3ปมน่าห่วงคดีพระวิหาร'ไม่ง่าย...ที่จะชนะ'

เสร็จสิ้นไปแล้วกับทีมทนายไทยขึ้นชี้แจงต่อศาลโลก กรณีกัมพูชายื่นให้ศาลตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ปี 2505 ถึงขั้นที่หลายคนมั่นใจว่า "งานนี้ชนะแน่" และเท่ากับได้สะสางอดีตอันแสนเจ็บช้ำด้วย

              ทว่าในความเห็นของ รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเกาะติดข้อพิพาทนี้มาตั้งแต่ต้น กลับเห็นว่ายังมีอีกหลายประเด็นที่สังคมไทยอาจจะหลงลืมหรือมองข้ามไป

              "ถึงจุดนี้ยังบอกไม่ได้ว่าเราจะได้ในสิ่งที่เราต้องการ เพราะกัมพูชาก็มั่นใจในแนวทางของเขา ไม่อย่างนั้นกัมพูชาคงไม่จำเป็นต้องนำเรื่องกลับไปสู่ศาลโลกอีกครั้ง"
หลักฐานค้านล้อมรั้ว

              1.ไทยเสนอประเด็นการล้อมรั้วลวดหนามองค์ปราสาทพระวิหารหลังคำพิพากษาปี 2505 เพื่อบอกว่าไทยปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว และว่ากัมพูชาไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้าน และไม่เคยติดใจพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรมาก่อนเลย เพิ่งมาสนใจเมื่อไม่นานมานี้เอง

              ประเด็นนี้กัมพูชาได้โต้กลับมา โดยระบุว่า มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรว่ากัมพูชาเคยประท้วงหรือแสดงความไม่เห็นด้วยกับการล้อมรั้วลวดหนามของไทย จึงได้ไปตามอ่านต่อว่ากัมพูชาประท้วงอย่างไร สรุปว่าได้มีการแสดงความเห็นผ่านเจ้าหน้าที่ต่างประเทศหลายครั้ง เช่น บันทึกของสถานทูตฝรั่งเศสที่รายงานไปยังกระทรวงการต่างประเทศของตน ก็มีการรายงานว่าทั้งนายกรัฐมนตรีกัมพูชา (ในขณะนั้น) และสมเด็จพระนโรดม สีหนุ (พระมหากษัตริย์กัมพูชา) ได้แถลงการณ์คัดค้าน

              หรืออย่างประเด็นการล้อมรั้วลวดหนาม ก็มีปรากฏในรายงานของผู้แทนเลขาธิการยูเอ็น (องค์การสหประชาชาติ) ในขณะนั้นที่ถูกส่งเข้าไปเจรจาไกล่เกลี่ยปัญหา ก็ระบุว่าให้ยึดหลักขันติ อดทนอดกลั้น

              ในส่วนของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา บอกว่าไทยรุกรานเข้าไปในดินแดนของกัมพูชา ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลโลก ส่วนสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ก่อนที่จะเสด็จไปยังปราสาทพระวิหารก็มีความวิตกจากทางกัมพูชาอย่างมากว่าจะไม่ปลอดภัย เพราะไทยตรึงกำลังอยู่ และหลังจากที่เสด็จขึ้นไปแล้วก็มีแถลงการณ์คัดค้านออกมา

              ประเด็นเหล่านี้กัมพูชามีเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรแนบไปด้วย แต่สื่อไทยไม่ค่อยได้เสนอเท่าไร เหมือนกับว่ากัมพูชาไม่ได้โต้แย้งอะไรเลย จึงยากที่จะบอกว่าไทยได้เปรียบทางคดี

              นอกจากนั้น ไทยยังเน้นย้ำว่าศาลไม่ควรรับพิจารณาคำร้องของกัมพูชาเพราะไม่มีความขัดแย้งเรื่องการตีความคำพิพากษาของศาล กัมพูชายอมรับเส้นรั้วลวดหนามที่ไทยล้อมเอาไว้ แต่กัมพูชามีหลักฐานว่าการตั้งรั้วลวดหนามของไทยเองก็ไม่ชัดเจน เพราะมีการทำแผนที่ 2 ฉบับเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เลือก และในที่สุด ครม.ไทยก็เลือกพื้นที่เล็ก โดยในบันทึกการประชุม ครม. ไม่ได้อธิบายว่าใช้หลักเกณฑ์อะไรในการเลือกหรือกำหนดพื้นที่
หักล้างแผนที่มีน้ำหนักจริงหรือ

