หมายเหตุข่าวสด - ความเห็นของนักวิชาการต่อกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 3 ต่อ 2 รับคำร้องกลุ่ม 40 ส.ว. ที่ขอให้ยับยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 และขอให้สั่งยุบ 6 พรรคต้นสังกัดของ ส.ส.ที่ลงชื่อสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
สิริพรรณ นกสวน สวัสดี
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้พิจารณา ตามหลักกฎหมายนั้นศาลกระทำถูกต้องแล้ว นี่คือกระบวนการที่ฝ่ายนิติบัญญัติ ขอให้ตรวจสอบ ศาลจึงใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญตรวจสอบตามคำขอ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร
แต่หากคณะตุลาการศาลรัฐธรรม นูญมีคำสั่งขอให้ยับยั้ง หรือชะลอ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราที่กำลังดำเนินการอยู่ จะถือเป็นสิ่งที่ผิดและไม่ชอบด้วยกฎหมายทันที
เนื่องจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ไม่ให้อำนาจในการยับยั้งหรือชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา เพราะมาตรา 291 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 ระบุไว้ชัดเจนว่าสามารถแก้ไขเพิ่มเติมได้
ดังนั้นการรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาจึงถือว่าชอบธรรม แต่หากมีคำสั่งยับยั้งจะถือว่ากระทำการเกินอำนาจหน้าที่
อย่างไรก็ตาม ศาลอาจต้องทำงานหนักขึ้นเพราะการที่ ฝ่ายนิติบัญญัติยื่นเรื่องดังกล่าวให้ศาลพิจารณา สะท้อนว่า ฝ่ายนิติบัญญัติยังไม่เข้าใจในกระบวนการศาล และไม่มีความเชื่อมั่นในอำนาจของตัวเอง
ต้องการเพียงให้ตุลาการภิวัฒน์เข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นระบบกลไกในการถ่วงดุลอำนาจ
การดึงศาลรัฐธรรมนูญเข้ามามีส่วนร่วมครั้งนี้ อาจเป็นการเดินเกมของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล โดยเฉพาะกลุ่ม 40 ส.ว.ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา
ทั้งที่เรื่องดังกล่าว กลุ่ม 40 ส.ว.สามารถใช้อำนาจที่มีอยู่ กระทำการคัดค้าน อภิปรายหาเหตุผลมาหักล้างว่า หากแก้ไขแล้วจะเกิดผลเสียอย่างไร โดยผ่านกระบวนการขั้นตอนในรัฐสภาซึ่งเป็นเวทีที่สามารถแสดงเจตนารมณ์ได้โดยตรง
โดยไม่ต้องดึงฝ่ายอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง
ฝ่ายค้านและส.ว.บางคนต้องยอมรับได้แล้วว่า รัฐธรรมนูญทุกฉบับสามารถแก้ไขได้ และอย่าลืมว่าพรรคประชาธิปัตย์เองก็เคยแก้ไขรัฐธรรม นูญตอนเลือกตั้งใหญ่ครั้งที่แล้วด้วย
ที่สำคัญยังเป็นการแก้ไข ก่อนการเลือกตั้ง จึงอยากถามว่าใครได้ประโยชน์
เมื่อศาลรัฐธรรม นูญรับเรื่องคัดค้านการแก้ไขมาตรา 68 ไว้พิจารณา และหากการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านสภามาได้ รัฐบาลก็ควรทำให้เห็นว่าเมื่อแก้ไขแล้ว ประชาชนจะได้ผลประโยชน์อย่างไร สังคมจะเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างไร
ต้องแสดงถึงความชัดเจนเพื่อลบแรงเสียดทานในการคัดค้าน
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์
รัฐธรรมนูญปี"50 ทำให้มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และส.ว.สรรหา ซึ่งทั้ง 2 องค์กรก็ไม่ได้ยึดโยงอะไรกับประชาชน และการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งล่าสุด ส.ว.สรรหายังเป็นคนนำเรื่องไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วย
ซึ่งศาลก็รับไว้แม้ไม่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว แต่อาจถือได้ว่ามีส่วนขัดขวางการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติแล้ว
ดังนั้นทั้งบทบัญญัติรัฐธรรมนูญปี"50 ศาลรัฐธรรม นูญและส.ว.สรรหาจึงเป็นระบบหรือกลไกที่อ้างกันไปมา กลุ่ม 40 ส.ว.อ้างรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญถูกวินิจฉัย โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็เกี่ยวพันกันไปมา
ถือเป็นอุปสรรคที่เข้ามาขัดขวางกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตามเมื่อเรายังอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เมื่อเกิดความเห็นต่างย่อมมีการเผชิญหน้ากันระหว่างองค์กรทางการเมือง นั่นก็คือศาลรัฐธรรมนูญกับส.ส.
