เนื่องจากเป็นการตั้งกระทู้ในพันทิปครั้งแรก แถมยังเป็นเวอร์ชั่นใหม่เสียด้วย หากทำอะไรผิดพลาดไปขออภัยด้วยนะครับ
ขอย้ำก่อนนะครับ
1. ที่ตั้งกระทู้นี้ไม่ได้เรียกร้องอะไรทั้งสิ้นครับ เพียงอยากให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้ประกอบอาชีพในสถานพยาบาลต่างๆ ว่าการเอาใจใส่คนไข้ไม่ดีพอ บางทีแค่เรื่องเล็กน้อย มันก็อาจถึงชีวิตของคนไข้ที่อยู่ในความดูแลของท่านได้ครับ และขอปิดบังชื่อคนไข้ โรงพยาบาล และวัด(รวมถึงสถานที่ที่เกียวข้อง) เอาไว้นะครับ ด้วยเหตุผลข้างต้น (และไม่ได้ต้องการดราม่านะฮับ)
2. ผมไม่ได้มีความรู้ด้านการแพทย์ครับ และนานๆ ทีถึงจะป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล ศัพท์บางศัพท์ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าเรียกกันว่าอะไร หากใช้ศัพท์ผิด หรืออธิบายงงๆ ไปก็ขออภัยด้วยครับ)
3. โรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดครับ โรงพยาบาลรัฐนั่นแหละ
4. ผมเองมีช่วงที่ไม่ได้อยู่กับคนไข้ จึงนำจากคำบอกเล่าของคุณแม่มาเพิ่มเติมนะครับ
5. อันนี้เพิ่มเติมมาทีหลังนะครับ เพราะมีน้องแย้งมาว่าควรจะบอกแต่แรกว่าหมอที่ทำการรักษา มีสองคนครับ คือคุณหมอจากฝ่ายอายุรกรรม และคุณหมอจากฝ่ายศัลยกรรม
ขอเล่าอาการของคุณตาผมคร่าวๆ ก่อนครับว่าท่านเสียด้วยสาเหตุใด แล้วค่อยเข้าสู่เนื้อหาหลักนะครับ
- โรคของคุณตาของผมคือ มะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะสุดท้าย แต่สาเหตุที่เสียชีวิตนั้นไม่ใช่ครับ แต่เป็น
"ติดเชื้อในช่องท้อง และกระแสเลือด" ครับ เนื่องจาก
"ลำไส้ใหญ่ปริ"
- ผมมาทราบทีหลังก่อนคุณตาเสียไม่นานว่า คุณตาเคยไปตรวจริดสีดวงไว้ หมอเจอเนื้องอกอยู่ (ซึ่งไม่ใช่ริดสีดวง) ซึ่งได้นำชิ้นเนื้อบางส่วนไปตรวจ แต่ไม่เจอมะเร็ง แต่หมอไม่มั่นใจ จึงนัดตรวจในวันที่ 9 เมษายน (เห็นบอกต้องกลืนแป้งหรืออะไรนี่แหละ) แต่ก็ไม่ทันได้ตรวจ
เข้าเรื่องเลยละกัน
คุณตาผมเป็นคนแก่ที่ดูภายนอกถือว่าค่อนข้างแข็งแรง (ส่วนตัวแล้วหลังๆ ไม่ค่อยได้อยู่กับคุณตาครับ เพราะมาเรียนอยู่ที่รังสิต) เป็นช่างไม้ที่แถวบ้านผมถือกันว่าฝีมือดีทีเดียว
