ความจริงของตอนจบ

กระทู้สนทนา
ไม่ได้เอาเรื่องมาลงในถนนนักเขียนนานมากตั้งแต่เปลี่ยนระบบ สำหรับเรื่องที่ค้างกันไว้ ขอรีไรท์อีกรอบแล้วจะเอามาลงค่ะ มีเวลานิดหน่อยเลยเขียนอะไรเล่น ๆ มาลงบ้าง ถ้ามีข้อผิดพลาดอะไรก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย เพราะยอมรับว่า ไม่ได้เขียนงานแบบนี้มานานเลย ขอบคุณที่แวะมาอ่านกันนะคะ ^^

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


หากใครมาออกกำลังหรือเดินเล่นใกล้ ๆ กับสวนสาธารณะของหมู่บ้านจัดสรร ในช่วงเวลาประมาณสามสี่โมงเย็นก็จะพบกับหญิงสาวอายุประมาณสามสิบปีเศษนั่งอยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นจามจุรีใหญ่ นิ่งอยู่เนิ่นนานราวกับรูปปั้น

ผู้มาใหม่ คนนอกพื้นที่ หรือคนที่ผ่านมาผ่านไปโดยไม่ได้สังเกตอะไรมาก อาจจะคิดว่า เธอเป็นศิลปินริมถนนที่แสดงเป็นหุ่นนิ่ง ซึ่งจะเคลื่อนไหวก็ต่อเมื่อให้เงินหรือขอถ่ายรูปด้วยเท่านั้น แต่เมื่อลองเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก็จะรู้ทันทีว่า คิดผิด

หากสังเกตให้ดี จะเห็นว่าสายตาของเธอเลื่อนลอยไปไกลราวกับจมอยู่ในห้วงมิติที่ผู้อื่นไม่อาจแตะต้องหรือเข้าใจได้ บางครั้งก็ทำปากขมุบขมิบเหมือนสนทนากับตนเองหรือคนที่มองไม่เห็น บางทีก็ยิ้ม หัวเราะในเรื่องที่ไม่มีใครเข้าใจ แต่ส่วนใหญ่แล้ว เธอมักจะอยู่ในอาการซึมเศร้ามากกว่าจะอยู่ในอารมณ์อื่น

อาการเหล่านี้ ใครดูก็รู้ว่า สภาพจิตของเธอไม่ปกตินัก

แม้จะน่าสงสาร และดูอันตรายไปสักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นสำหรับตัวของเธอเองหรือคนอื่น ๆ ที่เดินผ่านไปมา  แต่เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมของเธอและผู้ดูแลที่เขาคอยสังเกตเธอจากหน้าต่างสำนักงานของนิติบุคคลประจำหมู่บ้าน ที่เขาจับพลัดจับผลูมาเป็นกรรมการทั้งที่เพิ่งมาเป็นสมาชิกใหม่ไม่นาน เขาก็พบว่า เธอมีคนมาส่ง มีคนมาคอยเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ ให้เธอนั่งเหม่อจนพอใจ แล้วจึงพากลับ ทำให้เขาพอจะรู้เหตุผลว่า คนที่อยู่มาก่อนถึงปล่อยให้เธอคนนั้นอยู่ในสวนสาธารณะได้โดยไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรนัก

“เธอไม่มีพิษมีภัยอะไรหรอก คุณ” เพื่อนบ้านคนหนึ่งบอก “เธอไม่เคยทำอันตรายให้ใคร มีคนดูแลอยู่ ไม่ต้องห่วง”  

หากมองเฉพาะเครื่องแต่งกายที่สะอาดสะอ้าน และสุขภาพโดยรวมเท่าที่ตาเห็น ไม่มีบาดแผล ไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ทางร่างกาย ประกอบกับความเอาใจใส่และวิธีการแสดงออกต่อเธอของผู้ดูแล ซึ่งบางทีก็เป็นผู้หญิง บางคราวก็เป็นผู้ชาย ทำให้เบาใจไปได้เปลาะหนึ่ง...  