              2.หลักฐานการทำแผนที่ชุดใหม่ของ อลินา มิรอง ผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่ หนึ่งในทีมกฎหมายของไทย เพื่อบอกว่าศาลไม่ควรรับพิจารณาคำร้องของกัมพูชา หรือถ้ารับตีความก็ไม่ควรใช้แผนที่ในภาคผนวก 1 ที่ไทยเรียกว่าแผนที่ 1:200,000 เพราะเป็นแผนที่ที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชัดเจน และจะวุ่นวายหากใช้แผนที่ฉบับนี้ในการปักปันเขตแดน โดยเปรียบเทียบกับแผนที่ชุดใหม่ซึ่ง "ไอบีอาร์ยู" หรือหน่วยวิจัยเขตแดนระหว่างประเทศ (International Boundaries Research Unit) เคยทำเปรียบเทียบเอาไว้ และเห็นปัญหาของแผนที่ 1:200,000

              ประเด็นนี้ไม่แน่ใจว่าศาลจะใช้เป็นข้อพิจารณามากน้อยแค่ไหน เพราะเป็นที่รู้กันว่าเทคโนโลยีในการทำแผนที่ในปัจจุบันดีกว่าเมื่อ 100 ปีที่แล้วมาก ความถูกต้องแม่นยำย่อมเทียบกันไม่ได้ แต่แผนที่ชุดนี้ (ภาคผนวก 1) เป็นหลักฐานสำคัญของการพิจารณาคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 ว่าปราสาทอยู่ใต้อธิปไตยของกัมพูชา จึงไม่แน่ใจว่าแผนที่ใหม่จะทำลายสถานะของแผนที่ภาคผนวก 1 ได้หรือไม่

              นอกจากนั้น แผนที่ 1:200,000 ยังถูกนำไปบรรจุในความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ.2543 หรือเอ็มโอยู 43 ด้วย สรุปว่าแผนที่ฉบับนี้มีสถานะทางกฎหมายอยู่ และใช้ในการปักปันเขตแดนกับลาว แผนที่ชุดนี้มี 11 ระวาง โดยระวางดงรักที่มีปัญหากันอยู่เป็นหนึ่งในแผนที่ชุดนี้
vicinity ของไทยยึดหลักอะไร

              3.เรื่องบริเวณใกล้เคียงปราสาท หรือ vicinity มีประเด็นคือ หลังฝ่ายไทยแถลงด้วยวาจาจบลงเมื่อวันที่ 17 เมษายน ผู้พิพากษาท่านหนึ่งขอให้ทั้งสองฝ่ายไปทำรายงานมาให้ชัดเจนว่า vicinity ในความเห็นของฝ่ายตนมีขอบเขตแค่ไหน

              แน่นอนว่ากัมพูชาต้องบอกว่าขอบเขตของ vicinity คือเส้นที่ปรากฏตามแผนที่ภาคผนวก 1 โดยมีเหตุผลรับรองตามที่ปรากฏในคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อปี 2505 เพราะศาลเขียนไว้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายให้การยอมรับเส้นบนแผนที่ แล้วตัดสินให้ปราสาทอยู่ในเขตแดนของกัมพูชา สรุปคือกัมพูชาไม่ได้คิดขึ้นมาเอง

              แต่ในส่วนของไทย มีความชัดเจนว่า vicinity ที่ไทยต้องการคือเขตที่ล้อมรั้วลวดหนามเอาไว้ แต่ยังไม่เคยได้ยินเหตุผลว่าใช้หลักการอะไรในการกำหนดเขตดังกล่าว ฉะนั้นไทยต้องแสดงเหตุผลที่น่าเชื่อถือให้ศาลยอมรับให้ได้ ซึ่งน่ากังวลอยู่เหมือนกัน

              "จากเหตุผลทั้งหมดจึงสรุปได้ว่า...ไม่ง่ายเลยที่จะบอกว่าเราชนะแน่ บอกได้แต่เพียงว่าเรื่องนี้หิน" รศ.ดร.พวงทอง ระบุ

              แนวโน้มหลังจากนี้จึงต้องดูปฏิกิริยาหลังคำพิพากษาของศาลว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าศาลไม่รับพิจารณา อาจจะด้วยเหตุผลว่าคำร้องเกินกว่าคำพิพากษาเดิม และศาลไม่ได้ตัดสินเรื่องเขตแดน ถ้าออกแนวนี้สำหรับไทยก็ถือว่าเสมอตัว หรือจะบอกว่าชนะก็ได้ พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรก็ยังเป็นพื้นที่พิพาทเหมือนเดิม

              แต่ก็มีโอกาสที่ทุกฝ่ายโดยเฉพาะสื่อมวลชนจะช่วยกันบอกว่าพื้นที่นี้อยู่ใต้อธิปไตยของประเทศใดประเทศหนึ่งเด็ดขาดแล้วจะเกิดปัญหา ฉะนั้นก็อาจทำเป็นพื้นที่อธิปไตยร่วมกัน บริหารร่วมกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ สันติภาพก็คงมี

              เป็นการให้ข้อมูลเพื่อให้สังคมได้พิจารณาข้อมูลอย่างรอบคอบ รอบด้าน และเตรียมรับกับคำพิพากษาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าอย่างมีสติมากที่สุด

http://www.komchadluek.net/

รอฟังคำตัดสิน อย่าเพิ่งดีใจไปเกินเหตุ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่