สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 32
คนอื่นแล้วแต่ตัวเขาแต่เราคงไม่อยู่ก่อนแต่งแน่ๆ... ส่วนตัวมองว่าของแบบนี้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลและความเชื่อของแต่ละครอบครัวเป็นหลัก บางคนอาจจะมองว่า อยู่ด้วยกันก่อน เข้ากันไม่ได้ค่อยเลิกกันไป ดีกว่า แต่งงานกันอยู่กันไม่ได้ค่อยหย่ากัน ก็เป็นสิทธิของเขา แต่โดยส่วนตัวเรา แต่งงานกันแล้วเข้ากันไม่ได้ค่อยหย่าคงเหมาะกับเรามากกว่า เพราะเราไม่ได้มองว่าผู้หญิงที่อยู่ก่อนแต่ง...ดูดีกว่าผู้หญิงที่หย่าค่ะ
การแต่งงานสำหรับเราคือการเฉลิมฉลองให้คนสองคนสร้างครอบครัวที่ดีและมีความสุข ได้รับการยอมรับจากครอบครัวทั้งสองฝ่าย คนรอบข้างและสังคม (มนุษย์เป็นสัตว์สังคมนะ ซึ่งเราออกตัวก่อนเลยว่าเราแคร์สังคมค่ะ เราคงไม่ไหวจะเคลียร์ถ้าเพื่อนมาถามว่า...นี่แฟนใหม่แกเหรอ? ลีลาเด็ดกว่าคนก่อนไหม? =[]=!!! โอ๊ะโอ...เราคงหน้าชาแน่นอน โลกสวย รับไม่ได้ T_T) เพราะฉะนั้น...ถ้าเราจะอยู่กินกับใคร เราก็อยากจะเริ่มจากการได้รับการยอมรับ ได้รับคำอวยพรจากครอบครัว คนรอบข้างและสังคมที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่ไปอีกนานแสนนานค่ะ
หลายคนอาจจะมองว่าความบริสุทธิ์ของผู้หญิงเป็นแค่เยื่อบางๆที่ถ้าขาดไปก็ช่างมัน...แต่สำหรับเราไม่ได้มองว่ามันเป็นแค่เยื่อบางๆ ร่างกายเราคืออะไรที่เรารักษาและดูแลอย่างดี เราเลยมองว่าคนที่จะมีโอกาสได้แตะต้องก็ต้องดีพอคู่ควรเหมือนกัน ดังนั้นถ้าเราจะมีอะไรกับใคร ความปรารถนาส่วนตัวคือขอให้คนๆนั้นเป็นคนสุดท้าย เราไม่ต้องการเปรียบเทียบว่ารสนิยมทางเพศของตัวเองเข้ากับผู้ชายคนนั้นได้ดีกว่าคนนี้ T_T ร่ายกายไม่ใช่เครื่องจักร~ เราไม่โอเคกับการเปลี่ยนหาคนใหม่ไปเรื่อยๆ ฉะนั้นถ้าเรามั่นใจว่าผู้ชายคนนี้ดีพร้อมสำหรับเราแต่หลังจากแต่งงานไปแล้วมันจะไปไม่รอด เราคิดว่านั่นคือสิ่งที่เกิดจากความผิดพลาดจากการตัดสินใจที่พร้อมจะเสี่ยงของเราเองเช่นกัน และเรายอมรับความผิดพลาดตรงนั้นค่ะ... (คงคล้ายๆคนอยู่ก่อนแต่งที่พร้อมจะหาคนใหม่นั่นแหละ แต่ต่างกันแค่เราอาจจะมีงานแต่งงาน แต่คนอยู่ก่อนแต่งไม่มี ซึ่งท่านเหล่านั้นอาจจะไม่อยากมีหากมันไม่น่าจดจำ) แต่เราอยากมีนะ ต่อให้มันจะแย่ก็เถอะ...อย่างน้อยก็มีช่วงเวลาดีดีที่เป็นรูปธรรมให้ได้จับต้องได้บ้างยามนึกถึงถ้าต้องหย่าร้างกันไป...
