บทสัมภาษณ์ โป๊ป ธนะวรรธ์ (เก่าแล้วนะจ๊ะ)

บทสัมภาษณ์นานแล้วนะคะ ตั้งแต่สมัยดอกส้ม
cradit: http://women.kapook.com/view25886.html

โป๊ป  อีกหนึ่งหนุ่มที่น่าจับตามอง (ภาพยนตร์บันเทิง)
เรื่อง กระเทียมถา
          กำลังเป็นที่ถามถึงของสาว ๆ ทั่วบ้านทั่วเมืองสำหรับ "โป๊ป" ธนวรรธน์ วรรธนะกูติ หรือ นัท ตัวละครที่น่ารักและมากเสน่ห์ใน ละครกำลังแรงจัดใน "ดอกส้มสีทอง" กรี๊ดและหลงรักนายโป๊ปกันซะขนาดนี้ ภาพยนตร์บันเทิงไม่จัดให้ไม่ได้แล้ว ขึ้นปกและจัดแฟชั่นให้ชมกันเต็มอิ่มไปเลย จากนั้นมานั่งคุยกันแบบชิลล์ ๆ เพราะโป๊ปก็ไม่ใช่หนุ่มหน้าใหม่เพิ่งเข้าวงการประสบการณ์ก็มีบ้างแล้ว แต่ที่พีคจัด ๆ ก็บทของนัทนี่เอง การแสดงไหลลื่น ไม่ติดไม่ขัด เล่นเป็นธรรมชาติ ใคร ๆ ก็เข้าใจว่านี่คือละครเรื่องแรกของเขา แต่ผิดถนัด...

            โป๊ป ธนวรรธน์ : ละครเรื่องแรกของผมคือ "เขาชื่อกานต์" (ออนแอร์ทาง ไทยพีบีเอส) ภาพยนตร์เรื่องแรก "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๓ ตอน ยุทธนาวี" และ "October Sonata" แต่ "October Sonata" ได้ฉายก่อน ส่วน "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ" เพิ่งจะได้ฉาย จะเห็นผมในเรื่องประมาณ 3 ช็อตเองครับ ถ้าใครไม่รู้จักผมก็คงจำกันไม่ได้แน่ ๆ

รู้ไหม กระแสตอบรับ "นัท" ใน "ดอกส้มสีทอง" มาแรงมาก

            โป๊ป ธนวรรธน์ : อันนี้ผมไม่ได้เช็กเอง แต่พี่ ๆ ทีมงานบอกให้ฟังว่า มีคนชื่นชอบในการแสดง ตอนแรกที่บรอดคาซท์ฯ ติดต่อมา เขาบอกให้ผมมาเล่นรับเชิญ พออ่านบทผมก็พอรู้ว่านัทจะเป็นเด็กศิลปกรรมที่อาร์ต ๆ หน่อย มองโลกในแง่ดี รู้ประมาณคร่าว ๆ ครับ แต่พอเล่นไปเรื่อย ๆ บทมันก็ค่อย ๆ มา ทำไปทำมาผมคิดว่า บทนัทเป็นบทที่ดีมาก ถึงแม้จะไม่ได้แสดงตลอดทั้งเรื่อง แต่ผมก็รู้สึกว่ามันมีอะไรให้นักแสดงคนหนึ่งได้เล่นเยอะมาก ทั้งกุ๊กกิ๊ก ดราม่า มันมีครบในตัวนัทเลยครับ

ร่วมงานกับ "เรยา" เอ่อ ชมพู่ อารยา เป็นอย่างไรบ้าง

            โป๊ป ธนวรรธน์ : วันแรกไปถึงเจอชมพู่ก็แบบ สวัสดีครับ เขาก็สวัสดีค่ะ คือไม่คุยอะไรกันเลยนะ สักพักนึงประมาณ 2-3 ชั่วโมง พี่หมี ก็เดินมาบอกว่า โป๊ปต้องคุยกับชมพู่ด้วยนะ เพราะเราเป็นเพื่อนสนิทกัน ต้องทำความรู้จักนะ เราเป็นผู้ชายต้องทำตัวเข้าหาก่อน (หัวเราะ) ผมเข้าฉากครั้งแรกเป็นซีนที่จะพาชมพู่ไปวาดรูปที่ทุ่งนา ก็ยืนรออยู่หน้าบ้านตั้งแต่เช้าและถือกระดานมา นั่นเป็นครั้งแรกก็แบบ โอ้ว แล้วเราไม่รู้จักชมพู่มาก่อน เราก็เล่นแบบว่าเขาเป็นคนที่เราแอบชอบมานานแล้ว เป็นเพื่อนสนิทเขา แต่ก็ทำออกมาได้อย่างที่ต้องการ

