สามีได้ขอหย่ากับดิฉันหลังจากที่คลอดลูกได้ 3 เดือน (แต่งงานมา 1 ปี 2 เดือน) สาเหตุเพราะเรื่องสามีไม่มีความสุขที่ให้ดิฉันบริหารเงิน และสามีมีทัศนคติไม่ดีต่อดิฉันด้วยความไม่เข้าใจ และไม่พยายามที่จะคุยปรับความเข้าใจ ยอมรับว่าตัวเองผิดพลาดไปบ้าง เพราะคิดเยอะไป ไม่ได้เปิดเผยเรื่องทรัพย์สินเงินทองกับสามีหมด และมักจะต้องการให้ทุกอย่างมีแบบแผนเสมอ แต่สามีคิดว่าดิฉันต้องการเงินและทรัพย์สินของเค้า ไม่มีใครแต่งงานมาเพื่อหวังหย่าเอาสมบัติหรอกค่ะ (หรืออาจจะมีคนที่เป็นแบบนั้น แต่ดิฉันไม่เคยคิดอย่างนั้นแน่นอน วางแผนอนาคตก็มีภาพครอบครัวตลอดค่ะ) สามีเริ่มเย็นชาตั้งแต่หลังแต่งงาน ช่วงตั้งครรภ์ยิ่งเป็นหนัก เราพยายามถามเพื่อปรับความเข้าใจแต่เค้าก็ไม่พูด ทุกข์ใจมากค่ะ เคยคิดจะยกลูกให้เค้าดูแล แล้วตัวเองจะไปอยู่วัดเลยเหมือนกัน แต่พอลูกออกมาก็รู้ว่ารักลูกเกินกว่าจะทำอย่างนั้นได้ ต้องสู้เพื่อลูก พยายามเลี้ยงเค้าให้ดีที่สุดให้เค้าเติบโตเป็นคนดีให้ได้ค่ะ
ช่วงที่สามีขอหย่า ดิฉันได้ขอให้เค้าคิดใหม่อีกครั้ง เพราะคิดว่าน่าจะพอปรับความเข้าใจกันได้ แต่เค้าให้เหตุผลว่าเค้าไม่อยากมีความรับผิดชอบ เค้าไม่อยากมีครอบครัว ชีวิตแต่งงานไม่เหมาะกับเค้า เค้าไม่สามารถมีความสัมพันธ์กับดิฉันได้ แต่เค้ายังมีความต้องการ เค้าอยากไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นๆได้โดยที่ชาวบ้านไม่ครหา เค้าหมดใจกับดิฉันแล้ว ดิฉันแทบไม่เชื่อว่านี่คือคนที่ดิฉันตัดสินใจใช้ชีวิตทั้งชีวิตที่เหลือด้วยเลยค่ะ ช่วงที่คบกันเป็นแฟนแทบไม่เคยมีปัญหากันเลยค่ะ เค้าบอกดิฉันว่าเค้าอยากมีครอบครัว ไม่อยากทำตัวเหลวไหล ไม่อยากทำให้ผู้หญิงเสียใจอีกแล้ว (ก่อนที่จะคบกับดิฉันเค้าเจ้าชู้มาก แต่ช่วงที่คบกันไม่มีปัญหานี้เลยค่ะ ดิฉันไว้ใจ และเชื่อใจมาก) ทุกสิ่งในโลกล้วนอนิจจัง ไม่มีอะไรแน่นอนเลยค่ะ