สิ่งที่ส.ส.ควรทำคือ ยืนยันว่าตนเองได้รับเลือกจากประชาชน และที่สำคัญการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว ดังนั้นต้องไม่หวั่นไหวว่าสิ่งที่ทำหรือการลงมติไป จะทำให้มีความผิดหรือไม่
แต่ควรต่อสู้เพื่อยืนยันหลักการทางการเมือง เพราะสิ่งที่ทำนั้นไม่ถือว่าผิด แต่เป็นการดำเนินการตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ทั้งสิ้น
อีกทั้งการยื่นมาตรา 68 ศาลรัฐธรรมนูญยังทำหน้าที่เป็นผู้รับคำร้อง เป็นคนตีความ ซึ่งมีส่วนได้เสียโดยตรง ขณะที่คนยื่นคือส.ว.สรรหา ก็มีส่วนได้เสียโดยตรงเช่นกัน
ดังนั้นสภาผู้แทนราษฎรและพรรคการเมืองจะต้องยืนยันหลักการของตัวเองให้ได้
ส่วนตัวเห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 68
แต่ไม่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเป็นกรณีฉุกเฉินเพื่อให้รัฐสภาระงับการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ รายมาตรา เนื่องจากยังไม่มีมูลเหตุและข้อเท็จจริงเพียงพอ
ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์
ประธานหลักสูตรรัฐศาสตร์ ม.รังสิต
ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่สำคัญยิ่ง ประชาชนเพียง 1 คนก็สามารถทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเริ่มกระบวนการตรวจสอบได้ ตรงนี้อาจนำไปสู่ความยุ่งยากในอนาคตได้หรือไม่
สิ่งที่ผมหวั่นเกรงคือ ภาพที่เสมือนเป็นผู้พิทักษ์ประชาธิปไตย แต่สุดท้ายอาจกลับกลายเป็นว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีอำนาจอยู่เหนือฝ่ายนิติบัญญัติ กรณีนี้ น่าเป็นห่วง
เพราะเพียงแค่รับคำร้องไว้พิจารณาก็สามารถทำให้เป็นปัญหาทางการเมืองได้ เมื่อครั้งร่างพ.ร.บ.แก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 291 วาระ 3 ก็เคยรับตีความมาตรา 68 แล้วเช่นกัน
ล่าสุดคนที่ไปยื่นร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความมาตรา 68 นั้น มีเจตนา 2 ประการ คือ
1.ต้องการยุติการอภิปรายร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราที่กำลังดำเนินอยู่ในสภา ด้วยการขออำนาจศาลคุ้มครองชั่วคราว
และ 2.พยายามจะบอกว่าการแก้ไขมาตรา 68 นั้น เป็นการตัดสิทธิประชาชนที่จะยื่นคำร้องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งในส่วนของมาตรการนี้ ก็ได้สะท้อนออกมาว่า ไม่ต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ
ไม่ว่าจะเป็นรายมาตราหรือทั้งฉบับก็ตาม
ศาลจะวินิจฉัยอย่างไรคงไม่สามารถคาดเดาได้ แต่พอคาดการณ์ได้ว่าเรื่องน่าจะยาว ระหว่างนี้คงไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นจนกว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราจะผ่านมาจนถึงวาระ 3