นานไหมกว่าจะสนิทกัน

            โป๊ป ธนวรรธน์ : นานนะเพราะผมเข้าฉากกับชมพู่น้อย บางที 2 อาทิตย์มาเข้าทีนึง แต่หลัง ๆ ก็เริ่มสนิท ฉากเริ่มดราม่าตอนจะจบแล้ว ก็มาคุยกับชมพู่มากขึ้นคุยเรื่องนู้น เรื่องนี้ก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น

มีอยู่ฉากหนึ่งด่า "ฟ้า" ว่า "เลว"

            โป๊ป ธนวรรธน์ : โห ตอนนั้นรู้สึกว่าทำไมเขียนบทให้นัทปากร้ายขนาดนี้ ด่าเสียเลย (หัวเราะ) ผมก็โอเค.เขียนบทออกมาแบบนี้ นัทก็คงเป็นคนแบบนี้ล่ะ ผมก็เชื่อในบทที่เขียนมา บางทีนัทมันอาจไม่ชอบพฤติกรรม เพราะเขาก็สอนวาดรูปให้กับเด็กสลัม แล้วเด็กที่เป็นแบบนี้พ่อแม่เลิกกัน บางทีมีลูกก่อนแต่งก็ทิ้งเด็กไว้ เด็กก็มีปัญหา นัทก็คงจะรู้ในแบ็กกราวนด์ตรงนี้ เลยไม่ชอบคนไปเป็นเมียน้อยเขา หรือทำอะไรไม่ดี ทำให้สังคมมันแตกแยก แล้วสิ่งสำคัญคือ นัท มันสงสารเด็ก คือผู้ใหญ่ทำให้เด็กเป็นแบบนี้ ผมก็เลยเข้าใจว่า นัท เป็นอย่างนี้ คนเขียนบทอาจต้องการให้เป็นแบบนี้

ช่วงเวลาที่หายไป 5 ปี หลังประกวดตามหา "จะเด็ด"

            โป๊ป ธนวรรธน์ : ตอนที่ผมประกวด จะเด็ด ผมรู้สึกว่าแค่เดือนเดียวเราก็ได้เป็นพระเอกแล้ว ตอนนั้นผมรู้สึกว่าการเป็นพระเอกมันง่าย ไม่ได้ยากอะไร แล้ววันหนึ่งมันกลับมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราไม่ได้ถ่าย โปรเจ็กต์ก็ล่มไป ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ก็ 5 ปี ผมสู้มาตลอด และคิดเสมอว่า การที่คนเราจะได้อะไรมาสักอย่างมันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ทาง พร้อมมิตรฯ เขาให้ผมเขียนขี่ม้า ฟันดาบเรียนการแสดงก็ทำไปเรื่อย ๆ เพราะเราอยากทำตรงนี้ ผมอยากแสดงให้สมบทบาทที่สุด ใน 5 ปีที่ผ่านมา ผมต่อสู้มาตลอด อะไรให้ไปแคสผมก็ไปหมดทั้งแคสหนัง ละคร โฆษณา ได้ไม่ได้ผมก็ไป

จาก บริษัท พร้อมมิตร มาเซ็นสัญญากับช่อง 3

            โป๊ป ธนวรรธน์ : ทางช่อง 3 เขาเห็นงานจาก "October Sonata" พี่แหม่ม ที่ช่อง 3 ติดต่อให้ผมมาออดิชั่น ว่าพอจะทำอะไรได้บ้างในช่อง 3 แล้วก็หายเงียบไป สักพักใหญ่ หลังจากนั้นก่อนผมจะบวชแค่ 5 วัน ทางช่องก็เรียกให้ผมเข้ามาเซ็นสัญญา บอกว่า คุณอัมพร (อัมพร มาลีนนท์) อยากให้เล่นเป็น ชาลี ใน "เคหาสน์สีแดง" แต่ตอนนั้นผมเตรียมตัวจะบวช ผมเลยบอกว่าผมจะบวช 3 เดือนนะ รอผมได้ไหมครับ พี่เขาก็บอกจะเปิดกล้องแล้วคงไม่ทัน ผมก็คิดว่าไม่เป็นไร เรื่องบวชสำคัญมากกว่า ผมทำให้แม่ดีกว่า เรื่องงานไว้ทีหลัง

เริ่มทำบุญกับแม่ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ

            โป๊ป ธนวรรธน์ : เท่าที่ผมจำความได้ก็ตอน ม.4 ทำบุญเข้าวัดทำมาตั้งแต่เด็ก ๆ ครับ ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแม่ก็พาผมไปปฏิบัติธรรม ซึ่งทุกวันนี้ถ้ามีวันหยุดยาว ๆ แล้วผมว่างไม่ติดงานแม่ก็จะพาไปปฏิบัติธรรมเสมอ สงกรานต์ที่ผ่านมาผมก็ได้ไปนั่งสมาธิกับแม่และพี่สาวมาครับ