อย่างน้อย เขาก็ไม่ต้องโทรศัพท์เรียกมูลนิธิเกี่ยวกับการช่วยเหลือเด็กและสตรี หรือแจ้งตำรวจให้มาจัดการ และที่สำคัญ ไม่มีใครปล่อยให้เธออยู่ในสภาพดังกล่าวโดยถือว่าธุระไม่ใช่ ด้วยเขาสังหรณ์ใจว่า คนในหมู่บ้านบางคนอาจรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเธอ เพียงแต่ไม่อยากพูดมากเท่านั้น

นานวันเข้า ความอยากรู้อยากเห็นก็ทำให้เขานึกอยากทราบความเป็นมาเป็นไปของหญิงสาวผู้นี้ขึ้นมาจนเกินกว่าจะวางเฉยอยู่โดยไม่ทำอะไรสักอย่างให้คลายสงสัย  

“คุณดูจะสนใจผู้หญิงคนนั้นมาก”

หญิงวัยกลางคนที่อาสามาช่วยงานห้องสมุดประจำหมู่บ้านเช่นเดียวกับเขาตั้งข้อสังเกต เขาได้แต่ยิ้มเขิน ๆ เหมือนเด็กถูกจับได้ว่ากำลังแอบทำอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่ก็ไม่ปฏิเสธในสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าว

“ผมอยากรู้ว่าเธอเป็นใครน่ะครับ” เขาสารภาพ

“แต่คุณไม่กล้าถาม หรือไม่รู้จะถามเธอยังไง” เธอเอ่ยยิ้ม ๆ เหลือบตามองออกไปนอกหน้าต่าง ณ จุดที่หญิงสาวผู้นั้นนั่งอยู่
“เพราะคุณมองแล้วก็รู้ว่า เธอไม่ปกติ”

“เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ครับ” เขายอมรับ ดูเหมือนคู่สนทนาของเขาจะรู้ ‘อะไรดี ๆ’ บางอย่าง “รู้จักเธอด้วยเหรอครับ”

เธอโคลงศีรษะไปมา “จะเรียกว่ารู้จักดีก็คงไม่ใช่ เอาเป็นว่า ฉันรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอจะดีกว่า”

มีบางอย่างในน้ำเสียงที่ทำให้เขารู้สึกว่า เธอพูดความจริงไม่หมด แต่เขาทำเป็นเฉยเสีย

“คุณเห็นเธอทำปากขมุบขมิบเหมือนเล่าเรื่องอะไรบางอย่างให้คนฟัง เดี๋ยวก็ยิ้ม เดี๋ยวก็หัวเราะ แล้วก็ซึมเศร้าไป สุดท้าย เธอก็กลับมายิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเหม่อลอยอยู่กับความคิดของตัวเองแล้วใช่ไหม”  

“ใช่ครับ” เขารู้สึกได้ทันทีว่าเสียงตอบของเขาเกือบจะห้วนไปด้วยความรำคาญที่อีกฝ่ายไม่เข้าประเด็นเสียที

“เธอเป็นอดีตภรรยาของเจ้าของหมู่บ้านจัดสรรที่พวกเราอยู่นี่แหละ”

คำตอบที่ได้รับมาโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้เขานิ่งอึ้ง อ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง “ว่าไงนะครับ”

ผู้ดูแลห้องสมุดร่วมกับเขายิ้มมุมปาก “ที่ฉันพูด เป็นความจริง... เธอเป็นอดีตภรรยาของเจ้าของหมู่บ้านจัดสรร สามีของเธอเสียไปสักสี่หรือห้าปีก่อน เพราะถูกยิง”

“ใครยิง...”

เธอนิ่งไปชั่วครู่ ถอนใจเบา ๆ เม้มริมฝีปากอย่างครุ่นคิด ก่อนตัดสินใจตอบ “วันนั้น มีเสียงปืนดังมาจากห้องของเจ้าของหมู่บ้าน ตอนที่ทุกคนเข้าไปพบ เขานอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นตรงหน้าของลูกชายคนเดียวที่เป็นเจ้าของหมู่บ้านคนปัจจุบัน ส่วนคนที่ถือปืนอยู่ในมือนั้น คือ เธอที่คุณเห็นทุกวันนี้นั่นละ”

เขาอุทานออกมา หันไปมองหญิงสาวที่ถูกพูดถึงโดยอัตโนมัติ และหันกลับมาจ้องมองคู่สนทนาของตนเองอย่างเสียมารยาทโดยไม่ได้ตั้งใจ

นี่ควรจะเป็นคดีดังที่สุดในรอบสี่หรือห้าปีที่ผ่านมา แต่ข่าวนี้กลับเงียบเชียบจนน่าประหลาดใจ  และดูเหมือนจะมีคนรู้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น

“คุณเป็นใคร ทำไมถึงทราบเรื่องนี้ได้”

หญิงวัยกลางคนยิ้มให้เขา “ฉันอยู่ในเหตุการณ์วันนั้น และหวังว่าคุณคงเข้าใจว่า เงินอาจใช้ปิดปากทุกคนได้ บันดาลหลายสิ่งหลายอย่างให้เป็นไปตามที่คนจ่ายเงินต้องการได้ ฉันพูดอย่างนี้แล้ว คุณน่าจะเดาได้ไม่ยากว่าทำไมเรื่องมันถึงเงียบนัก แต่สำหรับฉันแล้ว มันเป็นเรื่องที่ควรจะทำเสียมากกว่า”