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมเราพร้อมยอมเสี่ยงแต่งงานแทนที่จะทดลองอยู่กินกันก่อน...ก็เพราะการอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาสำหรับเรา...คือการเรียนรู้กันไปจนวันตาย...พิจารณาจากครอบครัวของเราเอง แม่เราทุกวันนี้ก็ยังต้องรับมือกับนิสัยแปลกๆของพ่อซึ่งพอแก่นับวันก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วแต่อารมณ์ของเขาในแต่ละวัน ทุกวันนี้ของกินที่ชอบยังเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนเลย...พ่อเราเองก็ต้องรับมือกับอาการวัยทองของแม่ที่คาดเดาไม่ได้เหมือนกัน เราคิดว่า...นิสัยของคนมันเปลี่ยนได้ตามวัย ตามอารมณ์ ตามประสบการณ์ที่คนๆนั้นพบเจอ ซึ่งคนที่ตัดสินใจจะใช้ชีวิตร่วมกันจะต้องมั่นใจเพียงพอที่จะต้องยอมรับความร้ายกาจหรืออะไรแย่ๆของอีกฝ่ายได้ในระดับหนึ่ง ถามว่ามันคือปัญหาไหมที่ต้องมาเจออะไรที่บางทีก็ทำให้หงุดหงิดแบบนี้...เราคิดว่าถ้ามองว่าเป็นปัญหาก็คือปัญหา...แต่ถ้ามองว่านั่นคือความบ้าบอขณะหนึ่งของการเป็นครอบครัวมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ และสำหรับเรานี่คือความแตกต่างของการแต่งก่อนอยู่กับอยู่ก่อนแต่ง เพราะการแต่งงานทำให้รู้สึกถึงคำว่าครอบครัวได้ชัดขึ้น ความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต การให้อภัยในความผิดพลาด ความเห็นอกเห็นใจ...มันมากขึ้นเมื่อเราเป็นครอบครัวเดียวกัน (ยกตัวอย่าง...กับแฟน ถ้าเขาขอให้เราทำอะไรสิ่งหนึ่งให้ที่เราต้องลำบากมากๆ เราคงไม่ยอมทำ ประมาณว่าทำไมต้องทำละ? ยิ่งถ้าเราต้องไปก้มหัวให้ใครเพื่อเขา...เราคงแบบศักดิ์ศรีฉันก็มี เป็นแค่แฟนจะมาอะไรมากมายเหรอ? แต่ถ้าเป็นสามี... T_T เอาฟระ...ไหนๆก็ครอบครัวก็เหมือนคนๆเดียวกัน...ยอมข้อร้องคนอื่นให้เขาหน่อยก็ได้ ยังไงก็สามี...)
การแต่งงานอีกนัยหนึ่งคือการร่วมหัวจมท้าย -_-" คือการเอาชีวิตตัวเองไปร่วมทุกข์กับอีกคน (ขอมองแค่ทุกข์นะคะ เพราะตอนสุขส่วนใหญ่ก็ไม่มีปัญหากันหรอก) เพราะงั้น...การที่จะแน่ใจว่าตัวเองจะสามารถแบกรับความทุกข์ที่ตัวเองไม่ได้ก่อเนี่ยมันต้องอาศัยความกล้า บ้าบิ่นหน่อยๆ กล้าที่จะแต่งงานไหมละ? กับคนที่ไม่ได้รู้จักมาตั้งแต่เกิด คนที่โค่ดงี่เง่าเวลาหงุดหงิด คนเรามันมีช่วงเวลาที่ไม่มีดีในสายตาอีกฝ่ายทั้งนั้นแหละ 555+ แต่การแต่งงานทำให้เราตระหนักในความรู้สึกของการเป็นสมาชิกในครอบครัว เป็นน้ำหนักที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน คนที่แม้จะพลาดแต่เราก็ต้องปกป้องเท่าที่เราจะทำได้หรอแม้แต่ยอมรับผลของการกระทำของเขาเอาไว้เอง การเสียสละตรงนั้น พอมีสามีมันคงเป็นบ่วงแรกของชีวิตที่ต้องฝ่าฟัน (พอมีลูกก็เหมือนใส่บ่วง + กระพรวนกันเลยทีเดียว)
