ผมเชื่อว่าความคิดของเด็กจบใหม่ส่วนใหญ่ คือจบจากมหาลัยจะไม่แตะเงินพ่อแม่เลย ซึ่งผมยอมรับความคิดแบบนี้
ได้นะครับ แต่ปัญหาคือหลายๆครั้งผมเห็นว่าคนที่มีความคิดแบบนี้ค่อนข้างแอนตี้ เหน็บ คนที่จบแล้วทำกิจการ
ที่บ้านต่อเลย หรือยืมเงินพ่อแม่ทำกิจการส่วนตัวเพื่อนๆรอบข้างผมคิดแบบนี้ เป็นชุดบล็อกความคิดแบบนี้ซ้ำๆกัน
หลายคนมากๆ บางคนถึงกับพูดว่า
"ถึงพ่อแม่รวยมีเงินให้ยืมทำกิจการ ตัวเขาก็ไม่ยืม ต้องจบออกมาหางานทำสะสมเงินเก็บเปิดกิจการเอง"
จริงๆผมก็ตอบกลับไปว่า "ทำไมไม่คิดว่าเราคือนักธรุกิจคนหนึ่ง เลือกธนาคารที่จะกู้เงิน ธนาคารพ่อแม่นั้น
ไม่มีกำหนดจ่ายเงิน(ขึ้นกับกิจการและความรับผิดชอบของเราซึ่งผมมีตรงนี้) ไม่มีดอกเบี้ย ไม่ต้องทำรายการ
ฝาก-ถอนเงินธนาคารอีก""ถ้าพ่อแม่มีเงินตรงนี้ โดยที่ท่านไม่ลำบาก ทำไมเราไม่ใช้ประโยชน์ตรงนี้ ถ้าพ่อแม่
ไม่มีเงิน เราชอบงานด้านอื่นหรือยังไม่อยากทำก็ว่าไปอย่าง"
ผมคิดว่าถ้าเรามีต้นทุนที่ดีทำไมไม่ใช้ ผมเชื่อว่าพ่อแม่มีเงินใครก็อยากช่วยลูก เรายืมเงินเปิดกิจการสมมุติอีก5ปี
เรามีเงินเดือน100,000บาท กับต้องมาทนทำงาน5-10ปีถึงมีเงินเปิดกิจการ แล้วต้องอีก5ปีถึงจะมีเงินเดือน1แสนบาท
ซึ่งหลายคนที่มีบล็อคความคิดแบบนี้ ตอนเรียนอยู่นั้นพ่อแม่ให้เงินใช้จ่ายค่อนข้างมาก (10,000ต้นๆ) ตัวเองใช้จ่ายเที่ยว
เต็มที่ ถ้าเงินไม่พอก็ขอป๋าขอม๋าเพิ่มอีก แต่พอเรียนจบก็ไม่แตะเงินพ่อแม่เลย บอกว่าหาเงินเองได้เลยไม่แตะเงินพ่อแม่
ยังไงก็ไม่แตะ จะทำธุรกิจก็ต้องสะสมเงินเอง ผมก็เข้าใจแนวคิดแบบนี้ครับอารมณ์ทำงานได้ก็ไม่อยากพึ่งพ่อแม่
แต่ถ้ารักพ่อแม่จริงๆ ทำไมไม่ใช้จ่ายอย่างประหยัดตั้งแต่แรกที่เอาเงินพ่อแม่มาใช้ตอนเรียน ถ้าเรียนจบแล้วไม่แตะเงินพ่อแม่
นี่ซิถึงแสดงเจตจำนงไม่อย่างพึ่งเงินพ่อแม่เท่าที่จะทำได้จริงๆ ไม่ใช่เอาตัวแบ่งอยู่ที่เรียนจบ
(แต่ก็ยังดีกว่าพวกจบมาแล้วยังเกาะพ่อแม่โดยไม่จำเป็นนะครับซึ่งผมไม่พูดถึงกรณีนี้)
ซึ่งในสายตาผมในเมื่อไม่ใช่เงินของเราก็ควรใช้ให้ประหยัด คุ้มค่าที่สุด ผมขอเงินพ่อแม่เท่าที่พออยู่ได้ครับ
(4200บาทต่อเดือนไม่รวมค่าหอ คณะอยู่แถวพญาไท พักอยู่ซอย5) บ้านผมฐานะกลางๆครับ พ่อแม่เป็นราชการ
มีฐานะมาได้ก็เพราะความประหยัด แล้วต่อยอดทำกิจการ ก็เลยให้เงินผมใช่จ่ายไม่มากด้วย ซึ่งผมก็พอใจและอยู่ได้
