Survivorship Bias: เมื่อคนที่ประสบความสำเร็จอาจจะไม่ได้เก่งจริง

คุณเคยสงสัยไหม? ว่าทำไมบางคนที่ประสบความสำเร็จล้นหลาม กลับไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกว่าเขาเก่งหรือมีอะไรเหนือผู้อื่นเลย  เคยสงสัยไหม? ว่าทำไมผู้จัดการกองทุนหลายคนมีประวัติการลงทุนอันยอดเยี่ยม แต่พอคุณไปลงทุนกับเขาปุ๊บ ผลงานก็ดิ่งเหวปั๊บ? ผมจะพาทุกท่านไปพบกับปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Survivorship Bias ครับ

Survivorship Bias เป็นปรากฏการณ์ที่ว่าด้วย ความไม่สมเหตุสมผลของมนุษย์เราที่มักจะมองไปยังคนหรือองค์กรที่ประสบความสำเร็จอย่างเดียว จนไม่ได้คิดคำนึงไปถึงคนที่ล้มเหลวไประหว่างทางด้วย ผลลัพธ์สองอย่างที่มักจะเกิดขึ้นก็คือ การด่วนสรุปว่าคนที่ประสบความสำเร็จนั้น จะต้อง “มีดี” อะไรสักอย่าง และการสรุปว่าการทำอะไรบางอย่าง “มันไม่ได้ยาก” อย่างที่คิด

ผลลัพธ์อย่างหลังนั้นสามารถพบเห็นได้บ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน และสามารถเข้าใจได้ง่ายกว่าผลลัพธ์อย่างแรก ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนในตลาดหุ้นหรือตลาดทอง มือใหม่มักจะเข้ามาในตลาดเพราะเห็นคนที่เทรดได้กำไรเป็นกอบเป็นกำเข้ามาเมาท์มอยว่า ดีอย่างนั้น ง่ายอย่างนี้ (ประเด็นที่ว่าพวกได้กำไรมีฝีมือจริงหรือไม่ เราจะพูดกันเป็นประเด็นถัดไป) และที่แน่นอนก็คือ พวกขาดทุนมักจะไม่ค่อยออกมาพูดอะไรหรอก พอมีคนได้กำไรออกมาพูดเยอะๆ มือใหม่ก็จะพาลคิดว่า การหากำไรจากตลาดมันไม่น่าจะยากขนาดนั้น เพราะคนนั้นคนนี้ก็ทำได้ มองโลกในแง่ดีสุดขีด หลงลืมไปว่ามีคนอีกเป็นจำนวนมากที่ขาดทุนย่อยยับ และผลจากการที่มองโลกในแง่ดีเกินเหตุนี่เองที่ทำให้มือใหม่มักขาดการเตรียมตัวที่ดีพอ ส่วนใหญ่จึงเข้ามาเป็นเหยื่อของมือเก๋าๆ ไปเสียมาก พวกที่โชคดีรอดปากเหยี่ยวไปได้ก็มักจะไปเมาท์มอยหลอกล่อพวกรุ่นหลังเข้ามาอีกสืบเนื่องกันไป

หรือแม้แต่เรื่องง่ายๆ ในชีวิตประจำวันอย่างการทำขนมปังทาเนยตกพื้นก็อาจจะจัดได้ว่าเป็น Survivorship Bias แบบตรงกันข้าม ใครที่รู้จักมักคุ้นกับกฏของเมอร์ฟี่ย์อาจจะเคยอ่านกฏที่เขียนว่า “เมื่อขนมปังตกพื้น มันมักจะเอาด้านที่ทาเนยลงพื้นเสมอ และยิ่งพรมที่คุณใช้ราคาแพงมากเท่าไร โอกาสที่ด้านทาเนยจะลงพื้นก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น” เคยมีการทดลองในเรื่องนี้และสรุปผลว่า โอกาสที่ด้านทาเนยและไม่ได้ทาเนยจะแปะลงพื้นนั้นมีเท่าๆ กัน เพียงแต่คนเรามักจะจำเวลาด้านทาเนยตกใส่พรมกันมากกว่า เพราะมันก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่านั่นเอง



ผมเจ๋งเปล่าล่ะ?