ถ้าขนาดแต่งงาน...ยังไม่มีความกล้าพอที่จะรู้สึกถึงภาระอันหนักหนาตรงนั้น เราคิดว่า...เราสามารถตัดสินอีกฝ่ายได้เลยโดยไม่ต้องอยู่กินกันว่าเขาคงไม่มาเสียเวลาร่วมทุกข์กับเราเวลาเรามีปัญหา คงไม่มีความกล้าพอที่จะยื่นมือเขามาพยุงเราเวลาเราลำบาก เขาคงไม่ต้องการเหนื่อยกับคนที่หาปัญหามาให้ 55+ และเราไม่ต้องการเสี่ยงกับความผูกพันที่ได้มาจากการ อยู่ก่อนแต่ง ว่าเขาจะออกจากชีวิตเราไปเมื่อไรในเวลาที่เราไม่พร้อมที่จะไม่มีเขา คนเราอยู่ด้วยกันต่อให้ไม่รัก เข้ากันไม่ได้ยังไง มันมีความผูกพันและอาทรนะ 55+ เราไม่อยากเจ็บปวดจากความผูกพันเพราะรู้ตัวดีว่าเราอ่อนไหว เสี่ยงที่ต้องเลิกรากับคนที่แค่มาอยู่ด้วยกันชั่วคราว...โดยที่สังคมไม่เคยร่วมยินดีกับการอยู่กินครั้งนี้ของเราเลยมันแย่ค่ะ ในเวลาที่ต้องเลิกกัน สังคมนินทา พ่อแม่ไม่มีความสุข เราเองก็เจ็บช้ำ ตรงนั้นคงเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายและเราไม่เข้มแข็งขนาดที่จะผ่านมันไปแบบไม่มีบาดแผล มีความสุขกับการใช้ชีวิตกับผู้ชายที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเข้ามาในชีวิตอีกและก็อาจจะออกไปจากชีวิตเราอีกซ้ำๆ วนไปวนมาอยู่แบบนี้เรื่อยๆ (ในกรณีที่โชคร้ายเข้ากันไม่ได้เสียที) -_-" แค่คิดก็สะท้อนใจแล้ว...พ่อแม่เลี้ยงดูมาให้มีชีวิตแบบนี้หรือ? นี่คือสิ่งที่เราคงต้องตั้งคำถามกับตัวเอง...เมื่อคิดได้อย่างนี้ เรื่องอะไรที่เราจะต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงกับการอยู่ก่อนแต่งด้วยละ?
ปล. ความเห็นส่วนตัวค่ะ
การแต่งงานสำหรับเราคือการเฉลิมฉลองให้คนสองคนสร้างครอบครัวที่ดีและมีความสุข ได้รับการยอมรับจากครอบครัวทั้งสองฝ่าย คนรอบข้างและสังคม (มนุษย์เป็นสัตว์สังคมนะ ซึ่งเราออกตัวก่อนเลยว่าเราแคร์สังคมค่ะ เราคงไม่ไหวจะเคลียร์ถ้าเพื่อนมาถามว่า...นี่แฟนใหม่แกเหรอ? ลีลาเด็ดกว่าคนก่อนไหม? =[]=!!! โอ๊ะโอ...เราคงหน้าชาแน่นอน โลกสวย รับไม่ได้ T_T) เพราะฉะนั้น...ถ้าเราจะอยู่กินกับใคร เราก็อยากจะเริ่มจากการได้รับการยอมรับ ได้รับคำอวยพรจากครอบครัว คนรอบข้างและสังคมที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่ไปอีกนานแสนนานค่ะ
หลายคนอาจจะมองว่าความบริสุทธิ์ของผู้หญิงเป็นแค่เยื่อบางๆที่ถ้าขาดไปก็ช่างมัน...แต่สำหรับเราไม่ได้มองว่ามันเป็นแค่เยื่อบางๆ ร่างกายเราคืออะไรที่เรารักษาและดูแลอย่างดี เราเลยมองว่าคนที่จะมีโอกาสได้แตะต้องก็ต้องดีพอคู่ควรเหมือนกัน ดังนั้นถ้าเราจะมีอะไรกับใคร ความปรารถนาส่วนตัวคือขอให้คนๆนั้นเป็นคนสุดท้าย เราไม่ต้องการเปรียบเทียบว่ารสนิยมทางเพศของตัวเองเข้ากับผู้ชายคนนั้นได้ดีกว่าคนนี้ T_T ร่ายกายไม่ใช่เครื่องจักร~ เราไม่โอเคกับการเปลี่ยนหาคนใหม่ไปเรื่อยๆ ฉะนั้นถ้าเรามั่นใจว่าผู้ชายคนนี้ดีพร้อมสำหรับเราแต่หลังจากแต่งงานไปแล้วมันจะไปไม่รอด เราคิดว่านั่นคือสิ่งที่เกิดจากความผิดพลาดจากการตัดสินใจที่พร้อมจะเสี่ยงของเราเองเช่นกัน และเรายอมรับความผิดพลาดตรงนั้นค่ะ... (คงคล้ายๆคนอยู่ก่อนแต่งที่พร้อมจะหาคนใหม่นั่นแหละ แต่ต่างกันแค่เราอาจจะมีงานแต่งงาน แต่คนอยู่ก่อนแต่งไม่มี ซึ่งท่านเหล่านั้นอาจจะไม่อยากมีหากมันไม่น่าจดจำ) แต่เราอยากมีนะ ต่อให้มันจะแย่ก็เถอะ...อย่างน้อยก็มีช่วงเวลาดีดีที่เป็นรูปธรรมให้ได้จับต้องได้บ้างยามนึกถึงถ้าต้องหย่าร้างกันไป...