อย่างที่บอกว่าผมเรียนอยู่รังสิต และวันที่ 1 เมษายน ผมกลับบ้านพอดีครับ เนื่องจากเพิ่งเรียนจบ กำลังหางานทำ เลยกลับไปรับสด.8 (สมุดประจำตัวทหารกองหนุน) เนื่องจากอยู่รังสิตตลอดเลยไม่ได้กลับไปรับ (ซึ่งจริงๆ ควรจะไปรับตั้งแต่ปี 1 แล้ว ดีนะเขาเก็บไว้ให้ ถ้าไม่จำเป็นในการสมัครงานก็คงไม่ได้ไปรับอีกนั่นแหละ =___=) วันนั้นจึงได้อยู่พร้อมหน้าครอบครัวเลยครับ ผม พ่อ-แม่ น้องสาว และคุณตา ตกเย็นก็พากันไปทานอาหารกันนอกบ้านตามปกติ พอราวๆ ตี 1:30 คุณตาก็มาปลุกพ่อผมให้พาไปโรงพยาบาลที เนื่องจากปวดท้อง (ไม่ได้ถ่ายมาประมาณ 4 วัน) ซึ่งพอถึงโรงพยาบาล ทางเจ้าหน้าที่เปลก็เข็นเปลมารับ คุณตาผมก็พูดเสียดังว่า
"ไม่ต้องหรอก แค่นี้ตาเดินเองได้ สบายๆ" แล้วก็ทำท่าจะเดินไปห้องฉุกเฉิน
ทางเจ้าหน้าที่เปลก็บอก "ไม่ต้องตา เดี๋ยวยังไงก็ต้องนอนให้หมอตรวจอยู่ดี" ตาผมจึงยอมนอน
ผมนำบัตรคนไข้คุณตาไปยื่นตรวจสิทธิ์ (ใช้สิทธิ์จ่ายตรงของข้าราชการครับ แม่ผมเป็นข้าราชการบำนาญ ตาผมเลยพลอยได้สิทธิ์ไปด้วย แต่ผมอายุเกินรับสิทธิ์ละ 555) และเดินไปรอหน้าห้องฉุกเฉิน (ไม่ทราบว่าโรงพยาบาลอื่นจะเหมือนกันรึเปล่านะครับ หากรับคนไข้นอกเวลา ที่โรงพยาบาลนี้จะรับไปตรวจที่ห้องฉุกเฉิน)
พอสักพัก พยาบาลก็เดินมาบอกว่า คนไข้ต้องนอนโรงพยาบาลนะ ให้ผมนำข้าวของเครื่องใช้มาให้ตาตอนเช้า ผมก็ขึ้นไปส่งตาที่ห้องคนไข้รวมแผนกอายุรกรรม ซึ่งตอนนั้นตาผมเองก็เดินเหินปกติ มีเถียงกับพยาบาลด้วยตอนเปลี่ยนชุด พยาบาลบอกว่าเปลี่ยนชุดที่นี่ก็ได้ ไม่ต้องไปห้องน้ำ ตาผมบอก ก็ผมปวดฉี่ จะไปห้องน้ำก่อนไม่ได้เหรอ (เสียงดังจนเตียงข้างๆ ตื่นเลย - -) แล้วก็เดินดุ่ยๆ ไปหาห้องน้ำ ผมก็ขอตัวกลับก่อน พอเช้า ก็นำพวกข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นของตาไปให้ครับ และแม่ผมอยู่เฝ้า ส่วนผมก็กลับรังสิต เพื่อเตรียมของใช้หลายๆ อย่างเพื่อกลับไปบ้านอีกรอบในวันที่ 3 เมษายนครับ (ตอนกลับทีแรกเตรียมของไปน้อยฮะ ไม่คิดว่าตาจะป่วย เลยต้องย้อนกลับมารังสิตและย้อนกลับบ้านอีก)
ตอนดึกวันที่ 2 (ผมถึงรังสิตแล้ว) คุณแม่โทรมาบอกว่าเมื่อตอนบ่ายหมอศัลยกรรมมาตรวจแล้วนะ ต้องผ่าตัดจริงๆ ด้วย