พอมีปัญหากัน เค้าไม่คุยกับดิฉัน แต่เอาปัญหาไปเล่าให้คนที่บ้านเค้าฟัง ซึ่งไม่ได้จบที่พ่อแม่หรือพี่น้อง แต่เรื่องไปถึงญาติๆที่อยู่แถวบ้านทั้งหมดค่ะ ที่มันแย่ไปกว่านั้นคือ เอาความเข้าใจผิดๆของตัวเองไปบอกคนอื่น บิดเบือนคำพูดของดิฉัน ดิฉันดูเป็นคนที่แย่มากในสายตาของบ้านสามี ดิฉันไม่ได้ทราบทั้งหมดว่าเค้าไปพูดอะไรบ้าง แต่พอจะจับประเด็นได้เป็นจุดๆ ดิฉันไม่มีโอกาสได้อธิบายความเป็นจริงเลย แต่ตอนนี้ปลงไปแล้วค่ะ ไม่มีทางที่คนทุกคนจะชอบเรา ไม่อยากเสียเวลามานั่งไล่หาประเด็นและอธิบาย ตอนนี้มีอะไรต้องคิดมากกว่านั้นค่ะ แต่รู้สึกแย่เพราะการกระทำของสามีถือว่าไม่ให้เกียรติกัน ล่าสุดก็โทรไปเล่าให้เพื่อนๆตัวเองฟังเรื่องปัญหาแล้วบอกว่าจะหย่ากับดิฉันแต่ดิฉันไม่ยอม ซึ่งหนักกว่าเดิมเพราะเพื่อนเค้าก็คือเพื่อนดิฉัน เราอยู่สังคมเดียวกันค่ะ (เป็นเพื่อนกันสมัยเรียนมหาวิทยาลัย) ดิฉันไม่อยากให้ใครมามองดิฉันกับลูกว่าน่าสงสารหรือน่าสมเพช ดิฉันได้บอกให้เค้าเลิกพูดเพราะเรื่องแบบนี้ไม่ควรพูด ถ้าดิฉันไปพูดกับเพื่่อนบ้างก็กลายเป็นการสาวไส้ให้กากิน ไม่รู้จะเข้าใจรึเปล่า เพราะไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไร
ปัจจุบันดิฉันกับสามียังคงอยู่บ้านเดียวกัน เพราะยังไม่ต้องการให้พ่อแม่ตัวเองทราบปัญหาเพราะท่านอาจจะเครียดจนมีปัญหาสุขภาพได้(เคยเป็นมาแล้วในอดีตช่วงที่น้องมีปัญหา) อีกทั้งยังไม่ต้องการให้ลูกที่เกิดมามีปมด้อยว่าพ่อไม่ต้องการเค้าตั้งแต่เค้าเกิด และไม่อยากให้เค้าคิดว่าพ่อแม่แยกทางกันเพราะตัวเองเป็นเหตุ จึงได้ทนอยู่ไป ดิฉันย้ายมาอยู่กับบ้านสามีที่ต่างจังหวัด จึงไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับที่บ้านพ่อแม่ตัวเองมากนัก ทางบ้านจึงยังไม่ทราบปัญหา ตอนนี้ดิฉันทำธุรกิจส่วนตัวแต่สถานการณ์ธุรกิจช่วงนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อยากขยับขยายทำอย่างอื่นก็ยังไม่สะดวกเพราะลูกยังเล็ก สถานภาพทางครอบครัวไม่มั่นคงอย่างมาก เพราะสามีไม่ได้เห็นแก่ลูก และไม่ฟังความคิดเห็นของใคร ยืนยันจะหย่า ทุกวันนี้อยากออกจากบ้านเมื่อไหร่ก็ออก
ช่วงต้นปีสามีได้เริ่มธุรกิจสาขาใหม่เป็นของตนเอง (ซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้ที่หุ้นกันกับพี่น้อง) โดยได้สั่งให้คนในครอบครัวปิดบังดิฉัน เพราะกลัวว่าดิฉันจะไปเอาเงินเค้า แต่ช่วงเดือนที่ผ่านมากลับมาบอกดิฉันว่าเค้าทำคนเดียวมาพักนึงแล้ว ดิฉันจะทำมั้ย ถ้าทำก็ให้หาเงินมาลงและบริหารได้เท่าไหร่ก็เก็บไป