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมเราพร้อมยอมเสี่ยงแต่งงานแทนที่จะทดลองอยู่กินกันก่อน...ก็เพราะการอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาสำหรับเรา...คือการเรียนรู้กันไปจนวันตาย...พิจารณาจากครอบครัวของเราเอง แม่เราทุกวันนี้ก็ยังต้องรับมือกับนิสัยแปลกๆของพ่อซึ่งพอแก่นับวันก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วแต่อารมณ์ของเขาในแต่ละวัน ทุกวันนี้ของกินที่ชอบยังเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนเลย...พ่อเราเองก็ต้องรับมือกับอาการวัยทองของแม่ที่คาดเดาไม่ได้เหมือนกัน เราคิดว่า...นิสัยของคนมันเปลี่ยนได้ตามวัย ตามอารมณ์ ตามประสบการณ์ที่คนๆนั้นพบเจอ ซึ่งคนที่ตัดสินใจจะใช้ชีวิตร่วมกันจะต้องมั่นใจเพียงพอที่จะต้องยอมรับความร้ายกาจหรืออะไรแย่ๆของอีกฝ่ายได้ในระดับหนึ่ง ถามว่ามันคือปัญหาไหมที่ต้องมาเจออะไรที่บางทีก็ทำให้หงุดหงิดแบบนี้...เราคิดว่าถ้ามองว่าเป็นปัญหาก็คือปัญหา...แต่ถ้ามองว่านั่นคือความบ้าบอขณะหนึ่งของการเป็นครอบครัวมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ และสำหรับเรานี่คือความแตกต่างของการแต่งก่อนอยู่กับอยู่ก่อนแต่ง เพราะการแต่งงานทำให้รู้สึกถึงคำว่าครอบครัวได้ชัดขึ้น ความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต การให้อภัยในความผิดพลาด ความเห็นอกเห็นใจ...มันมากขึ้นเมื่อเราเป็นครอบครัวเดียวกัน (ยกตัวอย่าง...กับแฟน ถ้าเขาขอให้เราทำอะไรสิ่งหนึ่งให้ที่เราต้องลำบากมากๆ เราคงไม่ยอมทำ ประมาณว่าทำไมต้องทำละ? ยิ่งถ้าเราต้องไปก้มหัวให้ใครเพื่อเขา...เราคงแบบศักดิ์ศรีฉันก็มี เป็นแค่แฟนจะมาอะไรมากมายเหรอ? แต่ถ้าเป็นสามี... T_T เอาฟระ...ไหนๆก็ครอบครัวก็เหมือนคนๆเดียวกัน...ยอมข้อร้องคนอื่นให้เขาหน่อยก็ได้ ยังไงก็สามี...)