“ฉันเคยเป็นแม่ครัวในบ้านหลังนั้นมาก่อน แต่ลาออกมาแต่งงาน แล้วไปเป็นแม่ครัวที่ร้านอาหารของสโมสรในโครงการกับสามี แต่ก็ยังกลับมาช่วยงานตามแต่คุณท่านที่เสียไปจะว่าจ้าง โดยเฉพาะเวลามีงานเลี้ยงที่บ้านอยู่บ่อย ๆ” เธอเล่า “ในวันที่เกิดเหตุ ฉันไปทำงานแทนแม่ครัวที่ลากลับบ้าน เพราะพ่อของแกป่วย...”

‘คุณผู้หญิง’ หรือ หญิงสาวชุดดำที่เขาเห็นใต้ต้นไม้คนนั้นอายุอ่อนกว่า ‘คุณท่าน’ หรือ เจ้าของบ้านจัดสรรผู้ล่วงลับร่วมสามสิบปี จะพูดว่าเธอมีอายุคราวลูกของผู้เป็นสามีก็ไม่ผิด เพราะลูกชายคนเดียวของสามีเธอแก่กว่าเธอเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น

การแต่งงานระหว่างชายที่มีอายุล่วงเลยวัยกลางคนไปไม่น้อยกับเลขานุการสาวที่วางตัวดี รู้กาลเทศะ และไม่เคยทำงานขาดตกบกพร่อง ไม่มีข้อคัดค้าน ไม่มีใครข้อสงสัยในความแตกต่างด้านอายุและสถานะของคนทั้งสอง ทุกอย่างราบรื่นและเรียบร้อยตลอดมา จนกระทั่ง ‘คุณผู้ชาย’ หรือ ลูกชายของอดีตเจ้าของบ้านจัดสรรและสืบทอดกิจการทั้งหมดในปัจจุบันกลับมาจากต่างประเทศ

การทำงานของสองพ่อลูกไม่มีปัญหาติดขัดอะไร ชายหนุ่มคนลูกทำหน้าที่ของรองประธานบริษัทได้อย่างดีเยี่ยม และชายสูงวัยผู้พ่อก็วางใจให้อีกฝ่ายกำหนดทิศทางการเติบโตและดูแลการตลาดของกิจการบ้านจัดสรรที่ขยายตัวยิ่งขึ้น รวมไปถึงกิจการเกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ ในเครือบริษัท แต่เมื่อกลับมาอยู่ที่บ้าน ความตึงเครียดระหว่างคนต่างวัยทั้งสองกลับเกิดขึ้นแทบตลอดเวลา บางครั้งถึงกับมีปากเสียงกัน

สาเหตุของความขัดแย้งระหว่างชายทั้งคู่ คือ คุณผู้หญิงของบ้าน

“คุณผู้ชายไม่พอใจหรือไม่ชอบที่คุณผู้หญิงแต่งงานกับคุณท่าน เพราะกลัวว่าเธอจะแย่งส่วนแบ่งมรดก หรือกลัวว่าเธอจะหลอกเอาเงินจากคุณท่านงั้นหรือครับ” เขาถาม

อดีตแม่ครัวส่ายหน้า พลางหัวเราะเบา ๆ กับข้อสันนิษฐานของเขา “ไม่ใช่เรื่องแบบนั้นหรอกค่ะ ไม่อย่างนั้น คุณผู้ชายคงจะคัดค้านไม่ให้คุณท่านแต่งงานกับเธอเสียแต่แรกแล้ว...”

ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นตรงกันข้ามกับที่เขาคิดไว้แทบจะคนละทาง ด้วยความขัดแย้งของสองพ่อลูกนั้นก่อตัวขึ้นเมื่อชายสูงวัยให้ภรรยาของตนทำหน้าที่เลขานุการของลูกชายไปพลาง ๆ ก่อนที่จะหาเลขานุการที่เป็นงานและมีประสบการณ์มากพอที่จะช่วยงานรองประธานบริษัทได้ ด้วยความใกล้ชิดสนิทสนม ชายหนุ่มก็เกิดหลงรักหญิงสาวซึ่งเป็นภรรยาของพ่อเข้าอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

เรื่องราวคงจะไม่บานปลาย ถ้าหากเขาตัดใจเสีย แต่เขากลับตัดสินใจบอกรักเธอ ขอให้เธอมองเขาบ้าง จนทำให้เธอรู้สึกว่า เธอไม่ควรอยู่ใกล้เขาอีกต่อไป ไม่เช่นนั้น เรื่องราวคงบานปลายไปอีกมาก เธอจึงขอให้คนอื่นมาทำหน้าที่เลขานุการรองประธานบริษัทแทนเธอ

