ ต้องนำเงินเย็นจริงๆเท่านั้นเพื่อมาลงทุน เพราะมันคือหุ้น ความผันผวนสูง
2. สะสมหน่วยลงทุนแบบทบต้นไปเรื่อยๆ จากงบที่เตรียมไว้ในแต่ละปี และ จากเงินปันผลที่ได้รับกลับไปลงทุนต่อ (Re-Investment) โดยที่ไม่ขายหน่วยลงทุน (เพราะถือว่าเงินส่วนนี้เป็นเงินเย็นตั้งแต่แรกเพื่อการออมเงิน ตามที่เราตกลงกับตัวเองไว้)
3. มันก็จะช่วยลดต้นทุนของ NAV ตัวเองโดยอัตโนมัติ เราขอเรียกว่าการ Cost Reduction เมื่อทำตาม ข้อ 2 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งระยะยาวแล้วหน่วยลงทุนจะมากขึ้น
4. ประโยชน์จากข้อ 3 มัน จะเกิดส่วนต่างของราคาต้นทุนเรา กับ ราคากลางของกองทุน ซึ่งขอเรียกมันว่าส่วนเผื่อความปลอดภัย มันจะช่วยให้เรามีผลกระทบน้อย หรือ มีเวลาถอนตัวทัน ในสภาวะที่ตลาดตกลงอย่างรุนแรง จากราคาหุ้นที่กองทุนไปซื้อไว้ (เช่นต้มยำกุ้งถ้ามันจะเกิดขึ้นอีก) เราจะมีเวลาขายคืนทันมากกว่าคนอื่นซึ่งยังพอได้กำไรบางส่วนกลับมา หรือ ที่เลวร้ายที่สุดก็คือยังได้ทุนคืน

***ทุกวันนี้จึงให้ความสำคัญกับข้อ 4 นี้มากที่สุด***

5. สุดท้ายเมื่อหน่วยลงทุนเรามากขึ้น เงินปันผลของเราก็จะมากขึ้น เมื่อเงินปันผลของเรามากขึ้น เราก็จะมีเงินไปลงทุนทบต้นต่อมากขึ้น จนเราไม่จำเป็นต้องนำเงินต้นเพื่อนำมาลงทุนอีกต่อไป เพียงแต่เรานำเงินปันผลกลับไปลงทุนต่อทั้งหมด หรือ ใช้บางส่วน และ ลงทุนทบต้นต่อบางส่วน จนเราได้เงินต้นทุนคืนทั้งหมด หรือ เรียกว่า ต้นทุนเป็น 0 หลังจากนั้นเท่ากับว่าเราถือหน่วยลงทุน **ฟรี**
6. จาก ข้อ1 - ข้อ5 มันคือตัวสรุปของสิ่งที่ทุกคนไขว่คว้า คือ อิสระภาพทางการเงิน (FINANCIAL FREEDOM) ซึ่งหมายถึง
    
- การมีรายได้แบบไม่ต้องทำงาน
(PASSIVE INCOME) จากกระแสเงินสด (CAST FLOW) ที่ได้มาจากเงินปันผล (DIVIDEND) ที่เพียงพอกับการใช้จ่ายของเรา และ ครอบครัวไปตลอดชีวิต หรือ การมีรายได้มากกว่ารายจ่ายอยู่ตลอดเวลา หรือ
เพียงพอกับการใช้จ่ายที่คาดการณ์ในแต่ละปี

มันเหมือนการทำฟาร์มเลี้ยงวัวนม หรือ การเลี้ยงห่านที่ออกไข่ทองคำ ดั่งที่มีเปรียบเปรยกันทั่วไป เพราะตราบใดที่เรายังไม่ขายแม่วัวนมพันธ์ดี หรือ แม่ห่านที่ออกไข่ทองคำ เราก็ยังมีนมจากแม่วัวไว้เลี้ยงชีพเป็นระยะ หรือ มีไข่ทองคำเก็บเอาไปขายเป็นระยะ โดยที่เราไม่ต้องทำงานอีกต่อไป เพียงแต่เราต้องดูแลทั้งแม่วัว และ แม่ห่าน ให้อยู่กับเราให้นานที่สุดเท่านั้นเอง

มันยากตรงที่เราจะมีวินัยกับตัวเองได้นานเพียงใด และ ควบคุมความโลภ ความกลัวของตนเองได้มากเพียงใด เท่านั้นเอง

"วิธีของเรา คือ อดเปรี้ยวไว้กินหวาน" เน้นอึด สงบนิ่ง และ คอยปรับตัวให้ทันตามสถานะการณ์ เท่านั้นพอ

เราไม่มี เทคนิคการคำนวนทางตัวเลข ไม่ใช่เซียน ไม่มีความรู้เรื่องหุ้น ไม่มีปรัชญา จึงคิดว่าควรลงทุนกับกองทุนรวมน่าจะเหมาะสมกับจริตตนเองมากที่สุด โดยกำหนดวางแนวความคิดของตนเองแบบนี้ เพื่อให้อยู่ในตลาดได้อย่างปลอดภัย มีความสุข และ มีอนาคตที่สดใส ยั่งยืน ไม่ลำบาก ทุกอย่างเราว่ามันเริ่มที่แนวคิดก่อนว่ามันเหมาะกับเราหรือไม่ และ มันสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการลงทุนได้หลายประเภท ขอให้ลงทุนแบบ Win Win ซึ่งหมายถึง ตลาดหมีมาก็ดี(หุ้นแดง) , ตลาดกระทิงมาก็ดี(หุ้นเขียว)