เค้าไม่ยุ่ง แต่เค้าขอแค่เงินเดือนปัจจุบันเดือนละ 50000 ก็พอ ถ้าไม่พอแล้วจะบอก (แน่ะ มีการไม่พอแล้วจะมาขอด้วย) ตอนแรกดิฉันคิดว่าเค้าคงมีวูบที่อยากให้ครอบครัวสมบูรณ์ ก็เลยบอกตกลงแล้วบอกเค้าว่าเงินก็ใช้ด้วยกันไม่ต้องแบ่งเงินใครก็ได้ ถ้าดิฉันเอาเงินมาลง เค้าก็ควรจะแบ่งเงินเดือนให้ดิฉันด้วย เพราะธุรกิจที่เค้าจะให้บริหารตอนนี้ทุนมันมาจากการกู้ซะส่วนใหญ่ และธุรกิจนี้ต้องใช้เวลาประมาณ 2-3ปี จึงจะเห็นผลกำไร เรียกว่าถ้าทุนไม่เยอะช่วง 2-3 ปีนี่ก็ต้องฝืดกันเลยทีเดียว เค้าก็รับปากแกนๆ เรื่องมันดูเหมือนจะดีใช่มั้ยคะ แต่ดิฉันเอะใจค่ะ ดิฉันจึงถามเค้าว่าดิฉันไม่เข้าใจว่าเค้าเพิ่งขอหย่ากับดิฉัน แล้วมาชวนดิฉันลงทุนทำไม ดิฉัน ง หรือทุนจะหมดหรือป่าว เค้าตอบกลับมาว่า เค้ามีทุน แต่เค้าสงสารดิฉันกับลูกเลยอยากให้มีธุรกิจที่มั่นคงบ้าง เค้ายังคงอยากหย่าอยู่ หากดิฉันยอมเมื่อไหร่เค้าไม่ลังเลเลยที่จะไปหย่า ดิฉันจะทำหรือไม่ทำก็ได้แล้วแต่
สุดท้ายดิฉันตัดสินใจไม่ลงทุนค่ะ เพราะธุรกิจที่เค้าทำเป็นธุรกิจที่ดิฉันทำคนเดียวไม่ได้ต้องพึ่งครอบครัวเขา อีกทั้งครอบครัวพ่อแม่ ญาติของดิฉันไม่ได้อยู่ที่นี่ หากดิฉันลงทุนแล้วสุดท้ายก็หย่ากันดิฉันจะทำยังไง บวกกับธุรกิจเริ่มต้นจากเงินกู้ซะส่วนใหญ่ หากหย่ากันและเค้ายกให้ดิฉัน นั่นถือว่าเป็นการยกภาระให้ดิฉันเต็มๆดิฉันเก็บเงินไว้ให้ลูกหรือไว้ทำธุรกิจอื่นดีกว่า
ที่ผ่านมาสามีมักจะบอกกับคนอื่นว่าตัวเองขาดเงินลงทุนในธุรกิจแล้วขอกู้เงินคนสนิทมา แต่ตัวเองใช้จ่ายตามใจฉัน อยากได้อยากซื้ออะไร(ตามกิเลสจะคิดได้)ก็จัดเต็ม ทั้งเที่ยวต่างประเทศและแต่งรถ โดยให้เหตุผลว่าเรื่องของฉัน ฉันให้ดอกเบี้ยละกัน ไม่ได้"ขอ" แต่"กู้" อยากรู้ว่าเพื่อนๆคิดยังไงกับกรณีนี้บ้าง
1. ตรรกะของสามีดิฉันเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร
2. หากคุณเป็นญาติคนสนิทที่ให้กู้ คุณจะคิดยังไง
3. ถ้าสามีมาขอหรือขอยืมเงินคุณคิดว่าจะให้หรือไม่ (ให้ไปก็ไม่ได้คืนแน่นอน)
4. ทุกวันนี้เหมือนสามีจะรักลูกในระดับหนึ่ง แต่น้อยกว่ารักตัวเองนะคะ หากคุณเป็นดิฉัน คุณจะทำอย่างไรต่อไป
ถ้าเจอสามีแบบนี้ควรจะทำอย่างไร?