นานๆทีผมก็ไปกินพิเศษๆกับเพื่อน เทอมนึงก็ต้องมีเลี้ยงน้องในสาย แถมมีสายของเพื่อนที่ซิ้วไปอีก ผมก็บริหารเงินอยู่ได้
แต่ผมจบมาอยากทำกิจการ บอกเลยว่าเงินดีกว่าทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน แต่ก็ไม่มีเงินก้อนเลยจำเป็นต้องยืมเงินพ่อแม่
ซึ่งพ่อแม่พร้อมทางด้านนี้อยู่แล้ว แต่พอเล่าแผนในอนาคตให้ฟังเพื่อนๆก็ดูเหมือนติงๆเรื่องนี้ แบบว่าทำไมต้องพึ่งเงินพ่อแม่
ไม่ทำงานสะสมเงินเอง (เขาก็เตือนแบบหวังนี้นะครับ ไม่ได้เจตนาร้ายอะไร)
จริงๆบล็อคความคิดแบบไหนผมก็ยอมรับได้ครับ เป็นเรื่องส่วนตัวขึ้นกับความชอบความถนัดของแต่ละคนด้วย
แต่เผอิญมีคนที่ผมสนใจ เข้ามีความคิดความอ่านหลายๆอย่างเข้ากับผมได้ แต่บล็อคความคิดเรียนจบแล้ว
ไม่แตะเงินพ่อแม่เลยเนี่ย เขาฝังหัวรุนแรงมาก
เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ มีความคิดเห็น อย่างไรกันครับกับกรณีนี้ เอาทั้ง2แนวคิดเลยครับ แล้วจะหาคำพูดอะไรไปอธิบาย
คนที่มีความคิดแบบ เรียนจบมหาลัยไม่แตะเงินพ่อแม่เลย คือไม่ได้ต้องการให้คนอื่นเปลี่ยนความเชื่อนะครับ แค่
ยอมรับความคิดแบบอื่นได้
เรียนจบมหา'ลัยแล้วจะไม่พึ่งเงินพ่อ-แม่เลย ใครชีวิตไม่ได้เป็นแบบนี้บ้างครับ
ได้นะครับ แต่ปัญหาคือหลายๆครั้งผมเห็นว่าคนที่มีความคิดแบบนี้ค่อนข้างแอนตี้ เหน็บ คนที่จบแล้วทำกิจการ
ที่บ้านต่อเลย หรือยืมเงินพ่อแม่ทำกิจการส่วนตัวเพื่อนๆรอบข้างผมคิดแบบนี้ เป็นชุดบล็อกความคิดแบบนี้ซ้ำๆกัน
หลายคนมากๆ บางคนถึงกับพูดว่า
"ถึงพ่อแม่รวยมีเงินให้ยืมทำกิจการ ตัวเขาก็ไม่ยืม ต้องจบออกมาหางานทำสะสมเงินเก็บเปิดกิจการเอง"
จริงๆผมก็ตอบกลับไปว่า "ทำไมไม่คิดว่าเราคือนักธรุกิจคนหนึ่ง เลือกธนาคารที่จะกู้เงิน ธนาคารพ่อแม่นั้น
ไม่มีกำหนดจ่ายเงิน(ขึ้นกับกิจการและความรับผิดชอบของเราซึ่งผมมีตรงนี้) ไม่มีดอกเบี้ย ไม่ต้องทำรายการ
ฝาก-ถอนเงินธนาคารอีก""ถ้าพ่อแม่มีเงินตรงนี้ โดยที่ท่านไม่ลำบาก ทำไมเราไม่ใช้ประโยชน์ตรงนี้ ถ้าพ่อแม่
ไม่มีเงิน เราชอบงานด้านอื่นหรือยังไม่อยากทำก็ว่าไปอย่าง"
ผมคิดว่าถ้าเรามีต้นทุนที่ดีทำไมไม่ใช้ ผมเชื่อว่าพ่อแม่มีเงินใครก็อยากช่วยลูก เรายืมเงินเปิดกิจการสมมุติอีก5ปี
เรามีเงินเดือน100,000บาท กับต้องมาทนทำงาน5-10ปีถึงมีเงินเปิดกิจการ แล้วต้องอีก5ปีถึงจะมีเงินเดือน1แสนบาท