ขอให้มองข้อดีของตลาดหุ้นในทุกช่วงเวลา และ นำมาเป็นประโยชน์สำหรับตัวเรา เพราะส่วนมากคนในตลาดหุ้นมีความสุขในช่วงตลาดขาขึ้นแค่ 30% ส่วนอีก 70% ต้องกังวล และ ไม่มีความสุขกับช่วงตลาดขาลง

แต่ถ้าเป็นเรา ตลาดสีแดง หมีมาตะปบแล้ว
เรามองเป็นแดงทับทิมที่มีค่ามาก ก็จะได้เวลาซื้อของดีราคาถูก ถ้าตลาดสีเขียว กระทิงขวิดเสยแล้ว ก็เป็นสัญญาณดีเพื่อเตรียมรับเงินปันผล เพื่อนำกลับไปลงทุนทบต้นต่อไป

จากสถิติตลาดหุ้นมีคนกำไรมีเพียง 10% นอกนั้นขาดทุนหรือเสมอตัว จงลงทุนแบบคิดให้ต่าง ให้ตนเองอยู่ใน 10% นั้นให้ได้นะ

ส่วนตัวแล้ว จะสนใจกระแสเงินสดที่เข้ามาเป็นระยะจากเงินปันผล ราคาที่ขึ้นลงจึงไม่ค่อยมีผลกับแนวคิดนี้เท่าไหร่นัก เพราะตนเองไม่ได้ต้องการทำกำไรจากส่วนต่างราคาแบบเก็งกำไร เราจึงชอบบอกว่าแนวทางการรับผลตอบแทนมันคนละรูปแบบกัน นำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ ราคาจะมีผลกับเราอีกทีที่ทำให้ตัดสินใจก็คือช่วงที่กองทุนประกาศวัน XD ว่าเรายอมรับราคาและพร้อมจะเข้าลงทุนต่อหรือไม่ ส่วนราคาที่ขึ้นไปตามตลาด จะถือว่าเป็นหน้าที่ของ ผจก.กองทุนในการตัดสินใจแทนเราเพื่อทำราคาและนำเงินปันผลมาจ่ายให้เราเป็นระยะตามคอนเซ็ปกองทุน เราถือว่าในเมื่อเรายอมรับในการเข้าลงทุนกองทุนใดแล้วก็ควรเชื่อใจในระดับหนึ่ง

เรื่องลดความเสี่ยงของเรานั้นจะหมายถึง ต้นทุนจากการทบต้นในระยะยาว ต่ำกว่าราคาตลาดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอุ่นใจ จากวิกฤตในอนาคต (ถ้ามี)

ทั้งนี้การรับเงินปันผลเพื่อหวังเป็นรายได้ในอนาคต ควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงไปสินทรัพย์อื่นที่มีความเสี่ยงในระดับที่แตกต่างกันด้วย เพราะอนาคตไม่มีความแน่นอน ต้มยำกุ้งครั้งก่อนราคากองทุนเหลือเพียง 50% ก็มีให้เห็นมาแล้ว ดังนั้น ณ ปัจจุบัน จึงควรเตรียมแนวทางไว้แต่เนิ่นๆ ทั้งการเตรียมตัวตั้งรับ สังเกตุการณ์ หรือ เตรียมเผ่น อย่างน้อยการมีส่วนต่างราคาต้นทุนของเรากับราคากลางมากๆนั้น การเผ่นของเราอย่างน้อยก็ยังได้กำไรบ้าง หรือ อย่างเลวร้ายที่สุดก็ได้ทุนคืน แบบถอนตัวทัน ทั้งนี้อยู่ที่จังหวะการตัดสินใจของแต่ละคนในช่วงนั้นแล้วหล่ะนะ

เรามองการสะสมจำนวนหน่วยลงทุนที่มากขึ้นเป็นหลัก เพื่อสร้างกระแสเงินสดจากเงินปันผลที่มากขึ้นในอนาคต จึงมีแต่ซื้อนะ ไม่เคยขายออก เงินเท่ากันแต่ถ้าซื้อได้ถูก จำนวนหน่วยก็จะมากกว่า คนที่ซื้อราคาสูงกว่าเรา