ตอนสายๆ วันที่ 3 ผมกลับไปถึงโรงพยาบาล ก็ลองถามประชาสัมพันธ์ว่าคนไข้(ตาผม)อยู่ห้องไหน เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าอยู่อายุรกรรม ชั้น 4 ค่ะ (ห้องเดิม) ผมก็แปลกใจว่าเมื่อตรวจว่าจะผ่าตัดแล้วไม่ต้องย้ายคนไข้ไปศัลยกรรมหรือ? พอขึ้นไปตอนสิบเอ็ดโมง (สามารถเยี่ยมคนไข้ได้ตอนสิบเอ็ดโมง-หกโมงเย็น) แม่บอกผ่าตอนบ่ายโมงนะ
ผมสังเกตว่าคุณตาเริ่มพูดจาไม่รู้เรื่อง แบบเพ้อๆ พอผมมา แม่บอกว่าหลานชายมานะ ตาก็บอก ยายผมมา (น้าของแม่) ผมก็ให้แม่ลงไปหาอะไรทาน เพราะยังไม่ได้ทานอะไรเลยแต่เช้า ผมก็เฝ้าคุณตาไว้จนกระทั่งราวๆ เที่ยงครึ่ง (แม่ยังไม่กลับมา) ทางพยาบาลก็มาเตรียมตัวคนไข้ และพาไปที่ห้องผ่าตัด และแม่ผมก็ตามมาที่ห้องผ่าตัดหลังจากตาผมเข้าห้องไปแล้ว
วันนั้นคิวผ่าตัดเยอะมากครับ ราวๆ 7 คนได้ (ในรอบบ่าย) และหมอผ่าตัดมีเพียงคนเดียว (ไม่ทราบว่าจริงๆ แล้วมีเยอะหรือเปล่า แต่พยาบาลบอกวันนี้มีหมอ(ชื่อคุณหมอ)คนเดียว และตาผมเป็นคิวสุดท้ายที่ผ่า (เสร็จห้าโมงเย็น)
เมื่อคุณตาออกจากห้องผ่าตัด ก็ต้องรีบพาเข้าห้อง ICU ในทันทีครับ (แต่ความรู้สึกส่วนตัว สีหน้าตาผมดูดีกว่าตอนก่อนผ่านะ...) จากที่ฟัง พยาบาลบอกว่าตอนนี้ให้ยาแก้ปวด และยานอนหลับคนไข้ไป อย่าไปปลุก และให้ญาติๆ กลับบ้านไป พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยม
ประมาณตี 5 ของวันที่ 4 เมษายน พยาบาลโทรมาแจ้งว่า คนไข้ติดเชื้อในกระแสเลือด และช่องท้อง คุณพ่อคุณแม่ผมก็เลยออกไปในทันที... พอสักสิบโมงก็กลับมาเล่าให้ฟังว่า
"คุณตาความดันลดลงเหลือ 40 ม่านตาขยาย ติดเชื้อในช่องท้องและลามไปกระแสเลือด เพราะว่ามีเนื้องอก งอกมาปิดทางออกลำไส้ใหญ่ไม่ให้อุจจาระออกมาได้ และพอออกไม่ได้ ลำไส้ใหญ่จึงอักเสบ บวม และปริออกมาภายหลัง"
คุณแม่ผมตั้งข้อสังเกตว่า ช่วงที่ผมไม่อยู่
พยาบาลได้มาสวนทวารคุณตา ตอนแรกด้วยลูกสวนธรรมดา ไม่ออก และได้เปลี่ยนเป็นหลอดน้ำสบู่ ก็ไม่ออก มันอาจทำให้ลำไส้ใหญ่เสียหายได้หรือไม่ และไม่ได้สวนเพียงครังเดียวครับ สวนเย็นวันที่ 2 และเช้าวันที่ 3 เลย" (ผมก็แปลกใจอีกว่าทำไมเมื่อตัดสินว่าต้องผ่าตัดแล้ว ยังต้องสวนอีกทำไม) และคุณตาผมไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เข้าโรงพยาบาล แต่เช้าวันที่ 3 หลังการสวนกลับ
อาเจียนออกมาเป็นน้ำ (ไม่ทราบว่าเป็นน้ำสบู่ที่สวนเข้าไปรึเปล่า)