เพื่อที่จะบอกได้ว่าเห็นเหตุของการกระทำที่เข้าข่ายตามคำร้อง และหากมีการวินิจฉัยว่าห้ามลงมติวาระ 3 เนื่องจากเป็นการตัดสิทธิประชาชน
ระบบการเมืองไทยก็จะตกอยู่ภายใต้อำนาจศาล อย่างสมบูรณ์
ตั้งแต่เกิดปัญหาแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 รัฐบาลควรทำให้เห็นว่า กระบวนการแก้ไขต้องไม่จำกัดอยู่แค่สภา แต่ควรเปิดพื้นที่ทางสังคมในการให้ความรู้ อภิปรายถกเถียงกันอย่างกว้างขวางตามพื้นที่สาธารณะและเป็นรูปธรรม
ปลายปีที่แล้วรัฐบาลเคยประกาศว่าจะทำ แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็น อย่าลืมว่ากว่าที่รัฐธรรมนูญฉบับปี"40 ที่มีความเป็นประชาธิปไตยจะเกิดขึ้น ต้องใช้เวลากว่า 5 ปีในการเปิดพื้นที่สาธารณะให้เกิดการถกเถียง
ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจะต้องไม่กำหนดยุทธศาสตร์ การแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้เพียงแค่ในสภา และไม่ต้อง รอให้เกิดสถานการณ์มาบีบคั้นรัฐบาลก่อน ถึงจะ เดินหน้าได้
มิเช่นนั้นการเมืองไทยจะตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปอีกนาน
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMk5UUTNNVE13TXc9PQ==§ionid=
===================================
อำนาจมีทั้ง บวกและลบขึ้นอยู่ว่า นำไปใช้ทางไหน
แต่ถ้านำไปใช้ด้วยความเที่ยงธรรมแล้ว สังคมนั้น จะเกิดความสงบสุข
ปมศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้อง "ม. 68"
หมายเหตุข่าวสด - ความเห็นของนักวิชาการต่อกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 3 ต่อ 2 รับคำร้องกลุ่ม 40 ส.ว. ที่ขอให้ยับยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 และขอให้สั่งยุบ 6 พรรคต้นสังกัดของ ส.ส.ที่ลงชื่อสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
สิริพรรณ นกสวน สวัสดี
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้พิจารณา ตามหลักกฎหมายนั้นศาลกระทำถูกต้องแล้ว นี่คือกระบวนการที่ฝ่ายนิติบัญญัติ ขอให้ตรวจสอบ ศาลจึงใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญตรวจสอบตามคำขอ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร
แต่หากคณะตุลาการศาลรัฐธรรม นูญมีคำสั่งขอให้ยับยั้ง หรือชะลอ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราที่กำลังดำเนินการอยู่ จะถือเป็นสิ่งที่ผิดและไม่ชอบด้วยกฎหมายทันที
เนื่องจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ไม่ให้อำนาจในการยับยั้งหรือชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา เพราะมาตรา 291 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 ระบุไว้ชัดเจนว่าสามารถแก้ไขเพิ่มเติมได้
ดังนั้นการรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาจึงถือว่าชอบธรรม แต่หากมีคำสั่งยับยั้งจะถือว่ากระทำการเกินอำนาจหน้าที่