ส่วนการเลือกลงทุนว่าจะเลือกกองทุนแบบจ่ายปันผล หรือ ไม่จ่ายปันผลนั้น แบบไหนดีกว่ากัน
เรามันก็สุดแล้วแต่ความชอบ ความพึงพอใจ ของแต่ละคน ในกรณีกองทุนที่ไม่จ่ายเงินปันผลบางท่านก็จะมีการคำนวนตัวเลขส่วนต่างราคาแล้วนำมาเปรียบเทียบกับกองทุนหุ้นปันผลว่าผลตอบแทนดีกว่าเนื่ิองจากไม่ต้องเสียภาษี 10% ส่วนตัวมองว่าไม่จริงเสมอไป เพราะ ผจก.กองทุน มีความสามารถในการเลือกหุ้น จังหวะการลงทุน ระยะเวลา การสร้างผลตอบแทน ประกอบกับจังหวะการ เข้า-ออก ตลาดของตัวผู้ลงทุนเองที่มีจำนวนครั้งในรอบปี ที่มีความหลากหลายไม่เหมือนกัน มีผลทำให้มีความแตกต่างทางด้านผลตอบแทน แนวคิดการเปรียบเทียบดังกล่าวเรามองว่าเป็นเการมองเพียงด้านเดียว ช่วงตัวเลขเดียว ระยะเวลาเดียว ที่นำมาเปรียบเทียบกันเท่านั้น เรามองว่าการเปรียบเทียบควรมองในภาพรวมในระยะยาวว่าผลตอบแทนในช่วงเวลาเดียวกันในแต่ละรอบปีได้เป็นกี่เปอร์เซนต์ ต่อ ปี น่าจะใกล้เคียงความจริงมากกว่า โดยเปรียบเทียบตัวเลขของกองทุนในประเภทเดียวกันเท่านั้น

ส่วนเรื่องจังหวะการเข้าลงทุนนั้น ที่เราเข้าใจก็มีอยู่ 3 รูปแบบ คือ
1. ลงทุนวันที่ราคาปรับตัวลดลงมากๆ ตามสถานะการณ์ของตลาด
2. ลงทุนช่วงวัน XD ที่กองทุนพิจารณาตัดจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ลงทุนซึ่งมีผลทำให้ราคาลดลงตามมูลค่าเงินปันผลที่ตัดจ่ายในเบื้องต้น บวก-ลบ ราคาตามตลาด ณ วันดังกล่าวอีกส่วนหนึ่ง
3. ลงทุนแบบถัวเฉลี่ยลงทุนตามจำนวนเงิน และ ระยะเวลาที่เท่าๆ กันอย่างต่อเนื่อง (DCA) เพื่อให้ภาพรวมมูลค่าต้นทุนได้ค่าเฉลี่ยที่ไม่สูงเกินไป แต่ก็จะไม่ได้ค่าเฉลี่ยต้นทุนที่ใกล้เคียงค่าที่ต่ำที่สุด

การลงทุนเราเชื่อว่าต้องใช้ระยะเวลาเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดี สามารถต้านทานความผันผวนของตลาดได้มากยิ่งขึ้น แต่ระยะเวลาของเราในการเข้าลงทุน คือ จะไม่ใช้ระยะเวลากับวิธีที่ 3 (DCA) ในการเข้าซื้อ
แต่จะใช้วิธีที่ 1 และ 2 โดยเราจะรอจนกว่าจะมั่นใจว่าได้ของถูกจริงๆ ถึงจะซื้อ และ จะซื้อมากๆ ตามงบประมาณรายปี และ เงินปันผลที่สะสมอยู่จากรอบที่ผ่านๆมา มันเหมือนกับการที่เราได้ซื้อที่ราคาปัจจุบัน และ ซื้อความจริงว่าเราซื้อได้ใกล้เคียงราคาที่ถูกที่สุดในระดับหนึ่ง และ เราไม่ห่วงเรื่องการเสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทนก่อนหน้าที่เราจะซื้อ เรายินดีรอรับผลตอบแทนในรอบถัดไปได้ เพราะเรามองที่กระแสเงินสดจากเงินปันผลในอนาคตเท่านั้น
ไม่ได้สนใจราคาที่ ขึ้น-ลง รายวันเพื่อเก็งกำไรแค่ในวันนี้ เรามองว่าเมื่อเรามั่นใจว่าของถูกมันมี เพียงแต่ไม่ใช่ตอนนี้ แล้ววันนี้เราจะยอมซื้อแพงไปทำไม อีกทั้งไม่รู้อนาคต ว่า DCA ไปแล้วราคาจะไปในทิศทางใด เราคิดว่ารอเวลาว่าได้ของถูกแน่ๆ จึงดีที่สุด ไม่ต้องมาคอยกังวลว่า
- ถัวราคาแพงไปมั้ย? (ถ้าแพงแล้วราคาไปต่อก็ถือว่ายังโอเค สำหรับการเก็งกำไร แต่คนที่ชอบเงินปันผลวิธีนี้จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น) หรือ
- ทำไมยิ่งถัวราคายิ่งลด? (อันนี้หนักเลยไม่รู้ว่าราคาจะปรับตัวขึ้นมาเพื่อสร้างกำไรได้อีกที เมื่อไหร่ นานแค่ไหน สำหรับการเก็งกำไร แต่คนชอบเงินปันผลวิธีนี้จะทำให้ต้นทุนเฉลี่ยค่อยๆ ต่ำลงไป)

สรุปแล้วมันมีผลกับจิตวิทยาการลงทุนของเราเป็นการส่วนตัว เราเลยไม่ใช้วิธีการ DCA
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่