พ่อแม่เลยโทรตามญาติๆ มาครับ พอให้เข้าเยี่ยมรอบบ่ายได้ ซึ่งตอนนั้นอาการเริ่มแย่ลง คุณหมอที่ดูแลบอกว่าน่าจะไม่เกินสามหรือสี่วัน และบอกสาเหตุ พร้อมตอบคำถามคนไข้ ซึ่งจะขอแยกเป็นประเด็นๆ ไปนะครับ
- สาเหตุการเสียชีวิต คุณหมอเปิดฟิล์มเอ็กซเรย์ให้ดู วันที่ 1 กับวันที่ 2 ตรงกันคือมีก้อนดำๆ คือของเสียอยู่แน่นในลำไส้ใหญ่ แต่พอวันที่ 3 มันหายไปแล้ว (เนื่องจากลำไส้ปริ ทำให้ของเสียกระจายเต็มช่องท้อง)
- คุณหมอ "ยอมรับความผิดทั้งหมด" ทั้งความผิดพลาดจากฝ่ายอายุรกรรม โดยบอกว่า "ผมเป็นคนสั่งสวนเอง" (ในตอนแรกคุณแม่คิดว่าคุณหมออีกท่านสั่ง คือเคสคุณตามีคุณหมอสองคนครับ คือคุณหมอจากฝ่ายอายุรกรรม และคุณหมอที่ทำการผ่าตัดในฝ่ายศัลยกรรม)
- คุณหมอบอกว่าพบเชื้อมะเร็งระยะสุดท้ายที่ลำไส้ใหญ่ ลามไปที่กระเพาะปัสสาวะครับ ซึ่งหากผ่าไปโดยที่ไม่โดนสวนทวารยังไงคุณตาก็เสียชีวิตอยู่ดี แต่ก็ยังมีเวลาให้คนไข้ได้ทำใจนานขึ้นเท่านั้น
- ท่าทางคุณหมอจะกลัวการโดนคุณพ่อคุณแม่ผมฟ้องมากครับ แต่ก็ยอมรับผิดทุกอย่าง คุณแม่ผมบอกว่าถึงฟ้องไป คุณตาก็ไม่ฟื้นมาหรอก แต่อยากให้คุณหมอช่วยพิจารณาว่าหากคนไข้อาการแย่ลงจากการรักษาก็ไม่ควรรักษาด้วยวิธีเดิมไม่ใช่หรือ แต่คุณหมอเปิดรายงาน บอกว่า "ทางอายุรกรรมไม่ได้รายงานอะไรผมมาเลยครับ"
- คุณพ่อผมก็พูดแค่ว่า อยากฝากให้ลองคิดดูว่า วันที่มาโรงพยาบาล คนไข้ยังดูแข็งแรงมาก ดูเหมือนป่วยไม่หนัก เราไว้ใจคุณให้ดูแลคนของเรา แต่คุณกลับทำผิดพลาดเพียงเพราะการสื่อสารระหว่างสองฝ่ายไม่ดีพอ มันควรปรับปรุงอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก
พอญาติๆ ทุกท่านเข้าเยี่ยมคุณตาครบ และกำลังจะกลับ ลงไปที่ชั้น 1 และยืนคุยอะไรกันนิดหน่อยก่อนกลับ ทางพยาบาลก็โทรแจ้งเข้ามาว่าหัวใจคนไข้หยุดเต้นแล้ว
ซึ่งศพคุณตาได้ทำการฌาปณกิจไปแล้วเมื่อวานนี้ครับ แกบอกอยากจะถ่ายรูปกับผมในวันรับปริญญา พอผมเรียนจบได้ไม่ทันสัปดาห์ คุณตาก็ไปเสียก่อนในวัย 80 ปี
อย่างที่บอกข้างต้นน่ะครับ อยากฝากเอาไว้เป็นอุทาหรณ์สำหรับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับด้านการแพทย์ฮะ และอยากให้เสนอแนะกันว่าหากอยู่ในสถานการณ์แบบผม ควรจะทำอย่างไร และป้องกันอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกครับ
**แก้ไขเพิ่มอีกจุดครับ ตรง "คุณหมอ "ยอมรับผิดทั้งหมด" " เนื่องจากพิมพ์ติดกันมันจะตรงกับระบบกรองคำของพันทิป....
อุทาหรณ์ที่อยากเล่า และฝากถึงบุคคลผู้อยู่ในวงการแพทย์จากกรณีคุณตาของผมครับ
ขอย้ำก่อนนะครับ
1. ที่ตั้งกระทู้นี้ไม่ได้เรียกร้องอะไรทั้งสิ้นครับ เพียงอยากให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้ประกอบอาชีพในสถานพยาบาลต่างๆ ว่าการเอาใจใส่คนไข้ไม่ดีพอ บางทีแค่เรื่องเล็กน้อย มันก็อาจถึงชีวิตของคนไข้ที่อยู่ในความดูแลของท่านได้ครับ และขอปิดบังชื่อคนไข้ โรงพยาบาล และวัด(รวมถึงสถานที่ที่เกียวข้อง) เอาไว้นะครับ ด้วยเหตุผลข้างต้น (และไม่ได้ต้องการดราม่านะฮับ)
2. ผมไม่ได้มีความรู้ด้านการแพทย์ครับ และนานๆ ทีถึงจะป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล ศัพท์บางศัพท์ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าเรียกกันว่าอะไร หากใช้ศัพท์ผิด หรืออธิบายงงๆ ไปก็ขออภัยด้วยครับ)
3. โรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดครับ โรงพยาบาลรัฐนั่นแหละ
4. ผมเองมีช่วงที่ไม่ได้อยู่กับคนไข้ จึงนำจากคำบอกเล่าของคุณแม่มาเพิ่มเติมนะครับ
5. อันนี้เพิ่มเติมมาทีหลังนะครับ เพราะมีน้องแย้งมาว่าควรจะบอกแต่แรกว่าหมอที่ทำการรักษา มีสองคนครับ คือคุณหมอจากฝ่ายอายุรกรรม และคุณหมอจากฝ่ายศัลยกรรม
ขอเล่าอาการของคุณตาผมคร่าวๆ ก่อนครับว่าท่านเสียด้วยสาเหตุใด แล้วค่อยเข้าสู่เนื้อหาหลักนะครับ
- โรคของคุณตาของผมคือ มะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะสุดท้าย แต่สาเหตุที่เสียชีวิตนั้นไม่ใช่ครับ แต่เป็น "ติดเชื้อในช่องท้อง และกระแสเลือด" ครับ เนื่องจาก "ลำไส้ใหญ่ปริ"
- ผมมาทราบทีหลังก่อนคุณตาเสียไม่นานว่า คุณตาเคยไปตรวจริดสีดวงไว้ หมอเจอเนื้องอกอยู่ (ซึ่งไม่ใช่ริดสีดวง) ซึ่งได้นำชิ้นเนื้อบางส่วนไปตรวจ แต่ไม่เจอมะเร็ง แต่หมอไม่มั่นใจ จึงนัดตรวจในวันที่ 9 เมษายน (เห็นบอกต้องกลืนแป้งหรืออะไรนี่แหละ) แต่ก็ไม่ทันได้ตรวจ
เข้าเรื่องเลยละกัน
คุณตาผมเป็นคนแก่ที่ดูภายนอกถือว่าค่อนข้างแข็งแรง (ส่วนตัวแล้วหลังๆ ไม่ค่อยได้อยู่กับคุณตาครับ เพราะมาเรียนอยู่ที่รังสิต) เป็นช่างไม้ที่แถวบ้านผมถือกันว่าฝีมือดีทีเดียว