ซึ่งหลายคนที่มีบล็อคความคิดแบบนี้ ตอนเรียนอยู่นั้นพ่อแม่ให้เงินใช้จ่ายค่อนข้างมาก (10,000ต้นๆ) ตัวเองใช้จ่ายเที่ยว
เต็มที่ ถ้าเงินไม่พอก็ขอป๋าขอม๋าเพิ่มอีก แต่พอเรียนจบก็ไม่แตะเงินพ่อแม่เลย บอกว่าหาเงินเองได้เลยไม่แตะเงินพ่อแม่
ยังไงก็ไม่แตะ จะทำธุรกิจก็ต้องสะสมเงินเอง ผมก็เข้าใจแนวคิดแบบนี้ครับอารมณ์ทำงานได้ก็ไม่อยากพึ่งพ่อแม่
แต่ถ้ารักพ่อแม่จริงๆ ทำไมไม่ใช้จ่ายอย่างประหยัดตั้งแต่แรกที่เอาเงินพ่อแม่มาใช้ตอนเรียน ถ้าเรียนจบแล้วไม่แตะเงินพ่อแม่
นี่ซิถึงแสดงเจตจำนงไม่อย่างพึ่งเงินพ่อแม่เท่าที่จะทำได้จริงๆ ไม่ใช่เอาตัวแบ่งอยู่ที่เรียนจบ
(แต่ก็ยังดีกว่าพวกจบมาแล้วยังเกาะพ่อแม่โดยไม่จำเป็นนะครับซึ่งผมไม่พูดถึงกรณีนี้)
ซึ่งในสายตาผมในเมื่อไม่ใช่เงินของเราก็ควรใช้ให้ประหยัด คุ้มค่าที่สุด ผมขอเงินพ่อแม่เท่าที่พออยู่ได้ครับ
(4200บาทต่อเดือนไม่รวมค่าหอ คณะอยู่แถวพญาไท พักอยู่ซอย5) บ้านผมฐานะกลางๆครับ พ่อแม่เป็นราชการ
มีฐานะมาได้ก็เพราะความประหยัด แล้วต่อยอดทำกิจการ ก็เลยให้เงินผมใช่จ่ายไม่มากด้วย ซึ่งผมก็พอใจและอยู่ได้
นานๆทีผมก็ไปกินพิเศษๆกับเพื่อน เทอมนึงก็ต้องมีเลี้ยงน้องในสาย แถมมีสายของเพื่อนที่ซิ้วไปอีก ผมก็บริหารเงินอยู่ได้
แต่ผมจบมาอยากทำกิจการ บอกเลยว่าเงินดีกว่าทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน แต่ก็ไม่มีเงินก้อนเลยจำเป็นต้องยืมเงินพ่อแม่
ซึ่งพ่อแม่พร้อมทางด้านนี้อยู่แล้ว แต่พอเล่าแผนในอนาคตให้ฟังเพื่อนๆก็ดูเหมือนติงๆเรื่องนี้ แบบว่าทำไมต้องพึ่งเงินพ่อแม่
ไม่ทำงานสะสมเงินเอง (เขาก็เตือนแบบหวังนี้นะครับ ไม่ได้เจตนาร้ายอะไร)
จริงๆบล็อคความคิดแบบไหนผมก็ยอมรับได้ครับ เป็นเรื่องส่วนตัวขึ้นกับความชอบความถนัดของแต่ละคนด้วย
แต่เผอิญมีคนที่ผมสนใจ เข้ามีความคิดความอ่านหลายๆอย่างเข้ากับผมได้ แต่บล็อคความคิดเรียนจบแล้ว
ไม่แตะเงินพ่อแม่เลยเนี่ย เขาฝังหัวรุนแรงมาก
เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ มีความคิดเห็น อย่างไรกันครับกับกรณีนี้ เอาทั้ง2แนวคิดเลยครับ แล้วจะหาคำพูดอะไรไปอธิบาย
คนที่มีความคิดแบบ เรียนจบมหาลัยไม่แตะเงินพ่อแม่เลย คือไม่ได้ต้องการให้คนอื่นเปลี่ยนความเชื่อนะครับ แค่
ยอมรับความคิดแบบอื่นได้