การขอเปลี่ยนตำแหน่งกะทันหันทำให้คุณท่านประหลาดใจ ยิ่งเธอหลบเลี่ยงที่จะพูดความจริง ฝ่ายสามีก็ยิ่งสงสัย จนในที่สุด เธอจำเป็นต้องบอกเหตุผลที่แท้จริงในการขอเปลี่ยนตำแหน่งนั้น

คำพูดของเธอนั้นเชื่อถือได้และคุณท่านก็เชื่อใจเธอเสมอมา แต่การฟังความข้างเดียวนั้น ย่อมไม่ยุติธรรมกับอีกฝ่าย เขาจึงเชิญคุณผู้ชายมาพบ ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองพูดคุยกันอย่างไร นับแต่นั้นมา ความมึนตึงเฉยชาระหว่างคนสองวัยก็เกิดขึ้นแทบไม่เว้นวัน และหลังจากนั้น คุณท่านก็หาเลขานุการคนใหม่มาแทนภรรยา และย้ายเธอมาเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคล

แม้จะทำเช่นนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกคู่นี้ก็มิได้กระเตื้องขึ้นเลยแม้แต่น้อย กลับเลวร้ายลงทุกวัน จนกระทั่งถึงคืนวันเกิดเหตุ

หลังมื้ออาหารเย็น คุณท่าน คุณผู้หญิง คุณผู้ชายขึ้นไปหารือกันในห้องหนังสือ โดยกำชับไม่ให้ใครเข้าไปรบกวน ทั้งสามคนหายเข้าไปในห้องนานนับชั่วโมง ก่อนที่เสียงปืนจะดังขึ้น และเมื่อพังประตูเข้าไป ทุกคนในบ้านก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า

“อย่างที่ฉันเล่าให้คุณฟัง... ปืนอยู่ในมือของคุณผู้หญิง แต่สติสัมปชัญญะของเธอไม่เหลืออยู่แล้ว” อดีตแม่ครัวในบ้านที่เกิดเหตุเล่า “คนที่เล่าเหตุการณ์ให้ตำรวจและทุกคนฟังได้ มีแต่ตัวของคุณผู้ชายคนเดียวเท่านั้น”

“เขาเล่าว่ายังไงครับ” เขาถามด้วยความอยากรู้เต็มที

เธอหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง จะเอ่ยปากเล่าก็มีเด็กสาวคนหนึ่งเข้ามาในห้องสมุด ขอพาสเวิร์ดอินเทอร์เน็ตไร้สาย แล้วพาตัวเองไปนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ที่มุมห้องไกล ๆ

“คุณผู้ชายบอกตำรวจว่า คุณท่านหยิบปืนออกมาทำท่าจะยิงคุณผู้ชาย” เธอเริ่มเล่า เมื่อแน่ใจว่าผู้มาใหม่จะไม่ได้ยินเรื่องที่กำลังพูดกัน “ตัวคุณผู้ชายก็เลยเข้าไปแย่งปืน ตัวของคุณผู้หญิงเลยพยายามเข้ามาแยกทั้งสองคนจากกัน บอกให้หยุดทะเลาะกันได้แล้ว แต่ตอนกำลังดึงปืนออกจากมือคุณท่าน คุณผู้หญิงที่ใช้ปืนไม่เป็น ไม่รู้เรื่องปืนเลย คงจะเผลอไปโดนไกเข้า เพราะคุณท่านขึ้นนกปืนเอาไว้แล้ว พร้อมยิงทันที ปืนก็เลยลั่นถูกคุณท่าน...”

เขาฟังแล้วได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย หากไม่ได้ออกความเห็นใด ๆ

“คุณคงคิดสินะ ว่าสิ่งที่เขาเล่าเป็นความจริงหรือเปล่า” เธอเอ่ยขึ้นเหมือนรู้ทัน

“คนที่มีสติตอนนั้นมีแต่คุณผู้ชายคนเดียวเท่านั้น... เพราะฉะนั้น...” เขากล่าวได้เพียงเท่านี้ ก็หยุดไป เมื่อนึกขึ้นได้ว่า เจ้าของเรื่องเล่าเคยเป็นลูกจ้างของครอบครัวดังกล่าวมาก่อน “ขอโทษครับ...”

เธอยิ้มน้อย ๆ “ไม่ต้องขอโทษหรอก คุณ... ฉันเองก็เคยคิดเหมือนคุณนี่ละ จนกระทั่ง...”

“จนกระทั่งอะไรครับ”



“จนกระทั่งได้ฟังจากปากของคุณผู้หญิงเองว่า เธอเป็นคนยิง”



(มีต่อค่ะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่