อย่างไรก็ตาม ศาลอาจต้องทำงานหนักขึ้นเพราะการที่ ฝ่ายนิติบัญญัติยื่นเรื่องดังกล่าวให้ศาลพิจารณา สะท้อนว่า ฝ่ายนิติบัญญัติยังไม่เข้าใจในกระบวนการศาล และไม่มีความเชื่อมั่นในอำนาจของตัวเอง
ต้องการเพียงให้ตุลาการภิวัฒน์เข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นระบบกลไกในการถ่วงดุลอำนาจ
การดึงศาลรัฐธรรมนูญเข้ามามีส่วนร่วมครั้งนี้ อาจเป็นการเดินเกมของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล โดยเฉพาะกลุ่ม 40 ส.ว.ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา
ทั้งที่เรื่องดังกล่าว กลุ่ม 40 ส.ว.สามารถใช้อำนาจที่มีอยู่ กระทำการคัดค้าน อภิปรายหาเหตุผลมาหักล้างว่า หากแก้ไขแล้วจะเกิดผลเสียอย่างไร โดยผ่านกระบวนการขั้นตอนในรัฐสภาซึ่งเป็นเวทีที่สามารถแสดงเจตนารมณ์ได้โดยตรง
โดยไม่ต้องดึงฝ่ายอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง
ฝ่ายค้านและส.ว.บางคนต้องยอมรับได้แล้วว่า รัฐธรรมนูญทุกฉบับสามารถแก้ไขได้ และอย่าลืมว่าพรรคประชาธิปัตย์เองก็เคยแก้ไขรัฐธรรม นูญตอนเลือกตั้งใหญ่ครั้งที่แล้วด้วย
ที่สำคัญยังเป็นการแก้ไข ก่อนการเลือกตั้ง จึงอยากถามว่าใครได้ประโยชน์
เมื่อศาลรัฐธรรม นูญรับเรื่องคัดค้านการแก้ไขมาตรา 68 ไว้พิจารณา และหากการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านสภามาได้ รัฐบาลก็ควรทำให้เห็นว่าเมื่อแก้ไขแล้ว ประชาชนจะได้ผลประโยชน์อย่างไร สังคมจะเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างไร
ต้องแสดงถึงความชัดเจนเพื่อลบแรงเสียดทานในการคัดค้าน
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์
รัฐธรรมนูญปี"50 ทำให้มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และส.ว.สรรหา ซึ่งทั้ง 2 องค์กรก็ไม่ได้ยึดโยงอะไรกับประชาชน และการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งล่าสุด ส.ว.สรรหายังเป็นคนนำเรื่องไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วย
ซึ่งศาลก็รับไว้แม้ไม่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว แต่อาจถือได้ว่ามีส่วนขัดขวางการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติแล้ว
ดังนั้นทั้งบทบัญญัติรัฐธรรมนูญปี"50 ศาลรัฐธรรม นูญและส.ว.สรรหาจึงเป็นระบบหรือกลไกที่อ้างกันไปมา กลุ่ม 40 ส.ว.อ้างรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญถูกวินิจฉัย โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็เกี่ยวพันกันไปมา
ถือเป็นอุปสรรคที่เข้ามาขัดขวางกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตามเมื่อเรายังอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เมื่อเกิดความเห็นต่างย่อมมีการเผชิญหน้ากันระหว่างองค์กรทางการเมือง นั่นก็คือศาลรัฐธรรมนูญกับส.ส.