ช่วงที่สามีขอหย่า ดิฉันได้ขอให้เค้าคิดใหม่อีกครั้ง เพราะคิดว่าน่าจะพอปรับความเข้าใจกันได้ แต่เค้าให้เหตุผลว่าเค้าไม่อยากมีความรับผิดชอบ เค้าไม่อยากมีครอบครัว ชีวิตแต่งงานไม่เหมาะกับเค้า เค้าไม่สามารถมีความสัมพันธ์กับดิฉันได้ แต่เค้ายังมีความต้องการ เค้าอยากไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นๆได้โดยที่ชาวบ้านไม่ครหา เค้าหมดใจกับดิฉันแล้ว ดิฉันแทบไม่เชื่อว่านี่คือคนที่ดิฉันตัดสินใจใช้ชีวิตทั้งชีวิตที่เหลือด้วยเลยค่ะ ช่วงที่คบกันเป็นแฟนแทบไม่เคยมีปัญหากันเลยค่ะ เค้าบอกดิฉันว่าเค้าอยากมีครอบครัว ไม่อยากทำตัวเหลวไหล ไม่อยากทำให้ผู้หญิงเสียใจอีกแล้ว (ก่อนที่จะคบกับดิฉันเค้าเจ้าชู้มาก แต่ช่วงที่คบกันไม่มีปัญหานี้เลยค่ะ ดิฉันไว้ใจ และเชื่อใจมาก) ทุกสิ่งในโลกล้วนอนิจจัง ไม่มีอะไรแน่นอนเลยค่ะ
พอมีปัญหากัน เค้าไม่คุยกับดิฉัน แต่เอาปัญหาไปเล่าให้คนที่บ้านเค้าฟัง ซึ่งไม่ได้จบที่พ่อแม่หรือพี่น้อง แต่เรื่องไปถึงญาติๆที่อยู่แถวบ้านทั้งหมดค่ะ ที่มันแย่ไปกว่านั้นคือ เอาความเข้าใจผิดๆของตัวเองไปบอกคนอื่น บิดเบือนคำพูดของดิฉัน ดิฉันดูเป็นคนที่แย่มากในสายตาของบ้านสามี ดิฉันไม่ได้ทราบทั้งหมดว่าเค้าไปพูดอะไรบ้าง แต่พอจะจับประเด็นได้เป็นจุดๆ ดิฉันไม่มีโอกาสได้อธิบายความเป็นจริงเลย แต่ตอนนี้ปลงไปแล้วค่ะ ไม่มีทางที่คนทุกคนจะชอบเรา ไม่อยากเสียเวลามานั่งไล่หาประเด็นและอธิบาย ตอนนี้มีอะไรต้องคิดมากกว่านั้นค่ะ แต่รู้สึกแย่เพราะการกระทำของสามีถือว่าไม่ให้เกียรติกัน ล่าสุดก็โทรไปเล่าให้เพื่อนๆตัวเองฟังเรื่องปัญหาแล้วบอกว่าจะหย่ากับดิฉันแต่ดิฉันไม่ยอม ซึ่งหนักกว่าเดิมเพราะเพื่อนเค้าก็คือเพื่อนดิฉัน เราอยู่สังคมเดียวกันค่ะ (เป็นเพื่อนกันสมัยเรียนมหาวิทยาลัย) ดิฉันไม่อยากให้ใครมามองดิฉันกับลูกว่าน่าสงสารหรือน่าสมเพช ดิฉันได้บอกให้เค้าเลิกพูดเพราะเรื่องแบบนี้ไม่ควรพูด ถ้าดิฉันไปพูดกับเพื่่อนบ้างก็กลายเป็นการสาวไส้ให้กากิน ไม่รู้จะเข้าใจรึเปล่า เพราะไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไร
ปัจจุบันดิฉันกับสามียังคงอยู่บ้านเดียวกัน เพราะยังไม่ต้องการให้พ่อแม่ตัวเองทราบปัญหาเพราะท่านอาจจะเครียดจนมีปัญหาสุขภาพได้(เคยเป็นมาแล้วในอดีตช่วงที่น้องมีปัญหา) อีกทั้งยังไม่ต้องการให้ลูกที่เกิดมามีปมด้อยว่าพ่อไม่ต้องการเค้าตั้งแต่เค้าเกิด และไม่อยากให้เค้าคิดว่าพ่อแม่แยกทางกันเพราะตัวเองเป็นเหตุ จึงได้ทนอยู่ไป ดิฉันย้ายมาอยู่กับบ้านสามีที่ต่างจังหวัด จึงไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับที่บ้านพ่อแม่ตัวเองมากนัก ทางบ้านจึงยังไม่ทราบปัญหา ตอนนี้ดิฉันทำธุรกิจส่วนตัวแต่สถานการณ์ธุรกิจช่วงนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อยากขยับขยายทำอย่างอื่นก็ยังไม่สะดวกเพราะลูกยังเล็ก สถานภาพทางครอบครัวไม่มั่นคงอย่างมาก เพราะสามีไม่ได้เห็นแก่ลูก และไม่ฟังความคิดเห็นของใคร ยืนยันจะหย่า ทุกวันนี้อยากออกจากบ้านเมื่อไหร่ก็ออก