อย่างที่บอกว่าผมเรียนอยู่รังสิต และวันที่ 1 เมษายน ผมกลับบ้านพอดีครับ เนื่องจากเพิ่งเรียนจบ กำลังหางานทำ เลยกลับไปรับสด.8 (สมุดประจำตัวทหารกองหนุน) เนื่องจากอยู่รังสิตตลอดเลยไม่ได้กลับไปรับ (ซึ่งจริงๆ ควรจะไปรับตั้งแต่ปี 1 แล้ว ดีนะเขาเก็บไว้ให้ ถ้าไม่จำเป็นในการสมัครงานก็คงไม่ได้ไปรับอีกนั่นแหละ =___=) วันนั้นจึงได้อยู่พร้อมหน้าครอบครัวเลยครับ ผม พ่อ-แม่ น้องสาว และคุณตา ตกเย็นก็พากันไปทานอาหารกันนอกบ้านตามปกติ พอราวๆ ตี 1:30 คุณตาก็มาปลุกพ่อผมให้พาไปโรงพยาบาลที เนื่องจากปวดท้อง (ไม่ได้ถ่ายมาประมาณ 4 วัน) ซึ่งพอถึงโรงพยาบาล ทางเจ้าหน้าที่เปลก็เข็นเปลมารับ คุณตาผมก็พูดเสียดังว่า
"ไม่ต้องหรอก แค่นี้ตาเดินเองได้ สบายๆ" แล้วก็ทำท่าจะเดินไปห้องฉุกเฉิน
ทางเจ้าหน้าที่เปลก็บอก "ไม่ต้องตา เดี๋ยวยังไงก็ต้องนอนให้หมอตรวจอยู่ดี" ตาผมจึงยอมนอน
ผมนำบัตรคนไข้คุณตาไปยื่นตรวจสิทธิ์ (ใช้สิทธิ์จ่ายตรงของข้าราชการครับ แม่ผมเป็นข้าราชการบำนาญ ตาผมเลยพลอยได้สิทธิ์ไปด้วย แต่ผมอายุเกินรับสิทธิ์ละ 555) และเดินไปรอหน้าห้องฉุกเฉิน (ไม่ทราบว่าโรงพยาบาลอื่นจะเหมือนกันรึเปล่านะครับ หากรับคนไข้นอกเวลา ที่โรงพยาบาลนี้จะรับไปตรวจที่ห้องฉุกเฉิน)
พอสักพัก พยาบาลก็เดินมาบอกว่า คนไข้ต้องนอนโรงพยาบาลนะ ให้ผมนำข้าวของเครื่องใช้มาให้ตาตอนเช้า ผมก็ขึ้นไปส่งตาที่ห้องคนไข้รวมแผนกอายุรกรรม ซึ่งตอนนั้นตาผมเองก็เดินเหินปกติ มีเถียงกับพยาบาลด้วยตอนเปลี่ยนชุด พยาบาลบอกว่าเปลี่ยนชุดที่นี่ก็ได้ ไม่ต้องไปห้องน้ำ ตาผมบอก ก็ผมปวดฉี่ จะไปห้องน้ำก่อนไม่ได้เหรอ (เสียงดังจนเตียงข้างๆ ตื่นเลย - -) แล้วก็เดินดุ่ยๆ ไปหาห้องน้ำ ผมก็ขอตัวกลับก่อน พอเช้า ก็นำพวกข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นของตาไปให้ครับ และแม่ผมอยู่เฝ้า ส่วนผมก็กลับรังสิต เพื่อเตรียมของใช้หลายๆ อย่างเพื่อกลับไปบ้านอีกรอบในวันที่ 3 เมษายนครับ (ตอนกลับทีแรกเตรียมของไปน้อยฮะ ไม่คิดว่าตาจะป่วย เลยต้องย้อนกลับมารังสิตและย้อนกลับบ้านอีก)
ตอนดึกวันที่ 2 (ผมถึงรังสิตแล้ว) คุณแม่โทรมาบอกว่าเมื่อตอนบ่ายหมอศัลยกรรมมาตรวจแล้วนะ ต้องผ่าตัดจริงๆ ด้วย