การแต่งงานอีกนัยหนึ่งคือการร่วมหัวจมท้าย -_-" คือการเอาชีวิตตัวเองไปร่วมทุกข์กับอีกคน (ขอมองแค่ทุกข์นะคะ เพราะตอนสุขส่วนใหญ่ก็ไม่มีปัญหากันหรอก) เพราะงั้น...การที่จะแน่ใจว่าตัวเองจะสามารถแบกรับความทุกข์ที่ตัวเองไม่ได้ก่อเนี่ยมันต้องอาศัยความกล้า บ้าบิ่นหน่อยๆ กล้าที่จะแต่งงานไหมละ? กับคนที่ไม่ได้รู้จักมาตั้งแต่เกิด คนที่โค่ดงี่เง่าเวลาหงุดหงิด คนเรามันมีช่วงเวลาที่ไม่มีดีในสายตาอีกฝ่ายทั้งนั้นแหละ 555+ แต่การแต่งงานทำให้เราตระหนักในความรู้สึกของการเป็นสมาชิกในครอบครัว เป็นน้ำหนักที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน คนที่แม้จะพลาดแต่เราก็ต้องปกป้องเท่าที่เราจะทำได้หรอแม้แต่ยอมรับผลของการกระทำของเขาเอาไว้เอง การเสียสละตรงนั้น พอมีสามีมันคงเป็นบ่วงแรกของชีวิตที่ต้องฝ่าฟัน (พอมีลูกก็เหมือนใส่บ่วง + กระพรวนกันเลยทีเดียว)
ถ้าขนาดแต่งงาน...ยังไม่มีความกล้าพอที่จะรู้สึกถึงภาระอันหนักหนาตรงนั้น เราคิดว่า...เราสามารถตัดสินอีกฝ่ายได้เลยโดยไม่ต้องอยู่กินกันว่าเขาคงไม่มาเสียเวลาร่วมทุกข์กับเราเวลาเรามีปัญหา คงไม่มีความกล้าพอที่จะยื่นมือเขามาพยุงเราเวลาเราลำบาก เขาคงไม่ต้องการเหนื่อยกับคนที่หาปัญหามาให้ 55+ และเราไม่ต้องการเสี่ยงกับความผูกพันที่ได้มาจากการ อยู่ก่อนแต่ง ว่าเขาจะออกจากชีวิตเราไปเมื่อไรในเวลาที่เราไม่พร้อมที่จะไม่มีเขา คนเราอยู่ด้วยกันต่อให้ไม่รัก เข้ากันไม่ได้ยังไง มันมีความผูกพันและอาทรนะ 55+ เราไม่อยากเจ็บปวดจากความผูกพันเพราะรู้ตัวดีว่าเราอ่อนไหว เสี่ยงที่ต้องเลิกรากับคนที่แค่มาอยู่ด้วยกันชั่วคราว...โดยที่สังคมไม่เคยร่วมยินดีกับการอยู่กินครั้งนี้ของเราเลยมันแย่ค่ะ ในเวลาที่ต้องเลิกกัน สังคมนินทา พ่อแม่ไม่มีความสุข เราเองก็เจ็บช้ำ ตรงนั้นคงเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายและเราไม่เข้มแข็งขนาดที่จะผ่านมันไปแบบไม่มีบาดแผล มีความสุขกับการใช้ชีวิตกับผู้ชายที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเข้ามาในชีวิตอีกและก็อาจจะออกไปจากชีวิตเราอีกซ้ำๆ วนไปวนมาอยู่แบบนี้เรื่อยๆ (ในกรณีที่โชคร้ายเข้ากันไม่ได้เสียที) -_-" แค่คิดก็สะท้อนใจแล้ว...พ่อแม่เลี้ยงดูมาให้มีชีวิตแบบนี้หรือ? นี่คือสิ่งที่เราคงต้องตั้งคำถามกับตัวเอง...เมื่อคิดได้อย่างนี้ เรื่องอะไรที่เราจะต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงกับการอยู่ก่อนแต่งด้วยละ?