กลับมาสู่ผลลัพธ์อย่างแรกกัน ถ้ามีใครสักคนหนึ่งสามารถทำในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมากๆ สำเร็จจนได้ เราสามารถสรุปได้หรือไม่ว่าคนๆ นั้นจะต้องมีอะไรดีสักอย่างแน่ๆ? ผมเชื่อว่าทุกคนก็คงอยากเชื่ออย่างนั้น และก็มักจะเชื่อกันอย่างนั้นเสียด้วย ทำไมถึงจะไม่เชื่อล่ะ?

สมมติง่ายๆ ก็ได้ว่า มีคนๆ นึงสามารถเทรดหุ้นชนะตลาด (คำนวน risk-adjusted return เรียบร้อย) ได้เป็นระยะเวลาถึง 10 ปีติดต่อกัน คนส่วนมากก็ย่อมจะเชื่อว่าเทรดเดอร์คนนี้เป็นเซียนใช่ไหมครับ? (และตัวเทรดเดอร์เองก็คงเชื่อเช่นนั้นเหมือนกัน) ปกติการเทรดให้ชนะตลาดปีเดียวก็ยากแล้ว การที่จะเทรดให้ชนะตลาดสิบปีรวดนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าเทรดเดอร์คนนั้นไม่เจ๋งจริง เราจะลองคำนวน Probability (ความน่าจะเป็น) ดูก็ได้ครับ สมมติว่าเรามีเทรดเดอร์ง้องแง้งคนนึงที่ไม่ได้เก่งกาจไปกว่าเทรดเดอร์ระดับมหาเม่าทั่วไปเลย โอกาสที่เขาจะเทรดชนะตลาดได้ก็น่าจะราวๆ 50% ใช่ไหมครับ? (อย่างน้อยๆ จิ้มมั่วๆ มันก็ต้องฟลุคไปเจอหุ้นที่ขึ้นแรงบ้างล่ะน่า) แล้วความน่าจะเป็นที่เทรดเดอร์มหาเม่าคนนี้จะชนะตลาด 10 ปีติดต่อกันคือเท่าไรล่ะ?

P(10 Consecutive Beats) = (1/2)^10 = 1/1024 หรือราวๆ 0.1%



ใครที่เคยเรียนสถิติมาบ้างคงทราบดีว่า Probability ที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนี้ย่อมทำให้เราต้อง reject null hypothesis ที่ว่าเทรดเดอร์มหาเม่าไม่มีของดีแน่นอน ไม่ว่าคุณจะเลือก a = 0.1, 0.05 หรือ 0.01 ก็ตาม ดังนั้นจริงๆ แล้วเทรดเดอร์คนนี้ต้องเป็นโคตรโปรกลับชาติมาเกิดแน่นอนใช่ไหม? ช้าก่อนครับ เรื่องมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

จริงอยู่ที่ว่าโอกาสที่คนๆ หนึ่งจะทำเรื่องแบบนี้สำเร็จมันยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน แต่นั่นเป็นเพราะเราเพิ่งมองไปที่ตัวบุคคลเพียงคนเดียว แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรามองแบบกว้างๆ และเปลี่ยนคำถามเป็น “โอกาสที่เทรดเดอร์มือใหม่ทั้งตลาดสักกลุ่มหนึ่งจะชนะตลาดติดต่อกัน 10 ปีมีเท่าไร” แทนล่ะ?



เราจะสมมติเกมง่ายๆ ขึ้นมาหนึ่งเกม เรียกว่า “เกมกำจัดจุดอ่อน” แล้วกัน กติกาง่ายๆ คือ ทุกหนึ่งปีเราจะคัดคนที่เทรดแพ้ตลาดออกไปจากระบบ ผู้เข้าร่วมเกมนี้ก็คือเทรดเดอร์มหาเม่าทั้งหลายนั่นเอง สมมติอีกว่าในปีนี้มีคนเข้าร่วมเกมนี้ทั้งหมด 10,000 คน มาดูกันดีกว่าว่าจะเกิดอะไรขึ้น

เมื่อผ่านปีแรกไป จะมีคนราวๆ ครึ่งนึงของตลาดที่เทรดได้ชนะตลาด และอีกครึ่งของตลาดที่เทรดแพ้ ดังนั้นเริ่มปีที่สองจะเหลือคนอยู่ 5,000 คน

ผ่านปีที่สองไป จาก 5,000 คน ก็เหลือ 2,500 คน และเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง...