ตอนสายๆ วันที่ 3 ผมกลับไปถึงโรงพยาบาล ก็ลองถามประชาสัมพันธ์ว่าคนไข้(ตาผม)อยู่ห้องไหน เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าอยู่อายุรกรรม ชั้น 4 ค่ะ (ห้องเดิม) ผมก็แปลกใจว่าเมื่อตรวจว่าจะผ่าตัดแล้วไม่ต้องย้ายคนไข้ไปศัลยกรรมหรือ? พอขึ้นไปตอนสิบเอ็ดโมง (สามารถเยี่ยมคนไข้ได้ตอนสิบเอ็ดโมง-หกโมงเย็น) แม่บอกผ่าตอนบ่ายโมงนะ ผมสังเกตว่าคุณตาเริ่มพูดจาไม่รู้เรื่อง แบบเพ้อๆ พอผมมา แม่บอกว่าหลานชายมานะ ตาก็บอก ยายผมมา (น้าของแม่) ผมก็ให้แม่ลงไปหาอะไรทาน เพราะยังไม่ได้ทานอะไรเลยแต่เช้า ผมก็เฝ้าคุณตาไว้จนกระทั่งราวๆ เที่ยงครึ่ง (แม่ยังไม่กลับมา) ทางพยาบาลก็มาเตรียมตัวคนไข้ และพาไปที่ห้องผ่าตัด และแม่ผมก็ตามมาที่ห้องผ่าตัดหลังจากตาผมเข้าห้องไปแล้ว
วันนั้นคิวผ่าตัดเยอะมากครับ ราวๆ 7 คนได้ (ในรอบบ่าย) และหมอผ่าตัดมีเพียงคนเดียว (ไม่ทราบว่าจริงๆ แล้วมีเยอะหรือเปล่า แต่พยาบาลบอกวันนี้มีหมอ(ชื่อคุณหมอ)คนเดียว และตาผมเป็นคิวสุดท้ายที่ผ่า (เสร็จห้าโมงเย็น)
เมื่อคุณตาออกจากห้องผ่าตัด ก็ต้องรีบพาเข้าห้อง ICU ในทันทีครับ (แต่ความรู้สึกส่วนตัว สีหน้าตาผมดูดีกว่าตอนก่อนผ่านะ...) จากที่ฟัง พยาบาลบอกว่าตอนนี้ให้ยาแก้ปวด และยานอนหลับคนไข้ไป อย่าไปปลุก และให้ญาติๆ กลับบ้านไป พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยม
ประมาณตี 5 ของวันที่ 4 เมษายน พยาบาลโทรมาแจ้งว่า คนไข้ติดเชื้อในกระแสเลือด และช่องท้อง คุณพ่อคุณแม่ผมก็เลยออกไปในทันที... พอสักสิบโมงก็กลับมาเล่าให้ฟังว่า
"คุณตาความดันลดลงเหลือ 40 ม่านตาขยาย ติดเชื้อในช่องท้องและลามไปกระแสเลือด เพราะว่ามีเนื้องอก งอกมาปิดทางออกลำไส้ใหญ่ไม่ให้อุจจาระออกมาได้ และพอออกไม่ได้ ลำไส้ใหญ่จึงอักเสบ บวม และปริออกมาภายหลัง"
คุณแม่ผมตั้งข้อสังเกตว่า ช่วงที่ผมไม่อยู่ พยาบาลได้มาสวนทวารคุณตา ตอนแรกด้วยลูกสวนธรรมดา ไม่ออก และได้เปลี่ยนเป็นหลอดน้ำสบู่ ก็ไม่ออก มันอาจทำให้ลำไส้ใหญ่เสียหายได้หรือไม่ และไม่ได้สวนเพียงครังเดียวครับ สวนเย็นวันที่ 2 และเช้าวันที่ 3 เลย" (ผมก็แปลกใจอีกว่าทำไมเมื่อตัดสินว่าต้องผ่าตัดแล้ว ยังต้องสวนอีกทำไม) และคุณตาผมไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เข้าโรงพยาบาล แต่เช้าวันที่ 3 หลังการสวนกลับอาเจียนออกมาเป็นน้ำ (ไม่ทราบว่าเป็นน้ำสบู่ที่สวนเข้าไปรึเปล่า)