ปล. ความเห็นส่วนตัวค่ะ
ความคิดเห็นที่ 27
เราว่าความเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นได้เสมอ บางคนเรียนรู้อยู่ก่อนแต่งเห็นว่าคนนี้แหละใช่แต่พอแต่งกันไปไม่เท่าไหร่ก็เลิกกันมีให้เห็นบ่อยๆ บางคนไม่ได้อยู่ก่อนแต่งอาจเลิกกันหรืออยู่ด้วยกันจนตายจากไปก็ได้ เราว่าบางทีถ้าเราเห็นว่าเซ็กส์สำคัญสำหรับชีวิตคู่ก็คงต้องอยู่ก่อนแต่ง แต่ถ้าบางคู่เฉยๆ ไม่คิดว่าคือสาระสำคัญของการใช้ชีวิตคู่ก็อาจไม่ต้องอยู่ก่อนแต่งก็ได้ แต่สำหรับเราๆไม่คิดจะอยู่ก่อนแต่งแน่นอนเพราะเราคิดว่าคนถ้ามันจะเปลี่ยนต่อให้ยังไงมันก็เปลี่ยน ต่อให้รู้จักรู้ใจแค่ไหนเข้ากันได้แค่ไหน แต่ถ้าวันหนึ่งมีคนหนึ่งคนใดคิดว่าอีกคนมันไม่ใช่แล้ว มันก็ไม่ใช่ แล้วทำไมต้องอยู่ก่อนแต่งด้วยล่ะ อย่างเราก็แต่งไปเลยไม่ใช่ก็เลิก เราไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหนกับการอยู่ก่อนแต่งแล้วเลิก กับแต่งแล้วเลิกเพราะฉะนั้นถ้าแต่งแล้วเลิกมันน่าจะดีกว่าในแง่ที่ถ้ามีลูกด้วยกัน หรืออยากเลิกให้เด็ดขาดไปเลย
ความคิดเห็นที่ 29
ในฐานะที่เป็นผู้หญิง ขอตอบว่าแค่ไปเที่ยว ไปกินข้าว ไปดูหนังมันดูไม่รู้ถึงสันดานหรอกค่ะ
มันต้องอยู่ด้วยกันน่ะ ตัวตนถึงจะออก แล้วตอนนั้นก็จะรู้ว่าเลิกไม่เลิก เราเห็นด้วยกับการอยู่ก่อนแต่ง
เพราะคุณค่าของเราไม่ได้อยู่ตรงเยื่อหว่างขา ผู้ชายคนไหนคิดว่าเรามีค่าแค่นั้น ก็คงไม่มาคบกันให้เสียเวลาค่ะ
เราเป็นคนไม่ใช่รถมือสองจะได้ให้มาตีราคาว่่าจะให้เท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม ไม่มีผู้ชายเราก็อยู่ได้ค่ะ ไม่ตาย
ส่วนตัวถ้าจะอยู่กับใครสักคนก็ต้องแน่ใจในระดับหนึ่งว่าเขาเป็นคนดีและเข้าใจเรา แต่เราคงไม่แต่งงานทั้งๆ ที่ยังไม่ลองใช้ชีวิตร่วมกันค่ะ
เรื่องอะไรต้องไปจดทะเบียน จัดงานแต่งหรูหรา แล้วเลิิกกันก็ต้องจูงมือไปเซ็นใบหย่าอีก โอยย เสียเวลาเสียตังค์มาก
แล้วถ้าคิดว่าฝ่ายหญิงเสียเปรียบ จะโดนชาวบ้านนินทา เอ่อ ขอโทษนะคะ "ชาวบ้าน" พวกนั้นจะให้ตังค์เราใ้ช้?
มาร้องไห้กับเราเวลามีปัญหา? มาเป็นทุกข์กับเรารึเปล่า เราไม่แคร์ค่ะ ใครจะมองเรายังไง อินดี้มั้ง ฮ่าๆ
การอยู่ก่อนแต่ง มันสามารถกรองผู้ชายได้ระดับหนึ่งเลยนะคะ ว่าจะรอดไหม ถ้าแต่งเลย คือมันยังไม่กรองอ่ะ
มันเหมือนต้องไปชิงโชค ไปลุ้นให้ถูกหวย โอกาสคือ 50/50 ถามว่ารักกันจริงๆ แต่แต่งไป ได้ไปลอง "ใช้ชีวิต"
อยู่ด้วยกันแบบสามีภรรยา มันเหมือนไปแฮปปี้กันข้าวดูหนังหรอคะ? มันมีทั้งทุกข์และสุขที่คนสองคนต้องผ่านไปให้ได้
มีสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสองครอบครัว บลาๆๆ คือจะไปรอดไหมมันไม่เี่กี่ยวกับผู้ชายหรือผู้หญิงที่คบมันเป็นคนดีหรือไม่ดี
แต่มันวัดว่า จะอยู่กันได้ไหมต่างหาก
แต่ใครจะให้ความสำัคัญมันก็เป็นสิทธิของเขานะคะ แค่อย่ามาก้าวก่ายกันก็พอ^^
มันต้องอยู่ด้วยกันน่ะ ตัวตนถึงจะออก แล้วตอนนั้นก็จะรู้ว่าเลิกไม่เลิก เราเห็นด้วยกับการอยู่ก่อนแต่ง
เพราะคุณค่าของเราไม่ได้อยู่ตรงเยื่อหว่างขา ผู้ชายคนไหนคิดว่าเรามีค่าแค่นั้น ก็คงไม่มาคบกันให้เสียเวลาค่ะ
เราเป็นคนไม่ใช่รถมือสองจะได้ให้มาตีราคาว่่าจะให้เท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม ไม่มีผู้ชายเราก็อยู่ได้ค่ะ ไม่ตาย
ส่วนตัวถ้าจะอยู่กับใครสักคนก็ต้องแน่ใจในระดับหนึ่งว่าเขาเป็นคนดีและเข้าใจเรา แต่เราคงไม่แต่งงานทั้งๆ ที่ยังไม่ลองใช้ชีวิตร่วมกันค่ะ
เรื่องอะไรต้องไปจดทะเบียน จัดงานแต่งหรูหรา แล้วเลิิกกันก็ต้องจูงมือไปเซ็นใบหย่าอีก โอยย เสียเวลาเสียตังค์มาก
แล้วถ้าคิดว่าฝ่ายหญิงเสียเปรียบ จะโดนชาวบ้านนินทา เอ่อ ขอโทษนะคะ "ชาวบ้าน" พวกนั้นจะให้ตังค์เราใ้ช้?