สิ่งที่ส.ส.ควรทำคือ ยืนยันว่าตนเองได้รับเลือกจากประชาชน และที่สำคัญการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว ดังนั้นต้องไม่หวั่นไหวว่าสิ่งที่ทำหรือการลงมติไป จะทำให้มีความผิดหรือไม่
แต่ควรต่อสู้เพื่อยืนยันหลักการทางการเมือง เพราะสิ่งที่ทำนั้นไม่ถือว่าผิด แต่เป็นการดำเนินการตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ทั้งสิ้น
อีกทั้งการยื่นมาตรา 68 ศาลรัฐธรรมนูญยังทำหน้าที่เป็นผู้รับคำร้อง เป็นคนตีความ ซึ่งมีส่วนได้เสียโดยตรง ขณะที่คนยื่นคือส.ว.สรรหา ก็มีส่วนได้เสียโดยตรงเช่นกัน
ดังนั้นสภาผู้แทนราษฎรและพรรคการเมืองจะต้องยืนยันหลักการของตัวเองให้ได้
ส่วนตัวเห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 68
แต่ไม่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเป็นกรณีฉุกเฉินเพื่อให้รัฐสภาระงับการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ รายมาตรา เนื่องจากยังไม่มีมูลเหตุและข้อเท็จจริงเพียงพอ
ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์
ประธานหลักสูตรรัฐศาสตร์ ม.รังสิต
ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่สำคัญยิ่ง ประชาชนเพียง 1 คนก็สามารถทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเริ่มกระบวนการตรวจสอบได้ ตรงนี้อาจนำไปสู่ความยุ่งยากในอนาคตได้หรือไม่
สิ่งที่ผมหวั่นเกรงคือ ภาพที่เสมือนเป็นผู้พิทักษ์ประชาธิปไตย แต่สุดท้ายอาจกลับกลายเป็นว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีอำนาจอยู่เหนือฝ่ายนิติบัญญัติ กรณีนี้ น่าเป็นห่วง
เพราะเพียงแค่รับคำร้องไว้พิจารณาก็สามารถทำให้เป็นปัญหาทางการเมืองได้ เมื่อครั้งร่างพ.ร.บ.แก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 291 วาระ 3 ก็เคยรับตีความมาตรา 68 แล้วเช่นกัน
ล่าสุดคนที่ไปยื่นร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความมาตรา 68 นั้น มีเจตนา 2 ประการ คือ
1.ต้องการยุติการอภิปรายร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราที่กำลังดำเนินอยู่ในสภา ด้วยการขออำนาจศาลคุ้มครองชั่วคราว
และ 2.พยายามจะบอกว่าการแก้ไขมาตรา 68 นั้น เป็นการตัดสิทธิประชาชนที่จะยื่นคำร้องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งในส่วนของมาตรการนี้ ก็ได้สะท้อนออกมาว่า ไม่ต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ
ไม่ว่าจะเป็นรายมาตราหรือทั้งฉบับก็ตาม
ศาลจะวินิจฉัยอย่างไรคงไม่สามารถคาดเดาได้ แต่พอคาดการณ์ได้ว่าเรื่องน่าจะยาว ระหว่างนี้คงไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นจนกว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราจะผ่านมาจนถึงวาระ 3
เพื่อที่จะบอกได้ว่าเห็นเหตุของการกระทำที่เข้าข่ายตามคำร้อง และหากมีการวินิจฉัยว่าห้ามลงมติวาระ 3 เนื่องจากเป็นการตัดสิทธิประชาชน
ระบบการเมืองไทยก็จะตกอยู่ภายใต้อำนาจศาล อย่างสมบูรณ์
ตั้งแต่เกิดปัญหาแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 รัฐบาลควรทำให้เห็นว่า กระบวนการแก้ไขต้องไม่จำกัดอยู่แค่สภา แต่ควรเปิดพื้นที่ทางสังคมในการให้ความรู้ อภิปรายถกเถียงกันอย่างกว้างขวางตามพื้นที่สาธารณะและเป็นรูปธรรม
ปลายปีที่แล้วรัฐบาลเคยประกาศว่าจะทำ แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็น อย่าลืมว่ากว่าที่รัฐธรรมนูญฉบับปี"40 ที่มีความเป็นประชาธิปไตยจะเกิดขึ้น ต้องใช้เวลากว่า 5 ปีในการเปิดพื้นที่สาธารณะให้เกิดการถกเถียง
ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจะต้องไม่กำหนดยุทธศาสตร์ การแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้เพียงแค่ในสภา และไม่ต้อง รอให้เกิดสถานการณ์มาบีบคั้นรัฐบาลก่อน ถึงจะ เดินหน้าได้
มิเช่นนั้นการเมืองไทยจะตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปอีกนาน
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMk5UUTNNVE13TXc9PQ==§ionid=
===================================
อำนาจมีทั้ง บวกและลบขึ้นอยู่ว่า นำไปใช้ทางไหน
แต่ถ้านำไปใช้ด้วยความเที่ยงธรรมแล้ว สังคมนั้น จะเกิดความสงบสุข