พ่อแม่เลยโทรตามญาติๆ มาครับ พอให้เข้าเยี่ยมรอบบ่ายได้ ซึ่งตอนนั้นอาการเริ่มแย่ลง คุณหมอที่ดูแลบอกว่าน่าจะไม่เกินสามหรือสี่วัน และบอกสาเหตุ พร้อมตอบคำถามคนไข้ ซึ่งจะขอแยกเป็นประเด็นๆ ไปนะครับ
- สาเหตุการเสียชีวิต คุณหมอเปิดฟิล์มเอ็กซเรย์ให้ดู วันที่ 1 กับวันที่ 2 ตรงกันคือมีก้อนดำๆ คือของเสียอยู่แน่นในลำไส้ใหญ่ แต่พอวันที่ 3 มันหายไปแล้ว (เนื่องจากลำไส้ปริ ทำให้ของเสียกระจายเต็มช่องท้อง)
- คุณหมอ "ยอมรับความผิดทั้งหมด" ทั้งความผิดพลาดจากฝ่ายอายุรกรรม โดยบอกว่า "ผมเป็นคนสั่งสวนเอง" (ในตอนแรกคุณแม่คิดว่าคุณหมออีกท่านสั่ง คือเคสคุณตามีคุณหมอสองคนครับ คือคุณหมอจากฝ่ายอายุรกรรม และคุณหมอที่ทำการผ่าตัดในฝ่ายศัลยกรรม)
- คุณหมอบอกว่าพบเชื้อมะเร็งระยะสุดท้ายที่ลำไส้ใหญ่ ลามไปที่กระเพาะปัสสาวะครับ ซึ่งหากผ่าไปโดยที่ไม่โดนสวนทวารยังไงคุณตาก็เสียชีวิตอยู่ดี แต่ก็ยังมีเวลาให้คนไข้ได้ทำใจนานขึ้นเท่านั้น
- ท่าทางคุณหมอจะกลัวการโดนคุณพ่อคุณแม่ผมฟ้องมากครับ แต่ก็ยอมรับผิดทุกอย่าง คุณแม่ผมบอกว่าถึงฟ้องไป คุณตาก็ไม่ฟื้นมาหรอก แต่อยากให้คุณหมอช่วยพิจารณาว่าหากคนไข้อาการแย่ลงจากการรักษาก็ไม่ควรรักษาด้วยวิธีเดิมไม่ใช่หรือ แต่คุณหมอเปิดรายงาน บอกว่า "ทางอายุรกรรมไม่ได้รายงานอะไรผมมาเลยครับ"
- คุณพ่อผมก็พูดแค่ว่า อยากฝากให้ลองคิดดูว่า วันที่มาโรงพยาบาล คนไข้ยังดูแข็งแรงมาก ดูเหมือนป่วยไม่หนัก เราไว้ใจคุณให้ดูแลคนของเรา แต่คุณกลับทำผิดพลาดเพียงเพราะการสื่อสารระหว่างสองฝ่ายไม่ดีพอ มันควรปรับปรุงอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก
พอญาติๆ ทุกท่านเข้าเยี่ยมคุณตาครบ และกำลังจะกลับ ลงไปที่ชั้น 1 และยืนคุยอะไรกันนิดหน่อยก่อนกลับ ทางพยาบาลก็โทรแจ้งเข้ามาว่าหัวใจคนไข้หยุดเต้นแล้ว
ซึ่งศพคุณตาได้ทำการฌาปณกิจไปแล้วเมื่อวานนี้ครับ แกบอกอยากจะถ่ายรูปกับผมในวันรับปริญญา พอผมเรียนจบได้ไม่ทันสัปดาห์ คุณตาก็ไปเสียก่อนในวัย 80 ปี
อย่างที่บอกข้างต้นน่ะครับ อยากฝากเอาไว้เป็นอุทาหรณ์สำหรับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับด้านการแพทย์ฮะ และอยากให้เสนอแนะกันว่าหากอยู่ในสถานการณ์แบบผม ควรจะทำอย่างไร และป้องกันอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกครับ
**แก้ไขเพิ่มอีกจุดครับ ตรง "คุณหมอ "ยอมรับผิดทั้งหมด" " เนื่องจากพิมพ์ติดกันมันจะตรงกับระบบกรองคำของพันทิป....