มาร้องไห้กับเราเวลามีปัญหา? มาเป็นทุกข์กับเรารึเปล่า เราไม่แคร์ค่ะ ใครจะมองเรายังไง อินดี้มั้ง ฮ่าๆ
การอยู่ก่อนแต่ง มันสามารถกรองผู้ชายได้ระดับหนึ่งเลยนะคะ ว่าจะรอดไหม ถ้าแต่งเลย คือมันยังไม่กรองอ่ะ
มันเหมือนต้องไปชิงโชค ไปลุ้นให้ถูกหวย โอกาสคือ 50/50 ถามว่ารักกันจริงๆ แต่แต่งไป ได้ไปลอง "ใช้ชีวิต"
อยู่ด้วยกันแบบสามีภรรยา มันเหมือนไปแฮปปี้กันข้าวดูหนังหรอคะ? มันมีทั้งทุกข์และสุขที่คนสองคนต้องผ่านไปให้ได้
มีสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสองครอบครัว บลาๆๆ คือจะไปรอดไหมมันไม่เี่กี่ยวกับผู้ชายหรือผู้หญิงที่คบมันเป็นคนดีหรือไม่ดี
แต่มันวัดว่า จะอยู่กันได้ไหมต่างหาก
แต่ใครจะให้ความสำัคัญมันก็เป็นสิทธิของเขานะคะ แค่อย่ามาก้าวก่ายกันก็พอ^^
ความคิดเห็นที่ 3
ผมตอบในฐานะฝ่ายชายนะครับ จะตอบแบบตรงๆเลยนะ
ผมสนับสนุนให้ "อยู่ก่อนแต่ง" ครับ แต่ต้องมีข้อแม้ว่า ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีการมีงานทำแล้ว ดูแลตัวเองได้แล้วนะครับ
ถ้ายังเรียนมัธยมอยู่ หรือเรียนมหาลัยอยู่ อันนี้ไม่สนับสนุนให้ไปอยู่กันเป็นคู่ๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
ซึ่งการอยู่ก่อนแต่งนี้ ก็จะต้องเรียนรู้กันในทุกๆเรื่องครับ ย้ำว่าทุกๆเรื่อง ซึ่งผมหมายรวมถึงเรื่อง SEX ไว้ด้วย
แต่ก็จะต้องมี SEX อย่างฉลาดนะครับ คือจะต้องใส่ถุงยางอนามัยด้วย จะได้ไม่ท้องก่อนแต่ง
เพราะเรื่อง SEX นี้ ถือว่าสำคัญมากๆสำหรับชีวิตคู่ครับ
ป.ล. เมื่อเวลาผ่านไป สังคมย่อมเปลี่ยนตามครับ
ซื้อหนังสือ เรายังอยากเปิดดูสารบัญ เปิดดูเนื้อหาคร่าวๆก่อนเลย ใครเล่าอยากดูแต่ปก
ผมสนับสนุนให้ "อยู่ก่อนแต่ง" ครับ แต่ต้องมีข้อแม้ว่า ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีการมีงานทำแล้ว ดูแลตัวเองได้แล้วนะครับ
ถ้ายังเรียนมัธยมอยู่ หรือเรียนมหาลัยอยู่ อันนี้ไม่สนับสนุนให้ไปอยู่กันเป็นคู่ๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
ซึ่งการอยู่ก่อนแต่งนี้ ก็จะต้องเรียนรู้กันในทุกๆเรื่องครับ ย้ำว่าทุกๆเรื่อง ซึ่งผมหมายรวมถึงเรื่อง SEX ไว้ด้วย
แต่ก็จะต้องมี SEX อย่างฉลาดนะครับ คือจะต้องใส่ถุงยางอนามัยด้วย จะได้ไม่ท้องก่อนแต่ง
เพราะเรื่อง SEX นี้ ถือว่าสำคัญมากๆสำหรับชีวิตคู่ครับ
ป.ล. เมื่อเวลาผ่านไป สังคมย่อมเปลี่ยนตามครับ
ซื้อหนังสือ เรายังอยากเปิดดูสารบัญ เปิดดูเนื้อหาคร่าวๆก่อนเลย ใครเล่าอยากดูแต่ปก
แสดงความคิดเห็น
"อยู่ก่อนแต่ง" หญิง ชาย คิดยังไง ?