ช่วงต้นปีสามีได้เริ่มธุรกิจสาขาใหม่เป็นของตนเอง (ซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้ที่หุ้นกันกับพี่น้อง) โดยได้สั่งให้คนในครอบครัวปิดบังดิฉัน เพราะกลัวว่าดิฉันจะไปเอาเงินเค้า แต่ช่วงเดือนที่ผ่านมากลับมาบอกดิฉันว่าเค้าทำคนเดียวมาพักนึงแล้ว ดิฉันจะทำมั้ย ถ้าทำก็ให้หาเงินมาลงและบริหารได้เท่าไหร่ก็เก็บไป เค้าไม่ยุ่ง แต่เค้าขอแค่เงินเดือนปัจจุบันเดือนละ 50000 ก็พอ ถ้าไม่พอแล้วจะบอก (แน่ะ มีการไม่พอแล้วจะมาขอด้วย) ตอนแรกดิฉันคิดว่าเค้าคงมีวูบที่อยากให้ครอบครัวสมบูรณ์ ก็เลยบอกตกลงแล้วบอกเค้าว่าเงินก็ใช้ด้วยกันไม่ต้องแบ่งเงินใครก็ได้ ถ้าดิฉันเอาเงินมาลง เค้าก็ควรจะแบ่งเงินเดือนให้ดิฉันด้วย เพราะธุรกิจที่เค้าจะให้บริหารตอนนี้ทุนมันมาจากการกู้ซะส่วนใหญ่ และธุรกิจนี้ต้องใช้เวลาประมาณ 2-3ปี จึงจะเห็นผลกำไร เรียกว่าถ้าทุนไม่เยอะช่วง 2-3 ปีนี่ก็ต้องฝืดกันเลยทีเดียว เค้าก็รับปากแกนๆ เรื่องมันดูเหมือนจะดีใช่มั้ยคะ แต่ดิฉันเอะใจค่ะ ดิฉันจึงถามเค้าว่าดิฉันไม่เข้าใจว่าเค้าเพิ่งขอหย่ากับดิฉัน แล้วมาชวนดิฉันลงทุนทำไม ดิฉัน ง หรือทุนจะหมดหรือป่าว เค้าตอบกลับมาว่า เค้ามีทุน แต่เค้าสงสารดิฉันกับลูกเลยอยากให้มีธุรกิจที่มั่นคงบ้าง เค้ายังคงอยากหย่าอยู่ หากดิฉันยอมเมื่อไหร่เค้าไม่ลังเลเลยที่จะไปหย่า ดิฉันจะทำหรือไม่ทำก็ได้แล้วแต่
สุดท้ายดิฉันตัดสินใจไม่ลงทุนค่ะ เพราะธุรกิจที่เค้าทำเป็นธุรกิจที่ดิฉันทำคนเดียวไม่ได้ต้องพึ่งครอบครัวเขา อีกทั้งครอบครัวพ่อแม่ ญาติของดิฉันไม่ได้อยู่ที่นี่ หากดิฉันลงทุนแล้วสุดท้ายก็หย่ากันดิฉันจะทำยังไง บวกกับธุรกิจเริ่มต้นจากเงินกู้ซะส่วนใหญ่ หากหย่ากันและเค้ายกให้ดิฉัน นั่นถือว่าเป็นการยกภาระให้ดิฉันเต็มๆดิฉันเก็บเงินไว้ให้ลูกหรือไว้ทำธุรกิจอื่นดีกว่า
ที่ผ่านมาสามีมักจะบอกกับคนอื่นว่าตัวเองขาดเงินลงทุนในธุรกิจแล้วขอกู้เงินคนสนิทมา แต่ตัวเองใช้จ่ายตามใจฉัน อยากได้อยากซื้ออะไร(ตามกิเลสจะคิดได้)ก็จัดเต็ม ทั้งเที่ยวต่างประเทศและแต่งรถ โดยให้เหตุผลว่าเรื่องของฉัน ฉันให้ดอกเบี้ยละกัน ไม่ได้"ขอ" แต่"กู้" อยากรู้ว่าเพื่อนๆคิดยังไงกับกรณีนี้บ้าง
1. ตรรกะของสามีดิฉันเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร
2. หากคุณเป็นญาติคนสนิทที่ให้กู้ คุณจะคิดยังไง
3. ถ้าสามีมาขอหรือขอยืมเงินคุณคิดว่าจะให้หรือไม่ (ให้ไปก็ไม่ได้คืนแน่นอน)
4. ทุกวันนี้เหมือนสามีจะรักลูกในระดับหนึ่ง แต่น้อยกว่ารักตัวเองนะคะ หากคุณเป็นดิฉัน คุณจะทำอย่างไรต่อไป