ปฏิบัติธรรมกันทั้งบ้านเลย

            โป๊ป ธนวรรธน์ : ใช่ครับ บ้านผมชอบทำบุญ โดยเฉพาะแม่จะทำบุญตลอด ทำบุญเยอะมาก (หัวเราะ)

วัยรุ่นสมัยนี้เริ่มห่างศาสนาแต่โป๊ปกลับสวนกระแส

            โป๊ป ธนวรรธน์ : ใช่ครับ ผมอยากจะบอกตรงนี้ว่า 5 ปี ผมเห็นประตูมันอยู่ข้างหน้า เห็นความสำเร็จอยู่ข้างหน้า แต่ผมไปไม่ถึงสักทีเหมือนมีอุปสรรคตลอดเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อคือคำสอนของพระพุทธเจ้า คือช่วงนั้นผมรู้สึกแย่มาก เพราะพ่อผมกำลังจะตายด้วยโรคมะเร็ง "นเรศวรฯ" ก็ถ่ายทำหนัก ช่วงนั้น มันมืดมัวไปหมด แต่สิ่งหนึ่งที่ผมตั้งใจจะทำคือ ผมจะไม่ทำตัวให้เลวหรือแย่ไปกว่านี้ ผมจะพยายามปฏิบัติธรรม คือช่วงนั้นผมว่างมาก ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาแม่ก็เลยพาผมไปปฏิบัติธรรมทุกเดือนเลยครับ

ตอนวัยรุ่นเกเร ทำตัวไม่ดีเหรอ

            โป๊ป ธนวรรธน์ : ไม่ใช่ครับ ไม่ได้แย่ ไม่เกเรมาก แต่บางทีคนเรามันมีปัญหาเยอะ มันก็ต้องหาวิธี หาทางออกดับทุกข์ด้วยการไปเที่ยวกับเพื่อน โน่น นี่ นั่น ใช่มั้ยครับ แต่ผมจะไปทำบุญกับแม่ ไปที่ไหนได้ก็ไป ทำบุญ บริจาค นั่งสมาธิ ช่วงนั้นคือทำบ่อยมาก แต่มันก็ไม่ได้เห็นผลว่าเราดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้นนะ แต่ผมจะมีความสุข จะรู้สึกว่าชีวิตมันก็เท่านี้ อย่าไปหวังอะไรเลย ถ้ามันได้มันก็ต้องได้ มันจะบอกมาเองในจิตใจเรา จนผมบวชเสร็จ พอออกมามันก็เปลี่ยนคือผมได้มาอยู่ช่อง 3 อย่าง "ดอกส้มสีทอง" ผมก็คิดว่าเราเป็นดาราที่มีส่วนเล็ก ๆ ในเรื่อง ผมก็ไม่คิดว่าจะมีคนมาชื่นชอบเราในบทนั้น เราก็งงเหมือนกัน

นำสิ่งที่ได้จากการปฏิบัติธรรมมาปรับใช้กับชีวิตยังไง

            โป๊ป ธนวรรธน์ : ผมมีสติ ผมคิดว่าถ้าคนเราทำดี ถ้าคนเราปฏิบัติธรรม การเดินจงกรม นั่งสมาธิ บางทีเวลาทำไปเรื่อย ๆ มันจะสอนเราเอง สอนด้วยจิตของเราเองโดยที่เราไม่ต้องไปฟังใคร อย่างเมื่อก่อนเราเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่พอได้ปฏิบัติธรรม เวลาใครทำอะไรเรามา เราเหมือนรู้ใจตัวเองแล้วว่าเรากำลังโกรธอยู่นะ พอเรารู้มันก็จะหายโกรธโดยอัตโนมัติไปเอง แล้วเมื่อมีสิ่งอะไรที่ทุกข์ใจเข้ามาแทนที่เราจะทุกข์หนัก แต่เรากลับรู้จักปล่อยวาง ทุกอย่างไม่มีอะไรแน่นอน วันนี้ดี พรุ่งนี้ก็ต้องไม่ดี จะให้ผมพูดก็พูดยาก มันเหมือนความรู้สึกของผมตอนนี้ว่า คือธรรมะมันคือที่สุดแล้วครับ ถ้าเรารู้และเข้าใจในธรรมชาติมันก็จะเกิดความสุขเล็ก ๆ ของเราในใจเองครับ

(ยังไม่จบจ้า)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่