สิ้นสุดปีที่ 10 ณ จุดนี้จะเหลือคนที่ยังรอดอยู่ราวๆ 10 คน

แน่นอนว่า 10 นี้ไม่ได้มีอะไรดีเด่ไปกว่าคนอีก 9990 คนที่โดนกำจัดจุดอ่อนทิ้งไปเลย! พวกเขาเพียงแค่ดวงดีเท่านั้นเอง!
ดังนั้นการดูเพียง performance ย้อนหลังนั้น ไม่สามารถบ่งบอกอะไรได้มากมายนัก เพราะเราไม่สามารถแยกแยะได้ว่าคนเหล่านี้มีฝีมือจริง หรือเพียงแค่เป็นหนึ่งในผู้โชคดีจากจำนวนคนนับหมื่นนับแสนที่ต้องผิดหวังในทุกๆ ปี



เรายังสามารถแสดงคอนเซปต์ในเรื่องนี้ผ่านการคำนวนทางคณิตศาสตร์ได้อีกด้วย



มีโอกาสถึง 99.9943% ที่จะมีใครสักคนจากจำนวน 10,000 คนเทรดชนะตลาดติดต่อกัน 10 ปีทั้งๆ ที่ไม่ได้มีความสามารถอะไรพิเศษเลย!!!!

ดังนั้นอย่าแปลกใจเลย ถ้าครั้งต่อไปกองทุนที่คุณเลือกมาแล้วว่ามี Track Record อันดีเยี่ยม กลับทำผลงานได้ยอดแย่ทันทีที่คุณลงทุน เพราะทุกคนก็บอกอยู่แล้วว่า ผลงานในอดีตไม่ได้เป็นหลักประกันผลงานในอนาคต!!!

เรื่องนี้ไม่ได้เพียงแต่เกิดขึ้นในวงการเงินการลงทุนเท่านั้น แม้แต่ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ก็เคยมีเคสแบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น นักวิจัยด้านพลังจิต Joseph Bank Rhine ได้ถูกโจมตีงานวิจัยของเขาว่าไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด Rhine ได้ให้ผู้เข้าร่วมการทดลองทายไพ่ Zener (ภาพข้างล่าง) และพบว่าบางคนสามารถทายไพ่ได้อย่างถูกต้องอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เขาจึงทำการตีพิมพ์ผลการวิจัยว่ามีบางคนที่ครอบครอง ESP อยู่ อย่างไรก็ตาม จำนวนคนที่เข้าร่วมการทดสอบนั้นมีจำนวนมากเป็นหลักร้อยคน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีใครสักคนเดาสุ่มไพ่ได้ถูกต้องเกือบหมดนั่นเอง



เนื้อหาหลักๆ คงจบเพียงเท่านี้ครับ ผมไม่ได้บอกว่าทุกคนที่ประสบความสำเร็จนั้นจะฟลุคไปเสียทุกคนนะครับ แต่เราเองก็คงปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน ว่าบางคนก็ประสบความสำเร็จได้เพราะดวง ถึงได้มีคำกล่าวว่า คนเราต้องเก่งบวกเฮง หรือแม้แต่ แข่งเรือแข่งพายมันแข่งกันได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนามันแข่งกันไม่ได้ นั่นเอง ดังนั้นหากเราต้องการศึกษาวิธีการจากผู้ที่ประสบความสำเร็จในวงการต่างๆ เราเองก็คงจำเป็นที่จะต้องตั้งคำถามไว้ในใจด้วยว่า เขาคนนั้นประสบความสำเร็จเพราะเขามีไอเดียที่ถูกต้อง มีความสามารถที่เหนือผู้อื่น หรือเพียงแค่เขาอยู่ถูกที่ ถูกเวลาเท่านั้น? อย่างไรก็ขอฝากเรื่องนี้ไว้ให้ผู้อ่านทุกท่านกลับไปขบคิดแล้วกันนะครับ และหวังว่าเรื่องราวนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านไม่มากก็น้อยต่อไปในอนาคต

ขอบคุณมากครับ

ป.ล.ขอบคุณคลาส Financial Engineering and Risk Management ใน Coursera.com ที่จุดประกายเรื่องนี้ให้ผมมาเขียน และขอบคุณแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมจาก Wikipedia (http://en.wikipedia.org/wiki/Survivorship_bias และ http://en.wikipedia.org/wiki/Zener_cards )
ป.ล.2 ภาพประกอบจาก Microsoft Office Clipart และ Wikipedia
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่