จะดีมั้ยถ้าจะคบกันจริงๆ ถึงขั้นแต่งงาน ควรรู้จักกันให้หมดเปลือกก่อน
http://pantip.com/topic/30368568
ถ้ารู้จักกันไปจนถึงระดับครอบครัวและวงศาคณาญาติ ชีวิตจะง่ายขึ้นนะเราว่า หลาย ๆ คู่มักมีปัญหาครอบครัวเดิมของแต่ละฝ่าย หรืออย่างปัญหาแม่ผัว-ลูกสะใภ้ ถ้าเลือกผู้หญิงที่เข้ากับแม่ได้ ปัญหาก็ไม่เกิดนะ
เราเป็นพวกสนับสนุนให้อยู่ก่อนแต่ง กล่าวคือ หมั้นหมายกันให้เป็นเรืี่องเป็นราว แล้วทดลองอยู่ด้วยกัน . . ผ่านไปสักปี ถ้าไปรอดก็ค่อยแต่ง เพราะการหมั้นจะทำให้เราสนิทกับครอบครัวของเขามากขึ้นด้วยนะ
เห็นด้วยกับความคิดนี้ แต่คนไทยมักมองเป็นการเอาเปรียบฝ่ายหญิง
ก็มีของหมั้นประกันเอาไว้อยู่แล้ว . . เราไม่คิดว่าเป็นการเอาเปรียบหรอกนะ เพราะสมัยก่อน ก็มีพิธีหมั้นก่อนพิธีแต่งอยู่แล้ว เพียงแต่คนสมัยนี้ตีความหมายของการหมั้นผิดไปจากเดิมมาก
สำหรับเราแล้ว . .การหมั้นและการอยู่ก่อนแต่งสำคัญมากนะ เพราะมันจะทำให้เราเข้าใจและรู้จักครอบครัวของอีกฝ่ายอย่างจริงจัง เพราะมันแตกต่างจากการเข้าตามตรอก - ออกตามประตูในช่วงเป็นแฟนกันอย่างมาก จริง ๆ แล้วอาจพูดได้ว่าเป็นการแต่งงานกันไปแล้วครึ่งตัวน่ะ ถ้าได้ทดลองอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวก่อนแต่งจริง ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง . . มันก็ดีด้วยกันทั้งสองฝ่ายในระยะยาว เราคิดแบบนี้นะ และครอบครัวเราก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ( พ่อบอก )
แบ่บว่า . .
ช่วงที่หมั้นกันอยู่นี้ ต้องไม่ปล่อยให้มีลูกออกมาระหว่างนี้นะ ไม่งั้นจะยิ่งเป็นการเพิ่มปัญหาให้ยุ่งยากขึ้นไปอีก หากอยู่ด้วยกันแล้วมันไม่ลงตัวตามที่ได้วางแผนกันเอาไว้น่ะ
หญิง ชาย รู้สึกไง ? คิดยังไง ? ไม่จำกัดความเห็นครับ โสด ไม่โสด
* เจ้าของความคิดนี้ เค้าจะโกรธผมมั้ย ก๊อบมาหมดเลย เครดิตคุณ 12478B13